ถึงแม้ว่าดวงตาของหานลี่จะปิดสนิทอยู่ แต่แน่นอนว่าไม่มีเข้าสู่สมาธิอะไรได้จริงๆ แต่กำลังขบคิดเรื่องเคล็ดวิชาที่ยังไม่เข้าใจในหัวซ้ำไปซ้ำมาไปพลาง แผ่จิตสัมผัสของตัวเองส่วนหนึ่งไปพลาง ครานี้กำลังสังเกตการณ์รอบๆ สำเภาวิญญาณ เพื่อไม่ให้อสูรโบราณอะไรมาลงมือทำการโจมตีสำเภาวิญญาณอีก
เจ็ดแปดวันต่อมา ภายใต้การอำพรางตัวของสำเภาวิญญาณ ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะพบอสูรวิหคประเภทอื่นๆ อยู่กลางอากาศ แต่กลับผ่านมาได้อย่างไม่มีอันตราย เห็นได้ชัดว่าฝูงอสูรเหล่านี้ไม่เหมือนกันวิหคประหลาดสี่ปีกที่พบฝูงแรก ที่มีพลังในการมองทะลุผ่านเขตอาคมของสำเภาเมฆาวิญญาณ
เช่นนั้น ชั่วครู่ก็ถึงวันเข้าเวรวันที่เก้าของหานลี่ เป็นเวลาเที่ยงวัน เมื่อเขาหยัดกายลุกขึ้นนำศิลาวิญญาณไปเปลี่ยนบนสำเภาวิญญาณ และกำลังคิดจะกลับไปนั่งสมาธิตรงที่เดิมนั้น กลับชะงักฝีเท้า ฉับพลันนั้นพลันหันศีรษะ เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมาขณะมองไปทางเบื้องหน้าของสำเภาวิญญาณ
“จะเป็นไปได้ได้อย่างไร ที่นี่จะมีของสิ่งนี้ได้อย่างไร” หานลี่ดูเหมือนจะสัมผัสอะไรได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ฉับพลันนั้นปากก็เปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา
ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็เพียงพอจะทำให้คนที่เหลือทั้งสี่ที่อยู่ในห้องทำสมาธิได้สติ
ชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีสองสามสายก็พุ่งออกมาจากสำเภา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏตัวข้างกายหานลี่
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพี่หานถึงเรียกพวกเราออกมา หรือว่ามีอันตรายเกิดขึ้น?”
“นี่คืออะไร หรือว่าคือ…”
เมื่อสตรีและหล่งตงปรากฏตัวขึ้น ก็เอ่ยปากตามลำดับ แต่แค่คำพูดของเสี่ยวหงนั้นเต็มไปด้วยข้อสงสัย ส่วนหล่งตงกลับพบอะไรในทันที ชั่วครู่พลันตะลึงงัน
ชายหนุ่มคิ้วขาวและสตรีเองก็แผ่จิตสัมผัสของตนเองออกไปเช่นกัน
“นั่นคืออะไร หรือว่าคือจิตวิญญาณเที่ยงแท้” ชายหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
ถึงแม้ว่าสตรีชุดขาวจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ก็เผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดออกมา
หานลี่ในครานี้กลับสงบเยือกเย็นลงแล้ว กลางอากาศห่างออกไปสองสามร้อยลี้ เขาสัมผัสได้ถึงเงาสีดำขนาดใหญ่กำลังอำพรางตัวลอยอยู่กลางอากาศ
รอบๆ ของเงาสีดำมีเมฆสีดำหมุนวน มีสายฟ้ากะพริบวาบและร้องคำราม ภายใต้เมฆสีดำ พายุเฮอร์ริเคนสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพัดวนอยู่บนพื้นดิน ราวกลับเสายักษ์ค้ำฟ้าต้นหนึ่ง เชื่อมโยงท้องฟ้าและพื้นดินเข้าด้วยกัน บางครั้งในเมฆก็มีร่างที่มีเกล็ดสีเทาอยู่ทั่วร่างปรากออกมา จึงทำได้เพียงทำให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริด กลับไม่อาจคาดเดาฐานะที่แท้จริงของเงาสีดำเงานั้นได้
ทว่าหากมองไกลๆ จะมองเห็นเป็นเงาสีดำกลมๆ ขนาดใหญ่โตและน่าเกรงขามเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่มีร่างกายใหญ่โตดุจภูเขาในตำนาน
มิน่าล่ะทุกคนในสำเภาหยกเห็นเข้า จึงทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี
ในตอนที่ทุกคนกำลังตะลึงอยู่นั้น ขอบฟ้าตรงจุดที่ไกลออกไปก็มีเสียงคำรามเหมือนกับเสียงกระทิงคำรามดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงตึงตังก็ดังขึ้น ราวกับว่าอสนียักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังระเบิดอยู่ไกลออกไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันขนาดนี้ เสียงอสนีเหล่านี้ก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และชัดเจน
“นี่ไม่ใช่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่เป็นอสูรโบราณ ‘เต่าอสนี’ เต่าตัวนี้คือหนึ่งในเผ่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอสูรโบราณป่าเถื่อน แต่ปกติแล้วร่างกายจะแค่ดูดซับพลังอัสนี ไม่มีทางโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่นก่อน แน่นอนว่าหากไปยั่วโมโหมัน มันก็จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ถึงจะต่อกรกับมันได้” หญิงสาวสวมชุดสีขาวได้ยินเสียงคำรามประหลาดๆ กลับมีสีหน้าผ่อนคลายลง ถอนหายใจยาวๆ ออกมาขณะเอ่ย
“เต่าอสนี? คืออสูรโบราณที่กำเนิดในอสนีสวรรค์ในตำนาน ข้าเคยได้ยินพวกที่ตัวใหญ่แต่ไร้พิษภัยนี้ขอแค่มีพลังอสนี ร่างกายก็จะขยายใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ เป็นอสูรฟ้าดินที่อัศจรรย์ที่สุด ว่ากันว่าเผ่ามนุษย์ในเขตแดนเสวียนอู่มี ‘ชานหลิง’ คือเต่ายักษ์ที่มีพลังทานเมืองอยู่ อาจจะเป็นเต่าอสนีตัวหนึ่ง ถึงแม้ว่าตัวที่อยู่เบื้องหน้าจะตัวไม่เล็ก แต่เทียบกันแล้วกลับเล็กมาก” สตรีชุดดำได้ยินว่าไม่ใช่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ ก็รู้สึกผ่อนคลายลง ส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยชื่นชม
“ชานหลิงใช่เต่าอสนีหรือไม่ พวกเราก็ไม่แน่ใจนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าเต่าอสนีที่อยู่เบื้องหน้าคงไม่อาจใหญ่เท่าหนึ่งในหมื่นส่วนของเต่ายักษ์ชานหลิงได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น หากพวกเราทำให้อสูรตนนี้โมโห ก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้เช่นกัน รีบหลบอสูรตนนี้ไปจะดีกว่า!” ฉับพลันนั้นหล่งตงพลันฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ ความจริงแล้วถือว่าพวกเรามีวาสนาไม่น้อย ปกติแล้วเต่าอสนีจะมุดอยู่ใต้ดิน ไม่ค่อยออกมาปรากฏตัวบนพื้น คนทั่วไปไม่มีทางพบเห็นได้ง่ายๆ ปกติแล้วหากมันขึ้นมาบนพื้นดิน ล้วนเป็นเพราะ…แย่แล้ว ในเมื่อเต่าตัวนี้มาปรากฏขึ้นบนพื้น ที่นี่จะต้องมีระเบิดอสนีที่น่ากลัวเกิดขึ้นแน่ พี่หล่งรีบขับสำเภาวิญญาณออกจากที่นี่เร็วเข้า” เสี่ยวหงพลันพยักหน้า แต่ฉับพลันนั้นก็นึกถึงอะไรที่น่ากลัวสักอย่าง หน้าพลันขาวซีด แล้วร้องอุทานออกมาด้วยความลนลาน
“ระเบิดอสนี?” เมื่อได้ยินทุกคน ณ ที่นั่นรวมทั้งหานลี่ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
หล่งตงร่างกายพลิ้วไหวพร้อมสีหน้าที่เขียวคล้ำ พลางหายวับไปจากที่เดิม ชั่วครู่กลับมาปรากฏตัวบนหัวเรือที่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมียุทธภัณฑ์เหมือนแผ่นป้ายปรากฏขึ้น
เห็นเพียงสองมือของนางลูบไปบนแผ่นป้าย พริบตานั้นเมฆสีขาวรอบๆ หายวับไป จากนั้นสำเภาวิญญาณก็หยุดชะงัก เปลี่ยนทิศทางพุ่งออกไป ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง กลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้า
แต่สำเภาวิญญาณยังออกไปได้แค่ยี่สิบสามสิบลี้ เงาสีดำกลางอากาศไกลออกไป ก็มีลำแสงสีฟ้าเรืองรองชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นลำแสงผืนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะถูกอะไรกระตุ้นเข้าสักอย่าง มันแผ่ออกมารอบๆ ความเร็วของมันทำให้ผู้คนตกใจจนพูดไม่ออก
แค่ชั่วอึดใจทุกคนที่อยู่บนสำเภา ก็มองเห็นเส้นสีฟ้าสายหนึ่งที่ขอบฟ้าด้วยตาเนื้อและได้ยินเสียงตูมตามดังมา ลำแสงอสนีจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับว่ากรงเล็บของมารปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกระโจนออกมา
“ได้ยินว่าหากเต่าอสนีปรากฏตัว ระเบิดอสนีก็ไล่ตามมา เรื่องนี้เป็นความจริงดังคาด เหล่าสหายรีบมาช่วยข้าอีกแรงเร็วเข้า” ชายหนุ่มไฝแดงเห็นความลำแสงของลำแสงสีฟ้า กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง ตะโกนด้วยเสียงอันดัง
ความจริงแล้วไม่ต้องให้เขาพูดเหล่าชายหนุ่มคิ้วขาวและสตรีก็มองเห็นลำแสงสีฟ้าที่เข้ามาประชิดอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว สีหน้าจึงไม่ได้ดีเท่าใดนัก
แทบจะไม่ต้องคิด สองมือของทั้งสองพลันร่ายอาคม ร่างกายพลันมีลำแสงวิญญาณสีต่างๆ ทะลักออกมา หมุนวนโคจรอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน แล้วใส่ไปที่สำเภาหยกซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า
การเคลื่อนไหวของหานลี่และสตรีชุดขาวก็ไม่ได้เชื่องช้านัก แต่ทันใดนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะนั้นก็บรรจุพลังลมปราณห้ากลุ่มเข้าไปในสำเภาเมฆาวิญญาณ!
เมื่อทุกคนร่วมมือกันแน่นอนว่าก่อนหน้าจึงไม่อาจเทียบได้ หลังจากที่สำเภาใต้ฝ่าเท้าเป็นเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันสั่นคลอน ลำแสงด้านนอกสำเภาเริ่มรางเลือน
ภายใต้ความเร็วถึงขีดสุด สำเภาวิญญาณกลายเป็นสายรุ้งสีขาวแล้วกลายเป็นเงาลวงราวกับดาวตกสายหนึ่ง แค่พลิ้วไหวเล็กน้อย ก็พุ่งไปสุดขอบฟ้า
ทว่าความเร็วเช่นนี้ เส้นไหมสีฟ้าที่อยู่ด้านหลังสำเภาวิญญาณก็ดูเหมือนว่าความเร็วจะไม่ต่างอะไรกับสำเภาวิญญาณนัก จึงไล่ตามมาอยู่ด้านหลังติดๆ
นี่จึงทำให้เหล่าหล่งตงและพวกตะลึงงัน แล้วถึงได้รู้ความน่ากลัวของระเบิดอสนีในตำนาน ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ
แต่โชคดีที่ทุกคนร่วมมือกัน จึงกระตุ้นความเร็วของสำเภาวิญญาณให้อยู่ในจุดสูงสุด หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านความเร็ว เกรงว่าคงไม่อาจหลบหนีได้
แน่นอนว่าหานลี่และพวกล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ ทุกคนต่างมีเคล็ดวิชาลับในการรักษาชีวิตตนเอง อาศัยแค่การกระตุ้นเคล็ดวิชาหลีกหนีลับ ก็ไม่แน่ว่าจะช้ากว่าสำเภาวิญญาณเบื้องหน้านี้เท่าใดนัก แต่ผลของการกระทำเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนต่างได้รับผลที่ตามมา ไม่สูญเสียปราณแท้ไป โลหิตบริสุทธิ์ก็ได้รับความเสียหายหนัก
ในสถานที่ที่อันตรายทุกย่างก้าวอย่างแดนป่าเถื่อนนี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายทำเช่นนี้ ดังนั้นครั้งนี้หานลี่และพวกจึงควบคุมสำเภาวิญญาณอย่างร่วมแรงร่วมใจกัน ทำให้สำเภาวิญญาณบินหนีออกมาในระยะสองสามหมื่นลี้ในอึดใจเดียว
ในที่สุดลำแสงสีฟ้าด้านหลังก็หายวับไป ไม่ได้ยินเสียงอัสนีฟ้าฟาดเลยสักนิด
ทุกคนถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง หลังจากที่ลำแสงวิญญาณหม่นแสงลงแล้ว ก็ทยอยกันเก็บพลังลมปราณ
สำเภาวิญญาณถึงได้ลดความเร็วลง
“อันตรายจริงๆ ครั้งนี้โชคดีที่เซียนเสี่ยวมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว มิเช่นนั้นหากช้าไปเพียงนิด พวกเราคงถูกม้วนเข้าไปในระเบิดอสนี ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เพลี่ยงพล้ำในนั้น แต่ก็ยากที่หนีออกมาได้อย่างครบสามสิบสอง” ในที่สุดสีหน้าของหล่งตงก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ พลางเอ่ยกับสตรีด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ข้าเองก็โชคดี ถึงแม้ว่าเต่าอสนีจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ก็รู้เรื่องของโลกภายนอกไม่มากจริงๆ เผ่าของน้องหญิงน้อยเคยมีอาวุโสผู้หนึ่ง สังหารเต่าอสนีตัวหนึ่งได้โดยลำพัง ดังนั้นจึงรู้อะไรมานิดหน่อย ปกติแล้วเต่าอสนีจะซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน มักจะไม่ยอมขึ้นมาบนดินง่ายๆ มีเพียงรู้สึกถึงแรงระเบิดอสนีจากที่ใดสักแห่ง ถึงจะปรากฏตัวออกมาดูดซับพลังอสนี แต่จะว่าไปแล้วเต่าอสนีโตเต็มวัยจะมีให้กำเนิดไข่มุกมหัศจรรย์สองเม็ดในร่าง เม็ดหนึ่งดึงดูดอสนี เม็ดหนึ่งป้องกันอสนี มีอานุภาพมาก ว่ากันว่าลึกลับมาก ถึงแม้ว่าผู้ที่มีไม่มีรากวิญญาณอสนีได้ไข่มุกเม็ดนี้ไป ก็สามารถควบคุมพลังอสนีได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นที่อาวุโสผู้นี้สังหารเต่าอสนีตัวนั้น เป็นแค่ลูกเต่า ดังนั้นจึงยังไม่มีไข่มุกอัศจรรย์สองเม็ด ทว่ากระดองของเต่าอสนีนั้นแฝงไปด้วยพลังอสนีที่น่าตกใจ คือวัตถุดิบระดับสุดยอดที่ใช้หลอมสมบัติธาตุอสนี หากผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถเกรียงไกรพบกับเต่าชนิดนี้ เกรงว่าคงดีใจจนบ้าคลั่ง” เสี่ยวหงกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาสองสามครั้ง
“อาวุโสของเผ่าท่านสังหารอสูรอัศจรรย์ฟ้าดินได้เพียงลำพัง จะต้องเป็นหนึ่งในเหล่าอาวุโสของเผ่าท่านแน่ แต่สำหรับระดับเทพแปลงอย่างพวกเรา กลับเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน ครั้งนี้ฟาดเคราะห์มาได้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวกลับเบะปาก ดูเหมือนว่าจะยังคงหวาดกลัวกับเรื่องที่พบเต่าอสนีและเรื่องระเบิดอสนีอยู่
“ใช่แล้ว! ถึงแม้ว่าเต่าอสนีจะมีร่างกายเป็นสมบัติ หากพลังยุทธ์ไม่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ก็อย่าคิดเรื่องบ้าๆ เลย และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากระเบิดอสนีจบลง อสูรตัวนี้ก็จะมุดลงไปใต้ดินอีกครั้ง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไปกันเถิด หวังว่าระยะทางต่อจากนี้จะราบรื่นสักหน่อยนะ” หล่งตงพยักหน้า แต่น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อเข้าสู่ส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวันก็พบกับอสูรประหลาดที่สามารถสังหารพวกเขาได้ ทำให้พวกเขาอดที่จะรู้สึกจิตใจหนักอึ้งไม่ได้
หลังจากที่คนอื่นๆ หันซ้ายหันขวาไปรอบหนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอยู่คุยกันที่นี่ต่อ หลังจากเอ่ยอย่างสบายๆ อีกสองประโยค ก็ทยอยกันกลับไปยังห้องทำสมาธิของตนเอง
หานลี่กลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเอาแต่เงียบขรึมไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
แต่หลังจากที่ทุกคนออกไปจากหัวเรือแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่เกิดระเบิดอสนี สายตาเปล่งประกายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างเสียดาย กลับไปยังจุดที่สูงที่สุดของสำเภาหยก แล้วนั่งสมาธิลงอีกครั้ง