เช่นนั้นหานลี่ก็ทำได้เพียงพึ่งความรู้ด้านเขตอาคมของตัวเอง เสียแรงไปมากระหว่างการเดินทางจนค่อยๆ จับจุดเขตอาคมลำแสงอัสนีเหล่านี้ได้
เขตอาคมส่งตัวสายฟ้าที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่ เป็นเขตอาคมอัสนีที่เขาให้ความสำคัญมาก
เขตอาคมนี้สามารถใช้พลังอัสนีมาสร้างเขตอาคมส่งตัวระยะสั้นได้ ส่งตัวได้ในระยะหมื่นลี้
หากเหลยอวิ๋นจื่อใช้เขตอาคมนี้ก็แทบจะทำให้จุดที่ส่งตัว แม่นยำได้ในรัศมีร้อยจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างเขตอาคมที่สมบูรณ์แบบได้ภายในชั่วอึดใจ
หว่าหานลี่กลับเป็นเพราะว่าได้คาถามาไม่ครบ แม้ว่าจะพยายามฝึกฝน ก็ทำได้เพียงส่งตัวไปในรัศมีหมื่นลี้เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าเหลยอวิ๋นจื่อสิบเท่า
การส่งตัวเมื่อครู่ย่อมเป็นการทดสอบหลังจากที่หานลี่ได้ปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง
ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม
นี่จึงทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นเหลยอวิ๋นจื่อเป็นอย่างมาก จนทนไม่ไหวก่นด่าออกมาสองสามประโยค
และเขาในยามนี้ ก็กลับมาอยู่ที่อีกด้านของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน คาดไม่ถึงว่าจะเสียเวลาไปเกือบร้อยปี
ดังนั้นหลังจากที่มองเห็นนักปราชญ์และพวก หานลี่ก็รู้สึกดีอกดีใจมาก
แม้ว่าอาศัยแผนภาพแผ่นดินใหญ่คร่าวๆ เขาเองก็รู้ว่าตนน่าจะอยู่ใกล้กับแดนเผ่ามนุษย์
แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจมั่นใจได้
ประกอบกับคนเหล่านี้เป็นเผ่ามนุษย์กลุ่มแรกที่เขาได้พบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมั่นใจว่าตนอยู่ไม่ไกลจากเมืองเทวะสวรรค์นัก จะตื่นเต้นดีใจแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายนอกหลายปี ไม่ได้คบค้ากับชนต่างเผ่าหรืออสูรมานานทำให้หานลี่รู้สึกคิดถึงบ้านเป็นอย่างมาก
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือในใจของหานลี่คิดถึงเรื่องการบรรลุของ “หนานกงหวั่น” ไม่ทราบว่าภรรยาที่รักของเขาจะบรรลุขึ้นมาอยู่ในแดนวิญญาณได้สำเร็จและมาถึงเมืองเทวะสวรรค์ได้หรือไม่
หานลี่ขบคิดซ้ำไปซ้ำมาราวกับคลื่นน้ำ แต่ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกชูมือขึ้นปล่อยรถเหาะสีเขียวออกมา
ความยาวเจ็ดแปดจั้ง ผิวมีอักขระยันต์ลึกลับสลักอยู่จำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าด้านหน้าจะมีหุ่นเชิดอสูรรูปทรงหมาป่ายักษ์ติดปีกสองตัวลอยอยู่กลางอากาศ
“ดูจากท่าทางพวกเจ้าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ในเมื่อไม่อาจเร่งเดินทางในระยะยาวได้ก็พักรักษาตัวอยู่บนรถ แค่นำทางให้ข้าก็พอ” หานลี่ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“ขอบพระคุณบุญคุณของท่านอาวุโส!”
“ชนรุ่นหลังน้อมรับคำสั่ง!”
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่คนพลันเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ
แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินว่าหานลี่ไม่ได้ยอมรับว่าตนเองคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาธรรมดาๆ มิเช่นนั้นไหนเลยจะสังหารเต่าศิลาปราณที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาเช่นเดียวกันได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร แน่นอนว่าย่อมมิกล้าขัดขืนคำสั่งของอีกฝ่าย
และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาแทบจะสูญเสียปราณแท้ไป เดิมคำสั่งเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ร้องขอก็ไม่อาจได้มาอยู่แล้ว
ระยะทางที่เดิมต้องกลับอย่างยากลำบากยามนี้มีผู้ที่ร้ายกาจผู้หนึ่งร่วมเดินทางไปด้วยนับว่าปลอดภัยไร้กังวล
ดังนั้นทั้งสี่คนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีทยอยกันบินเข้าไปในรถเหาะ
หานลี่ยกมือขึ้น อาคมสีเขียวสองสามสายพุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของหุ่นเชิดอสูรสีเขียวสองตัว
หุ่นเชิดอสูรที่เดิมดูเหมือนตายไปแล้วพลางร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา กระพือปีกทั้งสองราวกับฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้นแล้วบินตรงไปข้างหน้า
รถเหาะสีเขียวมีอักขระยันต์หมุนโคจรไปมา ม่านลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างของทั้งห้าคนเอาไว้ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งไปที่ขอบฟ้า
“พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใด? ออกจากเมืองเทวะสวรรค์มานานเท่าไหร่แล้ว” หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงใจกลางของรถเหาะแล้วเอ่ยถามพวกเขา
“รายงานท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังทั้งสี่คนมาจากพรรคของแดนเสวียนอู่ ออกจากเมืองเทวะสวรรค์มาไม่ถึงครึ่งปี!” เห็นได้ชัดว่านักปราชญ์เป็นหัวหน้าของทั้งสี่คน พลางเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“ครึ่งปี! เช่นนั้นพวกเจ้าก็น่าจะทราบสถานการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์ในช่วงนี้สิ” หานลี่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“ชนรุ่นหลังเคยอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์แค่สองสามปี จึงพอรู้เรื่องราวในเมืองมาเล็กน้อย แต่ท่านอาวุโสเองก็รู้ว่าชนรุ่นหลังพลังยุทธ์ไม่สูง จึงไม่ค่อยทราบเรื่องลึกลับบางอย่าง” นักปราชญ์เดาเจตนาของหานลี่ได้รางๆ จึงตอบกลับอย่างจริงจัง
“หึๆ ไม่ต้องกังวลอันใด ผู้แซ่หานเองก็มาจากเมืองเทวะสวรรค์แต่แค่บังเอิญต้องจากไปหลายปี จึงอยากเข้าใจสถานการณ์ในเผ่าและเมืองเทวะสวรรค์เท่านั้น ทว่าในเมื่อเมืองเทวะสวรรค์ยังคงปลอดภัย ดูแล้วการที่ชนนอกเผ่าเข้าโจมตีในวันนั้นคงทำไม่สำเร็จ” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“ชนนอกเผ่าเข้าโจมตี? ที่แท้ท่านอาวุโสก็ออกจากเมืองเทวะสวรรค์ไปตอนนั้น! ตอนนั้นเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงร่วมมือกันเข้าโจมตีเมืองของเรา แต่ภายใต้การร่วมมือกันของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ ทั้งสองฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ว่ากันว่ากองทัพชนนอกเผ่ากลับสลายทัพไปอย่างไม่มีสาเหตุ นี่จึงทำให้เมืองเทวะสวรรค์ปลอดภัย” นักปราชญ์พลันตกตะลึงแต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างซื่อๆ
“ถอนทัพ!” หานลี่ลูบใต้คางเผยแววตาครุ่นคิดออกมา
“ใช่แล้ว แต่เหตุผลที่เป็นรูปธรรมกลับพูดกันมากมาย บ้างก็ว่าเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเราส่งสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศออกไปลอบโจมตีที่ตั้งของเผ่าต่างๆ บีบให้พวกมันถอนทัพไปบ้างก็ว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นใหม่ถือกำเนิดแล้ว ชนนอกเผ่าล้วนไปแย่งชิงสมบัติชิ้นนั้น” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีแดงเอ่ยต่อ
“สมบัติสวรรค์ทมิฬมีข่าวลืออันใด?” หานลี่พลันใจหายวาบ แต่ก็มีสีหน้าราบเรียบ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกลับมากในปีนั้น! บ้างก็ว่าถือกำเนิดขึ้นในชนนอกเผ่าแห่งหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินใหญ่อื่น พกสมบัติวิญญาณชิ้นนี้มาที่แผ่นดินใหญ่ของพวกเราและยิ่งมีข่าวลือที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ คนที่บรรลุขึ้นมาจากแดนล่างพกสมบัติชิ้นนี้มาปรากฏตัวขึ้นในเผ่าของพวกเรา” นักปราชญ์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“หึๆ คนจากแดนล่างบรรลุขึ้นมา!” หานลี่ได้ยินคาดไม่ถึงว่าไม่ตกตะลึงแต่กลับหัวเราะออกมา
“ท่านอาวุโสก็คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลสินะ สมบัติสวรรค์ทมิฬเป็นสมบัติระดับไหน คนจากแดนล่างคนหนึ่งจะพกสมบัติชิ้นนี้มาได้อย่างไร และไม่รู้ว่าข่าวลือเช่นนี้แพร่งพรายมาจากไหน” หนึ่งในสตรีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนฉีกยิ้มเริงร่าขณะเอ่ย
“ยากจะเชื่อจริงๆ เอาละ บอกข้าอีกอย่าง ภายในหนึ่งถึงสองร้อยปีมานี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น” หานลี่พยักหน้าอย่างไม่เห็นด้วยแล้วเอ่ยถาม
“เกือบหนึ่งถึงสองร้อยปีที่ผ่านมา สามเขตเจ็ดดินแดนเกิดเรื่องราวระหว่างสองเผ่าไม่น้อยจริงๆ ทว่าหากจะเล่า เกรงว่าคงต้องใช้เวลาเล่าอีกนาน” นักปราชญ์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“ไม่เป็นไรหนทางยังอีกยาวไกล มีเวลาให้สหายเล่าให้ข้าฟังอยู่แล้ว” หานลี่เผยรอยยิ้มจนตาหยีออกมา
“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังย่อมต้องอธิบายให้ละเอียด” นักปราชญ์เอ่ยอย่างนอบน้อม
ยามนี้เขากินยาลูกกลอนไปเล็กน้อย และหยิบศิลาวิญญาณออกมาก้อนหนึ่งพลางค่อยๆ ฟื้นฟูพลังปราณแท้อย่างช้าๆ
“หากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นการที่จักรพรรดิเทียนเมี่ยวในสามเขตฟาดเคราะห์สวรรค์ไม่สำเร็จเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนและเพลี่ยงพล้ำไป จนต้องคัดเลือกจักรพรรดิองค์ใหม่ของเผ่ามนุษย์ เรื่องที่สองก็คือบุตรสาวทารกของเจ็ดราชาปีศาจมังกรวารีหนานหลี่ หายตัวไปจากรัง ด้วยเหตุนี้มังกรหนานหลี่จึงแทบพลิกแผ่นดินตามหา…” นักปราชญ์มีสีหน้าเคร่งขรึมเริ่มอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด
ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงและสตรีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคนก็คอยเสริมคำพูดให้โดยไม่ให้มีช่องโหว่อยู่ด้านข้าง
หานลี่ได้ยินคนเหล่านี้อธิบายยามแรกก็มีสีหน้าราบเรียบแล้วค่อยๆ หน้าเปลี่ยนสีแต่ไม่นานก็กลับมามีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
ดูเหมือนว่าในช่วงที่เขาจากไปทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจะเกิดเรื่องราวมากมาย
ผ่านไปครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดหานลี่ก็ฟังคนเหล่านี้อธิบายเสร็จ
เมื่อสิ้นเสียงร่างทั้งร่างของเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ของความครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่เองก็ไม่ได้เอ่ยปากอันใดอย่างรู้จักวางตัวแค่รอคอยปฏิกิริยาตอบสนองของหานลี่อย่างนอบน้อม
“ช่วงปีที่ผ่านมาไม่มีสตรีผู้บำเพ็ญเพียรจากแดงล่างที่ชื่อ ‘หนานกงหวั่น’ มาปรากฏตัวในเมืองเทวะสวรรค์สินะ” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเสร็จแล้วก็เอ่ยถามขึ้น
“หนานกงหวั่น! ชื่อนี้ไม่เคยได้ยิน หากพูดถึงผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ในเมืองเทวะสวรรค์พวกเราสี่คนก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากแดนล่างกลับมีอยู่น้อยมากข้าสองคนไม่ถึงกับไม่รู้จัก” นักปราชญ์ครุ่นคิดแล้วตอบอย่างมั่นใจ
“อืม บางที่นางอาจจะเปลี่ยนชื่อ สตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาในเมืองเทวะสวรรค์ช่วงนี้มีมากหรือไม่?” หานลี่แววตาเปล่งประกายแล้วนึกอันใดได้พลางเอ่ยถาม
“หากเป็นสตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมาแม้ว่าจะมีอยู่น้อยมากแต่ก็พอมีอยู่สองสามคน” นักปราชญ์ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะขอบคุณสหายที่เล่าเรื่องราวให้ข้าฟัง จากนี้ทุกท่านก็ฝึกบำเพ็ญเพียรรักษาตัวอยู่บนรถเถิด” หานลี่เผยสีหน้าพึงพอใจออกมาแล้วพยักหน้า หลับตาทั้งสองข้างลงไม่พูดอันใดอีก
หลังจากที่นักปราชญ์และพวกเอ่ยขอบคุณแล้วก็หลับตานั่งสมาธิอย่างรู้จักวางตัวเช่นกัน
ยามนี้ใบหน้าของหานลี่ดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนรนอย่างอดไม่ได้ ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มสดใสของหนานกงหวั่น
ความเจ็บปวดจากความคิดถึงมาหลายปี หลังจากที่รู้ว่าหนานกงหวั่นอาจจะบรรลุขั้นระดับไม่สำเร็จ ความรู้สึกก็ดูเหมือนจะระเบิดออกมา
เขารู้สึกเพียงว่าเจ็บปวดหัวใจอยู่ลึกๆ…
รถเหาะสีเขียวมีความเร็วเหนือลำแสงหลีกหนีของนักปราชญ์ทั้งสี่คนสามส่วนโดยมีหานลี่เป็นผู้กระตุ้น
เดิมน่าจะใช้เวลาสองเดือนกว่าคาดไม่ถึงว่าแค่ครึ่งเดือนก็มาถึงเมืองเทวะสวรรค์แล้ว
เมื่อรถเหาะหยุดอยู่กลางอากาศ หานลี่ที่ยืนอยู่บนรถเหาะก็มองเห็นกำแพงเมืองเทวะสวรรค์ที่สูงใหญ่ราวกับภูเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน
ร่อนเร่พเนจรอยู่นอกเขามาหลายปี ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจอีกครั้ง
ด้านหน้ารถเหาะ บนพื้นดินอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกลนัก มีเขตอาคมส่งตัวขนาดสองสามจั้งตั้งตระหง่านอยู่
สองฝั่งของเขตอาคมมีผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสวมเกราะสีเขียวยืนอยู่สิบกว่าคน
เขตอาคมเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสองสามคนส่งตัวออกมา หลังจากพูดคุยกับผู้พิทักษ์ยมโลกนิลด้านข้างสองสามประโยค ก็กลายเป็นสายรุ้งสองสามสายพุ่งแหวกอากาศจากไป
นั่นคือเขตอาคมส่งตัวเข้าเมืองเทวะสวรรค์
เพราะว่าเมืองด้านนี้เป็นแดนรกร้าง ไม่มีประตูเมือง คนปกติอยากเข้าไปในแดนรกร้าง ก็มีเพียงต้องใช้เขตอาคมส่งตัวถึงจะเข้าออกไป
ส่วนผู้พิทักษ์ที่รักษาการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์ก็รับหน้าที่แค่ชั่วคราว จึงมีเขตอาคมส่งตัวลับอีกแห่งหนึ่ง