หานลี่รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
เพราะว่าความรู้สึกชื่นชมหลังจากเห็นอานุภาพของแมลงกลืนทองโตเต็มวัยแล้วพลันลดลงไปกว่าครึ่ง
แม้ว่าเขาจะมีแมลงกลืนทองโตเต็มวัยแปดพันตัว แต่หากปล่อยออกมามากเกินไป เกรงว่ายังไม่ทันเห็นฝูงแมลงต่อกรกับศัตรู ตัวเองก็คงถูกดูดจิตสัมผัสไปจนเกลี้ยงก่อน
ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ตอนที่แมลงกลืนทองเหล่านี้ยังไม่โตเต็มวัย กลับไม่เคยมีท่าทีว่าจะต้องสูญเสียจิตสัมผัสไม่หยุด
นี่จึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขาไม่มีทางไม่สนใจสถานการณ์เช่นนี้แน่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาสาเหตุของจิตสัมผัสที่รั่วไหลออกไปก่อน
มิเช่นนั้นจะกล้าควบคุมแมลงวิญญาณออกมาต่อกรกับศัตรูได้อย่างไร!
หลังจากที่หานลี่ขบคิดเล็กน้อย ก็ชูมือขึ้นกวักเรียกแมลงกลืนทองที่อยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นแมลงตัวนั้นพลันหมุนวน แล้วร่อนลงตรงใจกลางฝ่ามือทันที
แผ่จิตสัมผัสส่วนเล็กๆ ออกไปล้อมรอบแมลงตัวนั้น แต่ทุกอย่างดูปกติ ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร
พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เขาหรี่ตาทั้งสองตาลงเล็กน้อยพลางขบคิด ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มือหนึ่งโบกสะบัด ชั่วขณะนั้นแมลงตัวนี้พลันบินขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง จิตสัมผัสพันรัดเอาไว้บนนั้นอีกครั้ง
ชั่วครู่ก็หน้าเปลี่ยนสี
จิตสัมผัสที่รัดอยู่บนร่างของแมลงตัวนี้ มันเริ่มอ่อนแรงลง ถูกแมลงยักษ์ดูดเข้าไปในร่างไม่หยุด
จนถึงตอนนี้หานลี่ก็เข้าใจในที่สุด
สาเหตุที่ต้องสูญเสียจิตสัมผัสไปจำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าการที่แมลงกลืนทองโตเต็มวัยบินไปมา ร่างกายจะสูญจิตสัมผัสของแมลงวิญญาณไปโดยอัตโนมัติ มิน่าล่ะหลังจากกระตุ้นแมลงวิญญาณ จิตสัมผัสจึงถูกดูดไปจำนวนมากอย่างไม่รู้ตัว หลังจากรู้สาเหตุที่น่ากลัวแล้ว หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่นขบคิดอยู่นาน รู้สึกว่าเรื่องนี้แก้ไขได้ยาก
ถึงแม้ว่าจะเสียจิตสัมผัสไปแค่ชั่วคราว ปกติแล้วนั่งสมาธิหนึ่งวัน หรือนานกว่านั้นหน่อย ก็ฟื้นฟูกลับมาได้หมด
แต่หากอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้ นั่นเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะสำแดงวรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาลับ หรือว่าควบคุมสมบัติอาคม ล้วนต้องใช้จิตสัมผัสจำนวนมากคอยประคับประคอง
ดูแล้วก่อนที่จะแก้ไขฝูงแมลงกลืนทองเหล่านี้ได้ คงทำได้เพียงเก็บไว้เป็นเครื่องมือสังหารชนิดหนึ่งแล้ว
อาศัยแค่แมลงตัวนี้ปรากฏตัว ก็ทำให้เงาชาดตนนั้นหนีไปด้วยความกลัว แมลงกลืนทองช่างโหดร้ายจริงๆ และมีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนวิญญาณ
การจัดอันดับแมลงมหัศจรรย์ของผู้บำเพ็ญเพียรสายมารแดนมนุษย์ในตอนนั้น ในสายตาของหานลี่ในครานี้กลับไม่มีค่าให้พูดถึง จากความรู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำผู้นั้น แน่นอนว่าจะเกิดความผิดพลาดไม่น้อย การจัดอันดับนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับแดนวิญญาณ
แต่อานุภาพของแมลงกลืนทองโตเต็มวัย ก็เหนือกว่าที่หานลี่คิดเอาไว้
เมื่อครุ่นคิดจบ หานลี่ก็ไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่นานอีก หลังจากที่แยกแยะทิศทางแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้า
หากคนอื่นๆ ไม่เพลี่ยงพล้ำล่ะก็ กว่าครึ่งคงจะไปรวมตัวกันที่ไหนสักแห่งอีกครั้ง ถึงแม้ว่าสัญลักษณ์ไอวิญญาณในตัวของพวกเขาจะสลายหายไปนานแล้ว แต่การเชื่อมโยงอีกแบบที่เชื่อมต่อกัน ขอแค่อยู่ห่างกันไม่มาก ก็สามารถเชื่อมโยงกันได้
สิบกว่าวันต่อมา สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกลางอากาศในทะเลทรายเพียงลำพัง
ถึงแม้ว่าเดิมทีสีของลำแสงหลีกหนีจะเป็นสีเขียว แต่ไม่รู้ว่าสำแดงเคล็ดวิชาลับอะไร ทำให้ลำแสงหลีกหนีของเขาหม่นแสงลง หากไม่พิเคราะห์อย่างละเอียดก็ไม่พบเห็นมันง่ายๆ
ในลำแสงหลีกหนีนั้นแน่นอนว่าเป็นหานลี่
ในสิบวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่เห็นว่าคนของเผ่าเงาจะตามมา
ดูเหมือนว่าเงาชาดผู้นั้นจะถูกแมลงกลืนทองเขย่าขวัญไปแล้ว
ภายใต้ความรู้สึกปลอดภัยของหานี่ จึงเร่งรุดเดินทางมาหน้าตั้ง
จิตสัมผัสที่สูญเสียไปแต่เดิมฟื้นฟูกลับมาโดยอัตโนมัติระหว่างที่บินมาสองสามวันนี้
ครานี้เขากำลังควงขวดหยกเกลี้ยงเกลาเล่นในมือ นั่นก็คือขวดยากำจัดสิ่งโสมที่สลักตัวอักษรโบราณเอาไว้ ด้านในมียาลูกกลอนกำจัดสิ่งโสมที่ได้มาจากเมืองเทวะสวรรค์บรรจุอยู่
นี่เป็นหนึ่งในรางวัลที่รับหน้าที่เสี่ยงอันตรายในครั้งนี้
นั่นหมายความว่าขอแค่ช่วยคนอื่นทำภารกิจให้สำเร็จ เขาก็จะเป็นอิสระได้อย่างเปิดเผยแล้ว
ไม่ใช่แค่เขา ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาที่รับหน้าที่เสี่ยงอันตรายทั้งหมดจะได้รับยาลูกกลอนกำจัดสิ่งโสมที่เพียงพอ
แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาแอบหนีไประหว่างทาง หรือว่าไม่ตั้งใจทำภารกิจ ขวดยาทั้งหมดจะถูกลงอาคมที่ซับซ้อนเอาไว้ นอกเสียจากว่าจะทำภารกิจสำเร็จ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเปิดขวดยาได้
หากพยายามทำลายมั้ง ขวดใบนี้จะระเบิดออก ทำลายยาลูกกลอนด้านในไปจนหมด
ขอแค่ทำภารกิจสำเร็จ และหลังจากที่พิสูจน์ด้วยวิธีต่างๆ แล้ว ทางนั้นก็จะทลายอาคมออกผ่านยันต์หมื่นลี้
หานลี่ลูบขวดหยกไปมา ชักสีหน้า ในมือมีลำแสงสว่างวาบ ขวดยาหายวับไป
เห็นเพียงเบื้องหน้ามีอะไรไม่รู้ปรากฏขึ้น วิหคประหลาดปากยาวร่างกายใหญ่ยักษ์ราวกับนกกระเรียนมงกุฎแดงฝูงหนึ่ง ปีกขนนกสีเหลืองอ่อน บนหัวมีเนื้องอกสีม่วง
เห็นได้ชัดว่าวิหคยักษ์เหล่านี้พบตำแหน่งของหานลี่แล้ว ปากของมันเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาสองสามครั้ง แล้วเปลี่ยนทิศทางกระโจนออกมา
เห็นฝูงวิหคนี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หานลี่กลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายหายวับไปจากกลางอากาศ ครู่ต่อมา เขากลับปรากฏตัวตรงกลางวิหคประหลาดสีเหลืองยี่สิบสามสิบตัว
ไม่เห็นหานลี่เคลื่อนไหวใดๆ ลำแสงปรากฏขึ้นบนชุด
ลำแสงนี้กะพริบวาบสองสามครั้ง ประจุไฟฟ้าสีทองและเงินสองสีดีดออกมาจากชุด ห่อหุ้มทุกอย่างในระยะร้อยจั้งเอาไว้
เสียงอึกทึกดังขึ้น หลังจากที่ลำแสงอสนีสองสีสีทองและเงินตัดสลับกัน วิหคประหลาดสีเหลืองที่อยู่รอบๆ ก็สลายหายไป
รอบด้านเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งแหวกอากาศออกไป
……
เสาหินสูงใหญ่ที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งซากกำแพงหินสูงสองสามจั้งที่ไม่ไหวติงท่ามกลางพายุที่บ้าคลั่ง ล้วนหมายความว่าที่แห่งนี้คือซากสิ่งปลูกสร้างนิรนามแห่งหนึ่ง แค่ดูจากการผุกร่อนของมันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอยู่มากี่หมื่นปีแล้ว
กำแพงหินที่อยู่ตรงใจกลางของสิ่งปลูกสร้าง สตรีชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ รอบๆ มีชายหนุ่มชุดสีม่วงเดินไปเดินมาอยู่คนหนึ่ง ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็ไม่ปริปากใดๆ
ทั้งสองนั่นก็คือเสี่ยวหงและหล่งตง
ชายหนุ่มสีหน้าราบเรียบ ดูแล้วโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมากที่สูญเสียไปเพราะควบคุมกระบี่โลหิตในวันนั้นจะฟื้นฟูกลับมาภายในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว โดยไม่รู้ว่าเขากินยาลูกกลอนอะไรเข้าไป หรือใช้เคล็ดวิชาลับอะไรกันแน่
มิเช่นนั้นดูจากสถานการณ์ในวันนั้น หากเขาต้องการฟื้นฟูปราณแท้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามปี
ชั่วครู่สตรีและหล่งตงก็สัมผัสอะไรได้พร้อมกัน หันหน้าไปมองทางขอบฟ้า
เห็นเพียงเงาสีทองจางๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ แล้วพุ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ
หลังจากเปล่งแสงสองสามครั้ง ลำแสงสีทองก็หม่นแสงลง หญิงสาวชุดขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“พี่หญิงเสี่ยว สหายหล่ง รอนานแล้วสินะ ดูแล้วทั้งสองท่านคงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก” หญิงสาวหัวเราะคิกคักขณะเอ่ย ดูแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวสตรีก็ฝืนฉีกยิ้มออกมา ส่วนแววตาของหล่งตงกลับฉายแววดีใจ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าแม่หญิงเยี่ยมีปฏิภาณไหวพริบว่องไว ไม่มีทางเป็นอะไรแน่ สหายอีกสองคนยังไม่มา ตอนนั้นพี่หลี่ถูกเผ่าเงาจับเอาไว้ เกรงว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี ส่วนพี่หานในตอนนี้ยังไม่ได้ติดต่อกับพวกเรา เกรงว่าคงถูกคนของเผ่าเงาไล่ตามทัน และเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นกระมัง” ชายหนุ่มถอนหายใจขณะเอ่ย
สตรีเม้มริมฝีปาก แววตาเปล่งประกาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“พี่หลี่อาจจะถูกจับจริง แต่สหายหานน่าจะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ ลองรออีกสักสองสามวันเถิด” หญิงสาวร่อนลงมาจากกลางอากาศ ยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“รออีกสองสามวัน? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เส้นทางทะเลทรายสวรรค์อ่อนแอในรอบปี หากพลาดไป ก็ต้องรออีกหลายปี มากสุดก็รอได้แค่สองวัน” สตรีเอ่ยอย่างราบเรียบ
“วันเดียว อืม ก็พอแล้ว” หญิงสาวชุดขาวไม่ได้ขัดแย้งอะไร เอ่ยปากตอบตกลง ทันใดนั้นก็สาวเท้าไปสองสามก้าว คนก็เดินไปยังมุมหนึ่งที่ค่อนข้างสะอาด แล้วนั่งสมาธิลงเช่นกัน
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ครึ่งวันต่อมา เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นพร้อมกันในตัวของทั้งสามคน
ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนก็เผยสีหน้าต่างๆ ออกมา มองไปแวบหนึ่ง หล่งตงเอ่ยปากว่า
“ข้าจะกระตุ้นตำแหน่งของจานก็แล้วกัน คาดไม่ถึงว่าสหายหานจะไม่เป็นอะไร ช่างโชคดีจริงๆ!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มไฝแดงก็สะบัดแขนเสื้อ จานอาคมสีเขียวปรากฏขึ้นในมือ มือหนึ่งร่ายอาคม ปล่อยอาคมสีเขียวสายหนึ่งออกไป ชั่วครู่ก็จมหายไปในจานอาคมอย่างไร้ร่องรอย
จานอาคมเปล่งแสงสว่างจ้า ชายหนุ่มไฝแดงนำสองมือมาประกบกันอีกครั้ง ของสิ่งนั้นหายวับไป
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ชายหนุ่มก็เอามือไพล่หลังยืนอยู่ที่เดิม
ผลคือสองสามชั่วยามต่อมา อีกด้านหนึ่งก็มีสายรุ้งสีเขียวปรากฏขึ้น หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง สายรุ้งสีเขียวก็มาอยู่เบื้องหน้าของทั้งสามคน หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ลำแสงสีเขียวก็หม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้น
“พี่หาน เจ้าไม่เป็นไรก็ดี การติดกับเผ่าเงาในครั้งนี้ มีคนปลอดภัยกว่าครึ่ง นับว่าพวกเราโชคดีไม่น้อย” หล่งตงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เหล่าสหายล้วนปลอดภัย ช่างโชคดีจริงๆ!” แววตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของทุกคน แล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ในเมื่อพี่หานมาถึงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็พักผ่อนอีกสักครึ่งวัน จากนั้นค่อยออกเดินทางเถิด เพื่อไม่ให้ถูกคนของเผ่าเงามาพัวพันอีก” เสี่ยวหงเสนออย่างสุขุม
“เซียนเสี่ยวพูดมีเหตุผล ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนักจริงๆ” หล่งตงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
หานลี่และหญิงสาวชุดขาวเองก็ไม่ได้มีข้อขัดแย้งอะไร
ครึ่งวันต่อมา พวกเขาก็ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปจากที่นี่ บินตรงไปยังทิศใดทิศหนึ่ง
ครั้งนี้บินไปได้แค่หมื่นลี้เศษ เบื้องหน้าก็ค่อยๆ มีวายุบ้าคลั่งปรากฏขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็บินเข้าไปในโลกของทะเลทราย รอบด้านล้วนเป็นสีเหลือง และยิ่งไปกว่านั้นพายุต่างๆ ยังหมุนวนนำทรายสีเหลืองมาพลันรอบตัวพวกเขาไม่หยุด
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาปล่อยลำแสงวิญญาณออกมาปกป้องร่าง เกรงว่าวายุสีเหลืองคงพัดพวกเขาให้ร่วงลงไปจากกลางอากาศแน่
หลังจากมุ่งหน้าไปได้พันกว่าลี้ ฉับพลันนั้นลำแสงหลีกหนีที่อยู่หน้าสุดของหล่งตงก็หยุดชะงัก ทันใดนั้นผู้ที่อยู่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของเขาดังขึ้น
“ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือเส้นทางสวรรค์ หึๆ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเบื้องบนเตรียมไข่มุกกำจัดวายุให้พวกเราคนล่ะสองเม็ด เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็คงไม่กล้าบุกเข้ามาที่นี่ง่ายๆ มีไข่มุกเม็ดนี้ ก็เพียงพอให้พวกเราไปและกลับอย่างปลอดภัยแล้ว แต่ทุกคนต้องระวังอสรพิษวายุที่อาศัยอยู่ในนี้ ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลนัก เส้นทางสวรรค์กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเราคงไม่บังเอิญไปพบเข้า”
“เหล่าสหายหากไปถึงด้านในแล้วต้องระวังอีกอย่าง อาจจะมีอันตรายอย่างอื่นเกิดขึ้น ถึงอย่างไรเสียดูเหมือนว่าเผ่าเงาเหล่านั้นจะดักซุ่มรอพวกเราอยู่นานแล้ว ด้านในไม่แน่ว่าอาจจะมีกับดักอะไรเช่นเดียวกัน หากพบเรื่องอะไรเข้า ทุกคนก็ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” สตรีเองก็เคร่งขรึมขึ้น อธิบายอย่างเด็ดขาด