เงาร่างคือบุรุษวัยเยาว์สวมชุดคลุมสีเขียว แผ่นหลังมีปีกสีสันแวววาวคู่หนึ่ง หน้าตาธรรมดาๆ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
นักปราชญ์แขนขาดพลันใจเต้น กวาดจิตสัมผัสไป
ผลคือหลังจากตกตะลึงแล้ว ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาทันที พลางรีบร้องตะโกนว่า “ท่านอาวุโสโปรดระวัง ด้านล่างมีเต่าศิลาปราณที่มีสติปัญญา น่ากลัวมาก”
“เต่าศิลาปราณ!”
ชายหนุ่มได้ยินคำนี้ดูเหมือนจะเพิ่งพบสี่คนและหนึ่งอสูรที่อยู่ด้านล่าง แต่หลังจากกวาดสายตาไปคาดไม่ถึงว่าจะหัวเราะร่าออกมา “พวกเจ้าเป็นเผ่ามนุษย์! เยี่ยม เยี่ยมมาก ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไม่ไกลแล้ว”
คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะไม่มองเต่ายักษ์เลยสักนิด ท่าทางเหมือนมองข้ามไป
ส่วนเต่ายักษ์ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าบุรุษกลางอากาศไม่อาจหาเรื่องได้ มันที่มีสติปัญญาไม่ต่ำต้อย กลอกตาทั้งสองข้างไปมาไม่หยุด และไม่ได้บุ่มบ่ามทำการโจมตี
“ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์อยู่อีกระยะหนึ่ง หากท่านอาวุโสไม่รังเกียจล่ะก็ ชนรุ่นหลังทั้งสี่คนจะนำทางให้ขอรับ” ชายร่างใหญ่เกราะสีดำเองก็พบแล้วเช่นกันว่าบุรุษที่อยู่กลางอากาศมีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา หลังจากที่จิตสัมผัสไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของเขาได้ ก็คว้าฟางเส้นสุดท้ายร้องตะโกนออกมาเช่นกัน
นักปราชญ์และหญิงสาวที่เหลืออีกสองคนเองก็พยักหน้าเป็นพัลวัน
“นำทาง อืม ก็ดี ทว่าช้าก่อน เต่าศิลาปราณตัวนี้มีประโยชน์ รอให้ข้าเอาแก่นดวงจิตของมันมาก่อนแล้วค่อยนำทางก็แล้วกัน!” หลังจากที่ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ ออกมา ถึงได้มองไปยังอสูรโบราณด้านล่าง
แม้ว่าเต่าศิลาปราณตัวนี้จะไม่เข้าใจบทสนทนาของพวกเขา แต่หลังจากที่เห็นชายหนุ่มมองมา ในใจกลับอดที่จะเย็นเยียบขึ้นไม่ได้ พลางร้องคำรามต่ำๆ อย่างไม่ต้องขบคิด อ้าปากออกพ่นเสาลำแสงหนาๆ สีฟ้าออกมา ในเวลาเดียวกันหนวดสิบกว่าสายที่แผ่นหลังก็เริงระบำ กลายเป็นเงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มลงมาที่ชายหนุ่ม
อสูรตัวนี้มีลางสังหรณ์เกี่ยวกับชีวิต กลับยิ่งระเบิดความโมโหออกมา
เมื่อเห็นเต่ายักษ์ทำการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านล่างก็หน้าเปลี่ยนสี กระตุ้นสมบัติอาคมกลายเป็นหมอกลำแสงห่อหุ้มร่างและถอยออกไปสองสามก้าว
ชายหนุ่มติดปีกกลางอากาศเห็นสถานการณ์เช่นนั้นกลับหัวเราะร่า
เห็นเพียงเขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงหมอกสีเทาพลันปรากฏขึ้น ต้านทานไว้เบื้องหน้า
เสาลำแสงสีฟ้าโจมตีไปที่ม่านลำแสง เห็นเพียงลำแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
การโจมตีที่ดูเหมือนน่าตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด
เงาสีดำทั่วทั้งท้องฟ้ากลายเป็นตาข่ายปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าเอาไว้ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะกะพริบตา แต่ปีกที่แผ่นหลังพลันกระพือ เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนปีก และส่งเสียง “เปรี๊ยะ” พลางโจมตีไปกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มพลันขยับแขน ฝ่ามือสีดำสนิทข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากแขนเสื้อ ตะปบไปยังตาข่ายยักษ์
เสียงฟ้าร้องกลางวันแสกๆ พลันดังขึ้น!
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่ฝ่ามือตะปบออกไป ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวกลางอากาศก็รวมตัวกัน เสียงอึกทึกดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นฝ่ามือสีเขียวขาวขนาดสองสามจั้งในชั่วพริบตา แล้วก่อตัวกันกลายเป็นสายฟ้าหนาๆ
นิ้วทั้งห้ากางออก หนวดปลาหมึกที่กลายเป็นตาข่ายยักษ์ถูกมือยักษ์อัสนีฉีกออกราวกับกระดาษ จากนั้นฝ่ามือก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาเหนือหัวเต่ายักษ์ที่อยู่ด้านล่างก็มีประจุไฟฟ้าสายหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ พลางตะปบมาอย่างรวดเร็ว
การโจมตีด้วยสายฟ้าเพลิงศิลา!
เต่ายักษ์ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ถูกสายฟ้าทะลวงผ่านลำแสงสีเขียวที่คุ้มครองร่างแล้วตะปบไปที่ร่างกายของมันแน่น
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีเขียวขาวเปล่งแสงเจิดจ้า ประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
ไม่รู้ว่าประจุไฟฟ้าเหล่านี้มีอานุภาพน่ากลัวอันใด ร่างของเต่าศิลาปราณเปล่งแสงวาบๆ แล้วหายวับไป แม้แต่เสียงร้องคร่ำครวญก็ไม่ได้เปล่งออกมา
หลังจากที่สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปนั้น ก็เหลือเพียงแก่นปีศาจขนาดเท่าไข่ไก่ ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
ชายหนุ่มแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ ตะปบมือไปด้านล่างโดยไม่ปริปาก
เสียง “สวบ” ดังขึ้น แก่นปีศาจพุ่งไปกลางอากาศ ถูกดูดเข้ามาในมือ
ชายหนุ่มควงแก่นปีศาจเล่นสองสามครั้ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วเก็บเข้าไป จากนั้นก็เอ่ยกับนักปราชญ์สองสามคำ
“เอาละ นำทางได้แล้ว”
นักปราญ์และพวกทั้งสี่กลับตกตะลึงจนตาค้างไปแล้ว
ความร้ายกาจของเต่าศิลาปราณที่มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาตัวหนึ่ง พวกเขาเพิ่งจะทดสอบมาด้วยตัวเอง และเกือบจะเพลี่ยงพล้ำ แต่ชายหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า แค่พบกับอสูรตัวนี้ก็ถูกสังหารไปอย่างง่ายดาย
ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ หรือว่าอีกฝ่ายระดับสูงกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้
“ขอบังอาจเรียนถามแซ่ของท่านอาวุโส หรือว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับศักดิ์สิทธิ์ของระดับผสานอินทรีย์” นักปราชญ์สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วรีบร้อนคารวะ พลางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“ผสานอินทรีย์? ข้าน้อยยังไม่ถึงขั้นนั้น ส่วนแซ่นั้น ข้าน้อยแซ่หาน” ชายหนุ่มกวาดตามองนักปราชญ์แวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นหานลี่
และในยามนี้ก็เป็นร้อยปีให้หลังหลังจากที่เขาส่งตัวกลับมาแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
ปีนั้นเขาส่งตัวกลับมาจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี กลับเป็นแดนรกร้างแห่งหนึ่งในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน นอกจากผู้พิทักษ์ที่ถูกส่งมาชาวเมฆาสวรรค์ที่อยู่ใกล้ๆ กับเขตอาคมส่งตัวแล้ว ก็ไม่มีชนต่างเผ่าอื่นๆ อีก
หลังจากที่เขาแสดงคัมภีร์ยืนยันฐานะแล้ว ก็บินไปอย่างปลอดภัย
แต่วันเวลาต่อมาของหานลี่ เขากลับคิดไม่ถึงว่า ระยะทางที่จะกลับไปแดนมนุษย์มันเนิ่นนานเพียงนี้
จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในยามนั้น แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่ได้หวาดกลัวอันใด
แต่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนกว้างใหญ่เกินไป ประกอบกับระหว่างทางมีอันตรายมากมายจนนับไม่ถ้วน และยังต้องผ่านพื้นที่พักอาศัยของเผ่าประหลาด
แม้ว่าหานลี่จะระมัดระวังตัวเต็มที่กับทุกอย่าง ก็ยังคงพบกับอันตรายที่เกือบจะเพลี่ยงพล้ำไปหลายครั้ง
หนึ่งในนั้นยังถูกอสูรโบราณระดับผสานอินทรีย์เจ็ดแปดตัวไล่สังหารไปหลายเดือน อาศัยการเติมเต็มจากยาลูกกลอนและศิลาวิญญาณ ในที่สุดถึงได้สลัดฝูงอสูรได้ และบังเอิญเข้ามาในแดนตัดขาดหนาวเย็น ถูกระลอกคลื่นเย็นเยียบม้วนเข้ามาข้างใน ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะในร่างของเขามีเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีคอยกระตุ้นกระแสลมหนาว จนบังเอิญพัฒนาระดับขั้นได้ และได้ดูดซับพลังเย็นเยียบเข้าไป เกรงว่าคงจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล
เช่นนั้นจึงทำให้เขาเสียเวลาไปสองสามปี ในที่สุดถึงได้ออกมาจากแดนตัดขาดนั้นได้
และมีครั้งหนึ่งเขาไปพบกับสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่าประหลาดกลุ่มหนึ่ง เมื่อเห็นเขาคาดไม่ถึงว่าจะเกิดจิตสังหารคิดจะแย่งชิงสมบัติ
ผลคือหลังจากต่อสู้กันตั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาแม้กระทั่งแมลงกลืนทองและใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬออกมาสังหารสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาเจ็ดแปดคนไปอย่างต่อเนื่อง และยังทำให้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองคนได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ตัวเองก็สูญเสียปราณแท้และหนีออกมาได้พร้อมกับถูกพิษ
การบาดเจ็บหนักครั้งนี้ทำให้เขาต้องซ่อนตัวกักตนอยู่สิบกว่าปีเต็มๆ ถึงได้ฟื้นฟูพลังปราณแท้กลับมา และขจัดพิษได้
หนทางต่อจากนั้นเขาย่อมระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม แต่ยังคงมีอันตรายเข้ามาไม่หยุด ทำให้เขากลัดกลุ้มใจไม่น้อย
ยามนี้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดเมื่อเอ่ยถึงประสบการณ์การผจญภัยข้ามดินแดน ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ก็ทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี
จากความสามารถของเขาในยามนี้แทบจะเอาชีวิตไม่รอดไปหลายครั้ง สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ เกรงว่าคงมีผู้ที่เพลี่ยงพล้ำไปเพราะประสบการณ์ข้ามดินแดนเช่นนี้ไปไม่น้อย
แต่จะว่าไปแล้วประสบการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่าต่างๆ ต้องไปลองดูสักครั้ง และมีเพียงต้องผ่านอันตรายมากมาย ถึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเขากำจัดจิตมารได้อีกครั้ง และอาจจะมีวาสนากับตนเองอีกครั้ง
เช่นกันอันตรายมากมายที่หานลี่พบระหว่างทางที่กลับไปยังเผ่ามนุษย์ก็มากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้
ไม่ต้องพูดถึงระหว่างทาง แค่วัตถุดิบหายากจำนวนมากที่พบในส่วนลึกของแดนรกร้าง หรือตอนที่เขาปะปนเข้าไปในแดนของชนนอกเผ่า ขโมยและเรียนรู้เคล็ดวิชาต่างๆ ที่แตกต่างจากเผ่ามนุษย์มาจากชนเผ่าต่างๆ ก็ทำให้เขาได้ประโยชน์มากมายแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกชนต่างเผ่าพบเห็น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวอยู่ตามเขตแดนที่พักของชนนอกเผ่า ก็จะแค่เข้าไปในเมืองเล็กๆ ไม่ได้ไปยังที่พำนักของสิ่งมีชีวิตระดับสูงใดๆ
เช่นนั้นอันตรายจึงลดลงมาก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ปลอดภัยทุกครั้งไป ครั้งหนึ่งที่เขาเข้าไปในเมืองเล็กของชนนอกเผ่าที่มีนามว่า “เผ่าเสียงเพรียก” คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบกับชนนอกเผ่าที่เรียกขานตนเองว่า “เหลยอวิ๋นจื่อ”
คนผู้นี้มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นกลางแท้ๆ คาดไม่ถึงว่ามองปราดเดียวจะรู้ฐานะของเขา
ระหว่างทั้งสองคนย่อมเกิดการต่อสู้กันฉากหนึ่ง
ผลคือเดิมหานลี่คิดจะฆ่าปิดปาก คาดไม่ถึงว่าจะพบว่าตนทำอันใดสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นกลางคนหนึ่งไม่ได้
ชนต่างเผ่าที่มีนามว่า “เหลยอวิ๋นจื่อ” คาดไม่ถึงว่าจะมี “ร่างของเบญจอัสนี” ในตำนาน ควบคุมพลังอัสนีทั้งห้าได้โดยกำเนิด ประกอบกับเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนก็เกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ของอัสนีที่หายสาบสูญไปนานแล้ว จึงทำให้ร่างกายเคลื่อนตัวไปมาระหว่างอัสนีได้อย่างอิสระ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านพลังยุทธ์ ไม่อาจยืนหยัดได้นาน แต่ก็เพียงพอจะทำให้หานลี่ถลึงตาใส่เขาจนแห้ง และทำอันใดไม่ได้
สิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า เหลยอวิ๋นจื่อผู้นี้ยังเป็นปรมาจารย์ด้านเขตอาคมของเผ่า พอผสานกับอิทธิฤทธิ์ด้านอัสนีของตน ศึกษาเขตอาคมอัสนีโดยเฉพาะ จนสามารถใช้อัสนีในร่างกลายเป็นเขตอาคมกักศัตรู หรือว่าทั้งโจมตีและป้องกันได้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
แน่นอนว่าจากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ เหลยอวิ๋นจื่อผู้นี้เองก็ต้องล้มเลิกความคิดจะเอาเปรียบอันใดไป ทั้งสองสู้รบกันมาสองสามเดือน กลับเกิดเป็นความสัมพันธ์กัน
ดังนั้นหานลี่จึงสนใจเขตอาคมอัสนีจากพลังอัสนีของอีกฝ่าย เหลยอวิ๋นจื่อเองก็สนใจอัสนีหลีกหนีภยันอันตรายและเคล็ดวิชาหลอมอักขระอัสนีที่หานลี่เรียนรู้มาจากเทียนเหลยในตอนนั้นมาก
คนผู้นี้พลันเอ่ยพึมพำกับหานลี่ ทั้งสองจึงหาที่พักที่หนึ่งเสียเลย แล้วจึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
ทั้งสองจึงได้แยกกันอย่างพึงพอใจ
ทว่าไม่รู้ว่าเขตอาคมอัสนีนี้ฝึกฝนยาก หรือว่าเหลยอวิ๋นจื่อปิดบังจุดสำคัญอันใดกับเขา ทำให้หานลี่ที่ฝึกฝนตอนหลัง ไม่อาจทำได้ตามใจได้ และยิ่งไปกว่านั้นยามที่สำแดง มักจะเกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น
ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจมาก
วันเวลาต่อมาพอศึกษาเขตอาคมนี้อย่างละเอียด ในที่สุดหานลี่ก็มั่นใจแปดเก้าส่วนว่าเป็นอย่างหลัง
นี่จึงทำให้เขารู้สึกโมโหเหลยอวิ๋นจื่อเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะดัดแปลงเคล็ดวิชาตัวอักษรอัสนีไปเล็กน้อยเช่นกัน ยามที่อีกฝ่ายฝึกฝนไข่มุกอัสนี จะทำสำเร็จหนึ่งในสิบครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว