กลางฝ่าสีแดงสดที่เต็มไปด้วยต้นไม้ประหลาดรูปร่างบิดเบี้ยว มีบุรุษและสตรีวัยเยาว์ห้าคน กำลังยืนเผชิญหน้ากันห่างออกไปคนละสองสามจั้งโดยไม่ได้ปริปากใดๆ ในที่ลับของป่า
คนหนึ่งคือบุรุษอายุสามสิบปีเศษ สวมชุดผ้าไหม คิ้วทั้งสองเป็นสีขาวหิมะ ดวงตาเปล่งประกายราวกับสายฟ้า
คนหนึ่งคือสตรีสวมกระโปรงสีดำ ร่างกายอรชรอ้อนแอ้น คิ้วดำยาวมาจรดปอยผม ใบหน้ามีจิตสังหารเคลือบอยู่
ชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงอายุประมาณสิบเจ็บสิบแปดปี มุมปากมีไฝสีแดง ดูสง่าและหล่อเหลา ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
สตรีสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง อายุสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตางดงาม แฝงความไร้เดียงสาเอาไว้บุรุษคนสุดท้ายอายุยี่สิบสามปี สวมชุดสีเขียว หน้าตาไร้ความรู้สึก นั่นก็คือหานลี่ที่จากเมืองเทวะสวรรค์มาได้ไม่นาน
ทั้งห้าคนดูแล้วอ่อนเยาว์ขนาดนี้ แต่พลังยุทธ์ล้วนอยู่ในระดับเทพแปลงขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากหานลี่และสตรีสวมชุดชาวที่อายุอ่อนเยาว์ที่สุดแล้วซึ่งมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นกลางแล้ว ที่เหลืออีกสามคนก็อยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลาย
ทว่าสตรีที่สวมชุดดำหนึ่งในนั้น นั่นก็คือสตรีแซ่เสี่ยวของเผ่าหงส์ทมิฬที่ปรากฏตัวหลังจากที่หานลี่ผ่านคลื่นอสูรมา
สตรีผู้นี้มองมายังหานลี่ด้วยใบหน้าเย็นชา ถึงแม้ว่าจะปริปาก แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย
“คิดไม่ถึงเลยว่า เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะส่งผู้บำเพ็ญเพียรมาสามคน มีสองคนอยู่ในระดับขั้นกลาง หรือว่าเผ่าของเจ้าจงใจผลักภาระในครั้งนี้?” บุรุษสวมชุดผ้าไหมดวงตาสีเขียวราวกับหิมะเอ่ยปากอย่างเย็นชา ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับดังกึกก้องในหูของทุกคนอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มดวงตาสีขาว ชายหนุ่มไฝสีแดงพลันเลิกคิ้ว หุบยิ้มบนใบหน้า หานลี่กลับเปลือกตาไม่กระตุก แค่ก้มหน้าลงควงคัมภีร์สีขาวนวลในมือเล่น
ส่วนหญิงสาวผู้สวมชุดสีขาวผู้นั้น กลับกลอกตาดำขลับไปมา แล้วแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
คาดไม่ถึงว่าทั้งสามจะไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อเห็นพวกของหานลี่มีสีหน้าเช่นนี้ บุรุษคิ้วขาวก็รู้สึกโกรธ ใบหน้าฉายแววโหดเ**้ยม และไม่ได้กล่าวอะไรอีก สตรีแซ่เสี่ยวกลับเอ่ยปากขึ้นว่า
“ภารกิจครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับเมืองเทวะสวรรค์ แม้กระทั่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของทั้งสองเผ่าของพวกเรา ถ้าหากพวกเราไม่ยอมร่วมมือด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำภารกิจสำเร็จไหมเลย จะไปถึงที่ทำภารกิจหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก อย่าลืมล่ะ แค่รีบไปก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี ในเมื่อเผ่าของเจ้าส่งสหายมาสามคน คิดดูแล้วทั้งสามคนคงไม่ธรรมดา แต่จากนี้ต้องร่วมทางกันเป็นเวลานาน พวกเราก็น่าจะแนะนำตัวกันสักหน่อย ข้าน้อยเสี่ยวหง มาจากเผ่าหงส์ทมิฬ ผู้นี้คือสหายหลี่จากเผ่าอินทรีทมิฬ”
สตรีผู้นี้มีท่าทีไม่ได้เย่อหยิ่งและไม่ได้หงอกลัว
ชายหนุ่มไฝแดงได้ยินคำนี้ พลันกลอกตาไปมา เอ่ยปากพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ว่า
“ข้าน้อยหล่งตง ดูจากพลังเพลิงของเซียน คิดดูแล้วน่าจะฝึกฝนเปลวเพลิงประจำกายของเผ่าหงส์ทมิฬจนถึงระดับสูงแล้วสินะ”
“นายท่านคือคนของตระกูลหล่ง!” หญิงสาวได้ยินชื่อของชายหนุ่ม กลับหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าเซียนจะรู้จักตระกูลหล่งของข้า” ชายหนุ่มไฝแดงอ้าปากเผยไรฟันสีขาวสะอาดออกมา เอ่ยปากพร้อมกับกลั้วหัวเราะ
“ข้าชื่อเยี่ยอิ่ง” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะเบาๆ ขณะเอ่ย น้ำเสียงไพเราะดุจนกขมิ้น
“หานลี่!” หานลี่พ่นคำพูดส่งประโยคออกมา แล้วปิดปากฉับในทันใด
“หานลี่? เจ้าจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะวันนั้นคาดไม่ถึงว่าท่านจะมีสมบัติวิเศษอย่างไข่มุกทลายเซียนอยู่ด้วย เดิมทีเจ้าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงดังคาด เช่นนั้น เคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนก็คือผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียรสินะ” เสี่ยวหงมองหานลี่ น้ำเสียงกลับเย็นชา
เมื่อได้ยินคำว่าผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ชายหนุ่มแซ่หล่งและชายหนุ่มคิ้วขาวก็พากันตกตะลึง หญิงสาวชุดขาวเองก็ตกตะลึง
“หากเรียกว่าฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร ก็นับว่าใช่กระมัง ไม่เจอกันนาน ไต่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” หานลี่ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ แค่ถามกลับหนึ่งประโยค
“ที่ไต่เอ๋อร์มากับข้าในวันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ชาญฉลาด ครานี้นางฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว และผนึกจิตวิญญาณทองได้แล้ว ถึงแม้จะไล่ตามเจ้าและข้าไม่ทัน แต่ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น” ได้ยินคำว่าไต่เอ๋อร์ หญิงสาวกลับเงียบขรึม แล้วถึงได้ตอบกลับอย่างเย็นชา
“งั้นหรือ ในเมื่อไม่เป็นไร ผู้แซ่หานก็วางใจ” หานลี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อันใด พี่หญิงเสี่ยวรู้จักพี่หานหรือ?” หญิงสาวนามว่าเยี่ยอิ่งกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่ แล้วหัวเราะคิกคักขณะเอ่ยถาม
“รู้จัก? หึๆ! นับว่าเป็นสหายเก่ากระมัง!” สตรีหัวเราะอย่างเย็นชา
ครานี้ ชายหนุ่มไฝแดงเองก็มองมาทางนี้แวบหนึ่ง แล้วดูเหมือนจะมองมาทางหานลี่และเสี่ยวหง สายตากลับหยุดชะงักอยู่บนร่างของหญิงสาว แล้วทันใดนั้นก็เลื่อนสายตาออกราวกับไม่สนใจ
นัยน์ตาของคนผู้นี้ฉายแววละโมบ แต่กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ถึงแม้ว่าที่นี่จะยังไม่ใช่ส่วนลึกของแดนป่าเถื่อน แต่ทุกท่านสามารถมารวมตัวกันที่นี่ตามลำพังได้ นั่นหมายความว่าความสามารถของทุกท่านไม่อ่อนแอ แต่ระยะทางหลังจากนี้ ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนที่ผ่านมา หากพวกเราห้าคนไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าคงไปถึงป่าใบดำอย่างปลอดภัยได้ยาก อันตรายที่พบระหว่างทาง น่ากลัวกว่าก่อนหน้าหลายเท่า” หลังจากลังเลเล็กน้อย เสี่ยวหงก็เอ่ยเตือน
เมื่อได้ยินคำว่าป่าหินดำ ที่เหลือทั้งสี่คนก็หน้าเปลี่ยนสี และชักสีหน้าเล็กน้อย
“ภารกิจครั้งนี้ความจริงแล้วเป็นแค่ไปลาดตระเวนเผ่าพฤกษาวิญญาณ รวบรวมข่าวสารและสถานการณ์จากสายลับที่พวกเราส่งเข้าไปในเผ่านั้นกลับมาก็พอแล้วใช่หรือไม่? ฟังดูแล้ว ดูเหมือนจะไม่ยากนัก” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“นั่นมันพูดยาก ยากหรือไม่ต้องดูดวงของพวกเรา หากทุกอย่างราบรื่น บางทีก็อาจจะง่ายกว่าภารกิจอื่นมากนัก แต่ถ้าหากพบกับความยุ่งยากเข้า ก็อาจจะถูกเผ่าพฤกษาในระดับเงินขึ้นไปพบเข้า พวกเราอาจจะต้องเพลี่ยงพล้ำทั้งหมดก็เป็นเรื่องปกติ แต่ภารกิจครั้งนี้มีความสำคัญต่อเผ่าทั้งสองของพวกเราจริงๆ อันตรายครั้งนี้จำเป็นต้องลองเสี่ยงดู” ชายหนุ่มไฝแดงกลับถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยพึมพำ
“ในเมื่อสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเบื้องบนถึงส่งระดับเทพแปลงอย่างพวกเรามา เรียกระดับหลอมสุญตาสักคนไป จะไม่เหมาะสมกว่าหรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หึๆ นายท่านถามเช่นนี้ ดูแล้วผู้ที่รับภารกิจของเผ่าของท่านคงเป็นเซียนเสี่ยวสินะ” ชายหนุ่มแซ่หล่งไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับใช้สีหน้าอมยิ้มมองไปยังหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีดำ
“ในเมื่อพี่หล่งรู้เรื่องนี้แล้ว ดูแล้วเผ่ามนุษย์คงจะให้นายท่านเป็นผู้นำสินะ” หญิงสาวไม่ได้ตกตะลึงแม้แต่น้อย กลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ใช่แล้ว ข้าน้อยรู้มานิดหน่อย” ไฝแดงที่มุมปากของหล่งตงกระตุก และไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้
หญิงสาวแซ่เยี่ยได้ฟังพลันแบะปาก แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วหันหน้าไปมองหานลี่แวบหนึ่ง
หานลี่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ดูเหมือนจะไม่ได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มไฝแดงและหญิงสาวอย่างไรอย่างนั้น นี่จึงทำให้หญิงสาวเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ครั้งนี้แค่ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงอย่างพวกเรามา ก็เป็นเพราะป่าหินดำถูกเผ่าพฤกษาวิญญาณใช้ตาข่ายนิทราพฤกษาสวรรค์ห่อหุ้มเอาไว้ หากระดับเทพแปลงขึ้นไปเข้ามา จะถูกพบร่องรอยในทันที” เสี่ยวหงกลับหันหน้ามาอธิบายให้ชายหนุ่มคิ้วขาวฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าสหายหล่งนั้นก็ช่างเถิด สองคนนี้มีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับเทพแปลงขั้นกลาง พลังยุทธ์ไม่น้อยไปหน่อยหรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวพยักหน้า กลับหรี่ตาทั้งสองข้างลงมองไปยังหานลี่และเยี่ยอิ่ง พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“พี่หลี่วางใจเถิด ที่เหล่าอาวุโสส่งสหายหานและแม่หญิงเยี่ยมาด้วยกัน แน่นอนว่าต้องมั่นใจในตัวเขาทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ไม่มีทางทำให้ทั้งสองผิดหวังแน่ จุดนี้ข้าน้อยรับประกันได้” หล่งตงหัวเราะ
“ในเมื่อสหายรับประกันเช่นนี้ งั้นก็ช่างเถิด แต่หากพวกเขาเป็นตัวถ่วงระหว่างทาง ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ช่วยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มคิ้วขาวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“หึ นายท่านก็ระดับสูงกว่าข้าแค่ขั้นเดียวเท่านั้น พูดเหมือนตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็ไม่ปาน” ชายหนุ่มคิ้วขาวมีท่าทีดูแคลนหลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้หญิงสาวชุดขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม
“พลังยุทธ์มาถึงระดับอย่างพวกเรา ระดับขั้นห่างกันแค่ขั้นเดียว ความสามารถก็ต่างกันมากกว่าครึ่งแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วขาวหัวเราะอย่างเย็นชา ตอบกลับอย่างเย่อหยิ่ง
สตรีสวมชุดขาวรู้สึกโมโหเล็กๆ และตอนที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น หานลี่กลับสอดขึ้นมาว่า
“ในเมื่อพี่หล่งและเซียนเสี่ยวรู้ว่าภารกิจนี้สูงกว่าระดับของพวกเรา ก็แนะนำสถานการณ์อย่างละเอียดให้พวกเราฟังก็แล้วกัน ตอนที่รับภารกิจ ผู้แซ่หานรู้สถานการณ์มาแค่คร่าวๆ เท่านั้น และคิดไม่ถึงว่าจะต้องการผู้ร่วมภารกิจจำนวนมากขนาดนี้ หากรู้เช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่รับภารกิจนี้” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ตอนที่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์และรู้ว่าภารกิจนี้ต้องการคนจำนวนมาก เขาก็รู้สึกผิดปกติแล้ว ตอนนั้นยังคิดจะถอย แต่กลับถูกเบื้องบนบอกว่าภารกิจครั้งนี้สำคัญมาก ในเมื่อรับภารกิจนี้ไปแล้ว ก็ต้องรู้สถานการณ์คร่าวๆ ของภารกิจ หากถอยหลังก็จะถูกริบคุณสมบัติในการรับภารกิจอื่นๆ และห้ามออกจากเมืองเทวะสวรรค์เป็นเวลาสิบปี
เช่นนั้นในขณะที่ในใจมีเรื่องสำคัญ ต้องออกจากเมืองเทวะสวรรค์ในระยะเวลาสองสามปีนี้ จึงจำใจต้องมาที่นี่อย่างทำใจดีสู้เสือ
ผลคือ เขาเสียเวลาสองสามเดือนไปกับการมาถึงจุดรวมตัว ผู้ที่พบนั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นและเผ่าปีศาจ จึงทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ในใจเท่านั้น
ดูแล้วระดับความอันตรายและซับซ้อนของภารกิจนี้ คงจะเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก
จ้าวอู๋กุยและพวกไม่ได้พูดหรือว่า ภารกิจเหล่านี้ปกติแล้วจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาอย่างพวกเรารับภารกิจ หรือว่ารับภารกิจผิดเข้าแล้ว?
แต่ก่อนออกเดินทาง เขาได้รับยาชำระสิ่งโสมมาอย่างเพียงพอแล้วอย่างแน่นอน และได้รับอนุญาตว่าหากทำภารกิจเสร็จสิ้น ก็สามารถออกจากเมืองเทวะสวรรค์ได้ จุดนี้เหมือนกับที่จ้าวอู๋กุยและพวกพูดเอาไว้ทั้งหมด
หานลี่จึงรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยในจุดนี้เล็กน้อย
“รายละเอียดของภารกิจนี้ ระหว่างทางข้าน้อยจะอธิบายให้พี่หานและแม่หญิงเยี่ยฟังอย่างละเอียด ระยะเวลาของภารกิจนี้ไม่ได้นานขนาดนั้น พวกเรารีบออกเดินทางก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” หล่งตงหัวเราะน้อยๆ ออกมา กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“พี่หล่งพูดมีเหตุผล เวลาของพวกเรากระชั้นเข้ามาแล้ว รีบลงมือเถิด ข้าเองก็จะรายงานข้อมูลไประหว่างทาง” เสี่ยวหงเองก็เอ่ยอย่างเห็นด้วย
ชายหนุ่มคิ้วขาวและเยี่ยอิ่งได้ยิน กลับไม่ได้มีเจตนาคัดค้าน
หานลี่ขบคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
“เอาล่ะ ระหว่างทางมีเวลาให้ซักถามอย่างละเอียดอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อความปลอดภัย เหล่าสหายมานั่งสำเภาเมฆาวิญญาณเถิด ประการแรกทุกคนจะได้ไม่ต้องสูญเสียพลังลมปราณ แค่เสียศิลาวิญญาณนิดหน่อยเท่านั้น ประการที่สองสำเภาลำนี้เชี่ยวชาญในการอำพรางตัว ข้าเองก็ลดความยุ่งยากในการเดินทางลงเป็นอย่างมาก” ชายหนุ่มไฝแดงเอ่ยแนะนำด้วยสีหน้าเบิกบาน ดูเหมือนว่าจะกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก