ผลวิญญาณลูกสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในมือของหญิงสาวชุดขาว
หญิงสาวผู้นี้ควักวัตถุดิบล้ำค่าที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงออกมา และแบ่งออกเป็นสี่ส่วนตามมูลค่า ให้ทุกคนเลือกตามอำเภอใจ
หญิงสาวลงมืออย่างใจกว้างเช่นนี้ ถึงแม้ว่าหล่งตงและสตรีจากเผ่าหงส์ดำจะรู้ตัวว่าไม่มีทางเอาวัตถุดิบระดับเดียวกันออกมาได้ จึงทำได้เพียงยอมมอบผลวิญญาณให้หญิงสาวผู้นี้อย่างไม่เต็มใจ
ไม้วิญญาณมรกตหมื่นปีท่อนเล็กๆ นี้ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่หานลี่เลือก
ไม้ชนิดนี้เบาหวิวดุจปุยนุ่น กันน้ำกันไฟ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เหมาะสมกับการการหลอมเขตอาคมตราประทับ และยิ่งไปกว่านั้นหากเพิ่มอายุให้มัน ก็จะมีพลังป้องกันทั้งห้าธาตุแน่นอน
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วไม้ชนิดนี้จะใช้หลอมยุทธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการหลอมสำเภาวิญญาณ กระสวยเหาะ รถอสูรเป็นต้น
หานลี่ควงไม้วิญญาณเล่นในมือชั่วครู่ แล้วเก็บเข้าไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง
รถเหาะคันนี้ยังคงเป็นสิ่งที่หล่งตงเอาออกมา ถึงแม้ว่าจะสะดวกสบายและอำพรางตัวได้ไม่เท่าสำเภาเมฆาวิญญาณก่อนหน้า แต่ความเร็วในการเหาะกลับเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่พบกับอสูรโบราณที่แข็งแกร่ง ต่อให้เขตอาคมอำพรางของสำเภาเมฆาวิญญาณก็เกรงว่าจะไม่ได้มีประโยชน์มากนัก เช่นนั้นไม่สู้ใช้รถเหาะที่ค่อนข้างว่องไวจะเหมาะสมกว่า
หากพบกับความยุ่งยากล่ะก็ อาศัยความเร็วของรถคันนี้สลัดออกก็ได้แล้ว
ครานี้รถเหาะที่อยู่กลางอากาศคันนี้พลันกลายเป็นเงาสีเขียวจางๆ สายหนึ่ง พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าสะพรึง
ส่วนคนที่เหลือนั้น นอกจากหล่งตงที่เป็นผู้ควบคุมรถเหาะแล้ว ต่างก็อยู่เงียบๆ ตามมุมต่างๆ ของรถเหาะ
หานลี่ชักสายตากลับมา ฉับพลันนั้นพลันตกอยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวชุดขาวที่อยู่ใกล้ๆ สองตาอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
หากกล่าวในบรรดากลุ่มคนกลุ่มนี้ คนที่เขารู้สึกหวาดกลัวและดูไม่ออกที่สุดก็คือหญิงสาวที่ดูแล้วมีพลังยุทธ์ธรรมดาๆ เหมือนกับตัวเอง
สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะอายุยังน้อย และยิ่งไปกว่านั้นการพูดจายังดูเหมือนเป็นคงง่ายๆ แต่หานลี่ที่ฝึกฝนคาถาขับเคลื่อนมาจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ประสาทสัมผัสจึงไวจนอยู่ในขั้นที่น่าเหลือเชื่อ และมักจะรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เป็นผู้ที่มีพลังแรงกดดันต่อเขามากที่สุดในบรรดาทั้งสี่คน แม้กระทั่งมีท่าทีลึกลับมากกว่าชายหนุ่มไฝแดงที่เรียกตัวเองว่ามาจากตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้
ขณะที่หานลี่กำลังขบคิดอยู่นั้น หญิงสาวที่กำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่มุมหนึ่ง พลันเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ประสานสายตาเข้ากับหานลี่อย่างพอดิบพอดี
หานลี่ใจหายวาบ ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง สตรีกลับเม้มปากฉีกยิ้มบางๆ ออกมา
หานลี่หัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างขัดเขิน แล้วเบือนหน้าหนีทันที
เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นแววตาขี้เล่นที่ฉายแวบผ่านแววตาของหญิงสาว
ครึ่งเดือนต่อมา การเดินทางของพวกเขาก็นับว่าราบรื่นอย่างน่าแปลกใจ ไม่พบความยุ่งยากเลยสักนิด
นี่จึงทำให้หล่งตงและหญิงสาวต่างผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเงียบๆ เฮือกหนึ่ง ในใจต่างคาดหวังว่าหนทางต่อจากนี้จะราบรื่นเหมือนที่ผ่านมา
สองสามวันต่อมาทัศนียภาพรอบด้านพลันเปลี่ยนไป เบื้องหน้ามีทะเลทรายสีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้น วายุร้อนระอุพัดโชยมาปะทะใบหน้า
“ทะเลทราย หรือว่าพวกเรามาถึงเส้นทางสวรรค์หนานเกิ่นแล้ว” แววตาของชายหนุ่มคิ้วขาวฉายแววตื่นตะลึง
“ใช่แล้ว ที่นี่คือทะเลทรายหนานเกิ่น เป็นเส้นทางที่เชื่อมไปยังเผ่าพฤกษาได้ง่ายที่สุด” หล่งตงน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ได้ยินคนพูดถึงที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว หรือว่าเหมือนกับในตำนานที่ว่าไม่อาจอ้อมผ่านทะเลทรายผืนนี้ได้? ที่นี่มักจะมีเผ่าพฤกษาและเผ่าเงาเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ มันอันตรายไปหน่อยกระมัง” สตรีเหลือบตามองไปรอบๆ คิ้วดำขลับขมวดมุ่น
“เซียนเสี่ยว ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายไปหน่อย แต่ก็ปลอดภัยว่าอีกสองเส้นที่เหลือมาก ส่วนการอ้อมไปนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สองฝั่งของทะเลทรายผืนนี้ ฝั่งหนึ่งคือภูเขาชีพจรอสูรที่มีชื่อเสียง ด้านในมีอสูรโบราณระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาเข้าไป ก็ยังไปแล้วไปลับไปกว่าครึ่ง อีกด้านกลับเป็นหุบเขาต้นกำเนิดของมังกรวารี ด้านในมีมังกรวารีที่ดุร้ายระดับหลอมสุญตาขึ้นไปอาศัยอยู่นับร้อยตัว ราชันย์มังกรระดับหลอมร่างก็ดูเหมือนว่าจะมีถึงยี่สิบสามสิบตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมังกรวารีที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าหน่อยได้ ไม่ว่าสองเผ่าอย่างพวกเราหรือว่าเผ่าประหลาด ล้วนไม่อยากไปยั่วโมโหมังกรวารีที่ดุร้ายเหล่านั้นง่ายๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสองสามคนอย่างพวกเรา จะกล้าเข้าไปได้อย่างไร สามเขตนี้กว้างใหญ่มาก จุดที่อยู่ห่างไปหน่อยพวกเราต้องใช้เวลาสองสามปี ถึงจะอ้อมผ่านไปได้ ตอนนี้สงครามใหญ่ใกล้จะปะทุแล้ว เมืองเทวะสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปได้” หล่งตงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าข้าก็ได้ยินมาว่า ทะเลทรายผืนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ทดสอบของทั้งสองเผ่า” หญิงสาวชุดขาวแทรกขึ้น
“ก่อนออกเดินทาง อาวุโสในเผ่าเคยกำชับเอาไว้แล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันรู้สึกระมัดระวังขึ้นเช่นกัน
“หากเป็นเช่นนั้น จากนี้ก็อย่านั่งรถเหาะเลย มันเป็นเป้าที่ใหญ่ไปหน่อย สะดุดตาเกินไป พวกเราอำพรางตัวกันดีกว่า เดาว่าถึงแม้ว่าทุกอย่างราบรื่น ก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือนถึงจะข้ามผ่านทะเลทรายไปได้” หล่งตงขบคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ตามที่สหายกล่าว” สตรีขบคิดหลังจากสบสายตากับชายหนุ่มคิ้วขาวแวบหนึ่งแล้ว ก็ตอบตกลง
“ข้าน้อยก็ไม่มีความเห็นใดๆ ทว่านั่งรถเหาะมันค่อนข้างสะดุดตาเกินไปจริงๆ” หานลี่เองก็เอ่ยออกมายิ้มๆ
มีเพียงหญิงสาวชุดขาวที่เผยท่าทีไม่ยี่หระออกมา
ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนตกลงกันแล้ว ก็ทยอยกันบินออกจากรถเหาะ ทำให้ชายหนุ่มไฝโลหิตเก็บยุทธภัณฑ์ กลุ่มคนสำแดงการอำพรางกาย แล้วเข้าไปในทะเลทรายอย่างระมัดระวัง
เข้าไปในทะเลทรายได้ไม่นาน หานลี่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของทะเลทราย
อุณหภูมิมันสูงเกินไปหน่อยจริงๆ มากกว่าทะเลทรายอื่นๆ ที่หานลี่เคยพบมาก่อน
ถึงแม้ว่าเขาจะบินอยู่ต่ำๆ แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนฉ่าที่แผ่ออกมาเป็นระลอกๆ ราวกับว่าตัวไม่ได้อยู่ในทะเลทราย แต่อยู่บนปากปล่องภูเขาไฟขนาดยักษ์
หานลี่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดที่สาดแสงลงมอง แล้วก้มหน้าลงมองพื้นดิน ยื่นมือหนึ่งออกไป ชั่วขณะนั้นกรวยน้ำแข็งพลันพุ่งลงไป
ผลคือกรวยน้ำแข็งยังไม่ทันสัมผัสกับพื้นทราย ก็กลายเป็นไอสีขาวกลุ่มหนึ่งท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุแล้วหายวับไป
เมื่อเห็นฉากนี้หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
“สหายหานยังไม่รู้สินะ ใต้ทะเลทรายหนานเกิ่นเดิมทีเป็นปล่องภูเขาไฟยักษ์!” ด้านข้างมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ หญิงสาวชุดขาวปรากฏกายขึ้นด้านข้างพลางเอ่ยและหัวเราะคิกคัก
“งั้นหรือ? ข้าน้อยไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้จริงๆ” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ว่ากันว่าตอนนั้นหงส์สวรรค์ธาตุคู่วายุดินตัวหนึ่งได้ต่อสู้กับวิญญาณเที่ยงแท้จระเข้เพลิงที่อาศัยอยู่ใต้ภูเขาไฟตนหนึ่งอยู่เดือนกว่า และได้อาศัยความสามารถในการเรียกลมพายุทรายที่ไม่จำกัดกลบภูเขาไฟไปจนหมด จึงได้เกิดเป็นทะเลทรายขึ้น” หญิงสาวดูเหมือนว่าจะรู้ประวัติที่นี่เป็นอย่างดี จึงเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“ข้าก็ว่าเหตุใดทะเลทรายแห่งนี้ถึงแปลกๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทว่ามีความสามารถระดับวิญญาณเที่ยงแท้ ช่างยากที่จะเชื่อจริงๆ” หานลี่เอ่ยพึมพำ ทั้งเหมือนกับตอบคำถามของหญิงสาว และเหมือนกับรำพันกับตัวเอง
“ใช่แล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราฝึกฝนจนอยู่ในระดับเทพเซียน ก็อาจจะต่อสู้ถึงขั้นนี้ได้ แต่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งระดับวิญญาณเที่ยงแท้อย่างมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์นั้น ก็ทำได้เพียงแหงนหน้ามอง ไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งหากมีความสามารถเท่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมีความรู้สึกอย่างไร!” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา จากนั้นก็ไม่สนใจหานลี่อีก ลำแสงหลีกหนีกะพริบวาบแล้วพุ่งไปอยู่ด้านหน้า
หานลี่มองเงาแผ่นหลังของหญิงสาว ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แค่เร่งรุดเดินทางเท่านั้น
สิบกว่าวันต่อมา หานลี่และพวกกำลังบินต่ำๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของพวกเขาจะอยู่ในระดับเทพแปลง แต่การเดินทางอย่างต่อเนื่องภายใต้อุณหภูมิที่ร้อนฉ่าเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“เดินทางอีกครั้งวัน ค่อยหาที่พักผ่อนสักหน่อย” หล่งตงที่บินอยู่หน้าสุด หันหน้ามาเอ่ยกับทุกคนหนึ่งประโยค
“อืม ต้องพักฟื้นฟูพลังสักหน่อยแล้ว” สตรีพยักหน้า ท่าทางอ่อนเพลียเช่นกัน
“เอ๋ นั่นคืออะไร?” ฉับพลันนั้นด้านข้างพลันมีเสียงร้องอุทานเบาๆ ที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงดังขึ้น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มคิ้วขาว
หานลี่ได้ยิน ก็มองไปตามความรู้สึก
ผลคือจุดที่ไกลออกไปนั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยสักชิ้น
ภายใต้การขมวดคิ้ว แผ่จิตสัมผัสขนานใหญ่ออกไป ผลคือใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาในทันที
ครานี้หล่งตงและพวกก็แผ่จิตสัมผัสออกไป สีหน้าของทุกคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหานลี่นัก ต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาเช่นกัน
“ที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะมีเมืองตั้งอยู่ แล้วยังเป็นเมืองเผ่ามนุษย์ของพวกเราอีก หรือว่าพวกเราตาฝาดไป” น้ำเสียงของหานลี่ประหลาดๆ ไปเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกคนแผ่จิตสัมผัสไป ห่างจากพวกเขาไปแค่ยี่สิบสามสิบลี้ มีทวีปสีเขียวขนาดไม่เล็กอยู่แห่งหนึ่ง ในทวีปสีเขียวมีเมืองเล็กๆ กึ่งเมืองกึ่งชนบทอยู่เมืองหนึ่ง ด้านในมีมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย
“ที่นี่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ และยังใกล้กับเผ่าประหลาดเช่นนี้ จะไปมีเผ่ามนุษย์ของพวกเราได้อย่างไร ไม่ใช่ว่ามีอะไรผิดปกติหรอกนะ” สตรีกลอกตาไปมาด้วยความฉงน
หล่งตงได้ยินคำนี้พลันขมวดคิ้ว สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
“ให้ข้าใช้ร่างแปลงแอบเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน” ชายหนุ่มคิ้วขาวมองไปยังทวีปสีเขียว ฉับพลันนั้นก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
จากนั้นชายหนุ่มก็ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ท้ายทอย เงาลวงตาสายหนึ่งสว่างวาบ นกอินทรีตัวเล็กขนาดสองสามฉื่อพุ่งแหวกอากาศไป เรือนกายเปล่งแสงสีดำมะเมื่อม หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็บินตรงไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป
ชายหนุ่มคิ้วขาวหลับตาทั้งสองข้างลง เชื่อมโยงจิตสัมผัสกับนกอินทรีตัวเล็ก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น
หลังจากที่สตรีและหล่งตงมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่าควรจะตรวจสอบก่อนจะดีกว่า จึงไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามการกระทำของชายหนุ่มคิ้วขาว
หานลี่ชะเง้อมองไปทางเมืองเล็กๆ ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นกัน
หญิงสาวชุดขาวเองก็มองไปด้วยความสนใจโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
อินทรีน้อยรวดเร็วมาก ไปและกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งกาน้ำชาเท่านั้น
เมื่ออินทรีตัวนี้พลิ้วกายก็จมหายไปที่ศีรษะของชายหนุ่มคิ้วขาวอีกครั้ง ชายหนุ่มเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น
“ไม่ผิด ในเมืองเล็กมีเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าอยู่ ด้านในมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่น้อย ระดับเทพแปลงมีอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน ระดับหลอมสุญตานั้นมองไม่เห็นจากภายนอก” ชายหนุ่มคิ้วขาวเอ่ยอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ฟังคนอื่นๆ ก็พลันมีสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่ต้องสนใจเมือง พวกเราทำตามแผนเดิมก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก” หานลี่เอ่ยปากอย่างราบเรียบ
“เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เรื่องนี้ช่างแปลกประหลาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในทะเลทราย พวกเราไปสอบถามอย่างละเอียดแล้วค่อยเดินทางต่อจะดีกว่า จะได้ไม่บุกเข้าไปในอันตรายอะไร” หล่งตงกลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย