อสูรยักษ์สองตัวนี้ดูเหมือนวานรยักษ์สองหัว แต่เรือนกายมีขนสีเขียวปกคลุมอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีดวงตาสีดำสามดวง กลอกไปมาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ามีไหวพริบมาก
หานลี่มองอสูรขนยาวทั้งสองตัวเดินผ่านไปจากใต้ต้นไม้อย่างเงียบๆ ค่อยๆ ห่างออกไป ร่างกายถึงได้พลิ้วไหวมาปรากฏตัวใต้ต้นไม้ยักษ์อีกครั้ง
มองทิศทางที่อสูรยักษ์หายวับไป ใบหน้าของเขาเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
เจ้าสองตัวนี้ดูเหมือนกำลังลาดตระเวน แน่นอนว่าไม่ใช่เผ่าพฤกษา แต่เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในป่าใบดำ ดูจากสามง่ามสัมฤทธิ์ยักษ์ที่อยู่บนบ่าของพวกมัน เห็นได้ชัดว่ามีสติปัญญาเฉียบแหลม
หรือว่าจะเป็นเผ่าประหลาดอีกเผ่าที่ไม่รู้จัก
หานลี่ครุ่นคิด แล้วพลันสั่นศีรษะ
จากที่เขารู้มา เผ่าพฤกษาต่อต้านบุคคลภายนอกมาก โดยปกติแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้กำลังของเผ่าประหลาดเข้ามาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยในอาณาเขตแน่ หรือว่าคืออสูรสงครามที่เผ่าพฤกษาเลี้ยงดูไว้?
หานลี่ขบคิดเช่นนี้
สิ่งที่เรียกว่าอสูรสงคราม ความจริงแล้วก็คืออสูรวิญญาณ แค่เปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น เคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่ใช้ในการควบคุมอสูรวิญญาณนั้นไม่ต่างอะไรกับของเผ่ามนุษย์และปีศาจมากนัก เผ่าประหลาดอื่นๆ ก็รู้วิธีใช้สมุนไพรและการกำราบอสูรโบราณด้วยวิธีอื่นๆ ทำให้พวกมันมาเป็นของตนเอง
แน่นอนว่าเผ่าต่างๆ ที่ไม่พรสวรรค์แตกต่างกันนั้น จึงกำราบและควบคุมอสูรต่างๆ ได้เหมือนกัน และไม่ได้มีวิธีกำราบอสูรโบราณทั้งหมด
อสูรประหลาดสองหัวของเผ่าเงาที่เขาพบก่อนหน้านี้ ก็คืออสูรสงครามที่มีพลังไม่น้อยของเผ่าเงา ทว่าอสูรโบราณชนิดนี้คงมีเพียงเผ่าเงาที่มีวิธีกำราบได้
ส่วนเผ่าพฤกษานั้น ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอสูรสงคราม หรือว่ากำราบใหม่ได้สำเร็จ
หานลี่ขบคิดอยู่นานด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มท้อง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขบคิดแล้ว
ในเมื่ออสูรขนยาวทั้งสองตัวเข้าใกล้เขาขนาดนี้แต่ก็ยังไม่พบเขา เดาว่าคงเป็นประเภทที่มีผิวกายหยาบกร้าน ไม่เพียงพอให้หนากลัว
เมื่อตัดสินใจแล้ว ร่างกายของหานลี่ก็พลิ้วไหว กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งหายวับไป
……
หนึ่งวันผ่านไป ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หานลี่มองอสูรขนยาวแปดตัวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดูเหมือนว่าอสูรวานรยักษ์เหล่านี้จะไม่เหมือนกับสองตัวก่อนหน้า ไม่เพียงร่างกายจะเล็กกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรือนกายสีแดงเพลิง ในมือไม่ได้ถือสามง่ามสัมฤทธิ์เอาไว้ แต่เป็นกระบองเขี้ยวหมาป่าเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ
อสูรยักษ์แปดตัว ต่างจ้องมองมาทางหานลี่พร้อมกับแยกเขี้ยวคำราม ท่าทางดุร้าย
หานลี่มุมปากกระตุกเล็กน้อย
แต่เดิมคิดว่าอสูรขนยาวเหล่านี้น่าจะมีปฏิภาณไหวพริบเชื่องช้า แต่เมื่อครู่ที่เคลื่อนผ่านอสูรขนยาวกลุ่มนี้ คาดไม่ถึงว่าจะพบที่ซ่อนหลังต้นไม้ของเขา แล้วล้อมวงเข้ามา
หานลี่มองอสูรประหลาดทั้งแปดตัวที่มีดวงตาที่สามเปล่งแสงสีดำระยิบระยับ แล้วพลันขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจอะไรสักอย่าง
ตอนนั้นที่พบกับอสูรขนยาวสีเขียวสองตัว ดวงตาที่สามของพวกมัน ดูเหมือนว่าจะปิดสนิทอยู่
ครานี้อสูรประหลาดสีแดงแปดตัวพลันเปล่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา ร่างกายหมอบลง ในเวลาเดียวกันก็โบกสะบัดกระบองเขี้ยวหมาป่าในมืออย่างรุนแรง
ผิวของยุทธภัณฑ์เหล่านี้มีลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ในเวลาเดียวกันวายุประหลาดสองสามกลุ่มก็โถมเข้ามาหาหานลี่
หานลี่เลิกคิ้วทั้งสองขึ้น ไม่ได้หลบหลีกใดๆ แค่สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบ
กระบี่เล่มเล็กสีทองแปดเล่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเส้นไหมสีทองแปดสายโอบล้อมอสูรขนยาวทั้งแปดตัวเอาไว้
หลังจากเสียง “ฉับๆ” ดังขึ้น หัวใหญ่โตทั้งแปดก็กลิ้งลงมากับพื้นราวกับหั่นผัก
เมื่อเส้นไหมลำแสงสีทองแปดสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วคืนร่างเป็นกระบี่เล่มเล็ก ก็สั่นคลอนอีกครั้งแล้วบินกลับไป ซากที่มีโลหิตสดๆ สีเขียวมรกตย้อมอยู่ทั้งแปดพลันล้มตึงลงกับพื้น
หานลี่ใช้อีกมือหนึ่งสะบัดไปทางซากศพเหล่านั้น ลูกบอลเพลิงสีแดงสดแปดลูกลอยออกมา โจมตีไปยังซากศพ
หลังจากเปล่งเสียงฟู่ๆ สองครั้ง พวกมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงลำแสงสีแดงสด
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หานลี่ถึงได้พลิ้วกายไปด้วยสีหน้าราบเรียบ จมหายเข้าไปในป่าอีกครั้งพร้อมกับเงากลุ่มหนึ่ง
หานลี่ไม่รู้เลยว่า พอเขาจากไปได้ไม่นาน บนต้นไม้ยักษ์ที่อยู่รอบๆ ต้นหนึ่งก็มีลำแสงสีเขียวสองดวงเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเบิกตาสีเขียวขนาดสองสามฉื่อสองข้างขึ้น ลูกตาสีเขียวมรกตกลอกไปมาสองครั้งอย่างไร้ความรู้สึก แล้วจ้องไปยังทิศทางที่เห็นเงาของหานลี่อยู่รางๆ ด้วยตาที่ไม่กะพริบ
ห่างจากตรงนั้นไปสองสามหมื่นลี้ บนต้นไม้ที่ไม่สะดุดตาต้นหนึ่ง มีลูกตาสีเขียวคู่หนึ่งเบิกตาขึ้นเช่นกัน
ทิศทางที่ดวงตาสีเขียวมองไป คือผืนที่โล่งที่อยู่ไกลออกไปประมาณร้อยจั้งเศษ บุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งกำลังยืนเคียงบ่ากันอยู่ตรงนั้น บุรุษหนึ่งในนั้นสวมชุดสีม่วง สตรีสวมกระโปรงสีดำ เห็นได้ชัดว่าคือหล่งตงและเสี่ยวหง
ทั้งสองคนกำลังถ่ายทอดเสียงอะไรสักอย่างไปมา บนพื้นดินรอบๆ มีอสูรขนยาวสองชนิดสีแดงและเขียวสิบกว่าตัวนอนอยู่
“พี่หล่ง เจ้าพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่มองทะลุผ่านเคล็ดวิชาอำพรางกายของพวกเราได้อย่างไร ธงลำแสงลวงตาของข้า แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันก็ไม่อาจมองทะลุผ่านได้” สตรีขมวดคิ้วขณะถ่ายทอดเสียงมา
“น่าจะเกี่ยวข้องกับตาที่สามของพวกมัน โดยปกติแล้วอสูรปีศาจที่มีหลายตา จะมีความสามารถพิเศษ เช่นนั้นพวกเราจึงต้องระวังหน่อย” หล่งตงมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยเช่นกัน แต่ปากกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“คงจะเป็นเช่นนั้น พวกเราออกเดินทางกันเถิด จะต้องไล่ตามแม่หญิงนั้นให้ทัน มิเช่นนั้น ของสิ่งนั้นคงตกอยู่ในมือของนาง” สตรีมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“หึๆ! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีแผนการนี้กับแม่หญิงนั่นที่เข้าร่วมภารกิจนี้ น่าเสียดายที่ของสิ่งนี้เป็นเพียงของไร้ค่าสำหรับตระกูลหล่งของพวกเรา แต่เซียนอย่าลืมล่ะว่าพวกเราตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ของเป็นของเจ้า คนเป็นของข้า” หล่งตงหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา แต่กลับเอ่ยอย่างขึงขัง
“หึ ถึงแม้ว่าข้าจะอยากได้โลหิตของหงส์สวรรค์เช่นกัน แต่เทียบกับเรื่องสำคัญในเผ่าแล้ว ก็รู้ว่าอะไรสำคัญกว่าดี” สตรีแค่นเสียงในลำคอขณะเอ่ย
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปกันเถิด!” ชายหนุ่มไฝโลหิตหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ทันใดนั้นร่างของทั้งสองพลันพลิ้วไหว จมหายเข้าไปในป่าบริเวณรอบเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง เงาลวงตาสีขาวที่บางเบาอย่างหาที่เปลี่ยนสายหนึ่ง กำลังพุ่งผ่านป่าเขาได้อย่างรวดเร็ว จนน่าเหลือเชื่อ…
ตรงเขตต้องห้ามในป่าใบดำ จุดที่ลึกลับที่สุด ใต้ต้นไม้สีเงินความสูงหกเจ็ดจั้งต้นหนึ่ง เงาร่างคนสีดำสองสามสายกำลังนั่งสมาธิอยู่ หนึ่งในนั้นเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น เผยลูกตาสีเขียวมรกตที่พ่นลำแสงสีทองออกมา ปากก็เปล่งเสียงประหลาดๆ สั้นๆ ออกมาสองสามครั้ง
เงาร่างคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ พลันลืมตาขึ้น เงาร่างคนคนหนึ่งที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าคนอื่น เปล่งคำพูดที่เต็มไปด้วยอำนาจออกมา ดูเหมือนว่ากำลังซักถามอะไรอยู่
เงาร่างคนที่ลืมตาทั้งสองขึ้นเป็นคนแรกผู้นั้น หมอบลงกับพื้นในทันที ตอบกลับด้วยความนอบน้อมสองสามประโยค
หลังจากที่คนด้านหลังได้ยิน ก็ออกคำสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ก็หยัดกายลุกขึ้นในทันใด แยกออกไปยืนตรงล้อมต้นไม้เล็กๆ สีเงิน
เงาร่างสูงใหญ่เปล่งเสียงตะโกนออกมา มือหนึ่งชี้ไปยังต้นไม้ต้นเล็ก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพลันพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในต้นไม้สีเงิน
ชั่วขณะนั้นต้นไม้สีเงินพลันสั่นสะเทือนอย่างหนัก ดวงตาสีเงินเบิกขึ้นบนต้นไม้ ในเวลาเดียวกันก็เปล่งแสงสว่างวาบพ่นเสาลำแสงสีเงินหนาเท่าปากชามออกไปสองสามสาย ทุกสายโจมตีไปบนร่างของเงาร่างคนแต่ละคน
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
เงาร่างคนที่ถูกเสาลำแสงโจมตีเหล่านี้ร่างกายเลือนหายวับไป
แน่นอนว่าหานลี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งไม่รู้ว่าร่องรอยของตนเองตกอยู่ในสายตาของคนอื่นแล้ว ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ อยู่ภายในป่า
หนทางด้านหลังช่างราบรื่นนัก ระหว่างทางนอกจากบังเอิญพบกับอสูรขนยาวที่อยู่ตามลำพังสองสามตัวแล้ว ก็ไม่พบคนของเผ่าพฤกษาเลยสักคน
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกดีอกดีใจในเวลาเดียวกัน และอดที่จะรู้สึกฉงนสงสัยไม่ได้
แต่เมื่อขบคิดอีกที พื้นที่ของป่าใบดำนั้นกว้างใหญ่ขนาดนี้ เวลานี้แค่นี้ยังไม่พบเผ่าพฤกษาก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร
ภารกิจนี้เกี่ยวข้องกับยากำจัดสิ่งโสม ตอนนี้เขาเข้ามาในส่วนลึกของป่าแล้ว แน่นอนว่าจึงไม่อาจถอนตัวกลางคันได้
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หานลี่ก็แค่เพิ่มความระมัดระวังขึ้น สองเท้ากลับไม่หยุดพักเลยแม้เพียงชั่วครู่
……
สองวันต่อมา หานลี่พลันหยุดอยู่บนกิ่งไม้บางๆ กิ่งหนึ่ง ร่างกายพลิ้วไหวไปตามลมราวกับไม่มีสสาร สองตากลับจ้องเขม็งไปยังเนินเขาสูงร้อยจั้งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
บนยอดเขามีต้นไม้อยู่บางตาเป็นพิเศษ นอกจากต้นไม้โบราณที่มีอายุค่อนข้างนานอยู่สองสามต้น ก็ไม่มีต้นไม้อื่นอีก
หลังจากที่หานลี่ตรวจสอบเนินเขาอยู่นาน ถึงได้พลิกฝ่ามือ จานอาคมสามเหลี่ยมสีดำพลันปรากฏขึ้น
ใจกลางของอาคม ลำแสงสีขาวนวลจุดหนึ่งกะพริบวายไม่หยุด
ก้มหน้าลงมองจานอาคมอยู่ชั่วครู่ แล้วมองเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งโจมตีไปยังจานอาคม
ชั่วขณะนั้นจานอาคมพลันเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ จุดลำแสงสีขาวนวลกลุ่มนั้นบินออกมา หลังจากหมุนวนโคจรรอบหนึ่ง ชั่วครู่ก็พ่นเส้นไหมสีขาวบางๆ สายหนึ่งออกมา ตรงไปยังต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งบนเนินเขา
หานลี่เลื่อนสายตาไป
ต้นไม้ต้นนี้ดูเหมือนต้นไม้โบราณที่แห้งตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว สูงประมาณสามสิบจั้ง ด้านบนเป็นสีดำสนิท ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น ด้านล่างกลับเป็นสีเหลือง ใกล้กับโคนรากเป็นสีเขียวอ่อน
หานลี่มองดูอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันปิดตาทั้งสองข้าง แผ่จิตสัมผัสออกไป ตรวจสอบในบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด
ชั่วครู่ถึงได้เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น เผยสีหน้าวางใจออกมา
รอบด้านไม่มีคนเลยสักคน และไม่มีความผิดปกติอะไร
หานลี่ไม่ได้เคลื่อนไหวต่อ หลังจากที่หรี่ตาทั้งสองข้างลงขบคิด พลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกกลมๆ สีเงินสองสามเม็ดปรากฏขึ้นในมือ อ้าปากออกอีกครั้ง หลังจากเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น พ่นวิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นออกมา
หลังจากที่วิหคเพลิงบินวนรอบร่างเขา ก็มีขนาดประมาณสองสามฉื่อ กระโจนเข้ามาที่ฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่าจะกลืนไข่มุกสีเงินสองสามเม็ดนั่นลงไป จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ใช้มือหนึ่งปัดที่ไปกำไลเก็บของ ในมือมีธงอาคมสีเขียวตั้งหนึ่งปรากฏขึ้น โยนออกไปด้านหน้าโดยไม่ปริปาก
ลำแสงสีเขียวเจ็ดแปดสายพุ่งออกไป จมหายเข้าไปในเนินเขาอย่างไร้ร่องรอย
สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคม บริกรรมคาถาสองสามครั้ง
ชั่วขณะนั้นลำแสงวิญญาณสีเขียวชั้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นรอบๆ เนินเขา แต่ทันใดนั้นหานลี่ก็ร่ายอาคมกระตุ้น ทันใดนั้นก็เปล่งแสงระยิบระยับ แล้วหายวับไป
เมื่อเห็นฉากนี้ หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ร่างกายหมอบลงบนต้นไม้ หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาอยู่ตรงขอบของเนินเขา
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย