ยามนี้ทารกวิญญาณของหานลี่แค่รู้สึกเรือนกายร้อนรุ่ม ในร่างของทารกวิญญาณราวกับเต็มไปด้วยธารลาวาอันร้อนระอุ ทำให้ลำคอของเขาแห้งผาก แขนขาทั้งสี่แดงก่ำ
และในยามนี้พลังแรงดูดมหาศาลก็ระเบิดออกจากกายเนื้อด้านล่าง
ทารกวิญญาณหดเล็กลงเป็นสิบเท่าอย่างไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปในหน้าผากของกายเนื้อ กลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง
พลังร้อนระอุที่เดิมบรรจุอยู่เต็มร่างทารกวิญญาณ พลันหาทางระบายพบ มันทะลักเข้าสู่กายเนื้ออย่างบ้าคลั่ง
ร่างของหานลี่ที่แต่เดิมมีสีสันแวววาว พลันมีความร้อนฉ่าทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ผิวพรรณมีสีสันแวววาวไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่ากายเนื้อจะเปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งใสในพริบตา
แม้แต่กระดูกสีทองอ่อนๆ ในกายเนื้อ ก็ยังมองเห็นได้รางๆ
ยามนี้กระดูกของพวกมันมีเส้นไหมลำแสงบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดเอาไว้ และเปล่งแสงห้าสีจางๆ ออกมา…
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น พลังเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่จุดตันเถียนก็ไล่มาตามจุดต่างๆ ของชีพจรอย่างรวดเร็ว
หานลี่รู้สึกเพียงว่าทุกแห่งที่พลังนี้กวาดผ่านไป ความร้อนจะหายวับไป กลายเป็นความเย็นเยียบเข้ามา ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกสบายตัว
เพียงชั่วครู่พลังทั้งหมดก็รวมตัวกัน และพุ่งไปหาศีรษะของเขาโดยทันที
หานลี่รู้สึกเพียงว่าในจิตสัมผัสมีสิ่งที่ถูกตรึงอยู่ ถูกพลังนี้ทะลวงออกราวกับสายน้ำไหล ทันใดนั้นความรู้สึกเป็นเหน็บชาในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็ทะลักออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทำให้เขาอดที่จะอ้าปากออกไม่ได้ และเปล่งเสียงกรีดร้องยาวๆ ออกมา!
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในละแวกนั้นเห็นเงาร่างวานรยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายอันน่าตกตะลึงที่กดทับพวกเขาเอาไว้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ย่อมรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย
หลังจากที่พวกเขาทยอยกันลุกขึ้นยืนแล้ว ทุกคนกลับเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน
บ้างก็กำลังครุ่นคิด ยังคงยืนมองทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป และคิดว่าจะมองอันใดออก
บ้างก็รู้สึกว่าอันตรายมาก จึงรีบร้องเรียกสหาย แล้วเตรียมตัวจากไป
ชั่วพริบตาที่ชายชราผมขาวกลับมาเคลื่อนไหวได้ ก็กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปในถ้ำพำนักทันที แล้วร้องเรียกรวมตัวคนในเผ่าให้จากไปทันที
แต่คนเหล่านี้ถึงจะฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ชั่วครู่ เสียงกรีดร้องยาวๆ ของหานลี่ก็ทะลักเข้ามา
เสียงกรีดร้องราวกับฟ้าผ่า หลังจากแฉลบผ่านทะเลหมอกไปสองสามร้อยลี้ ก็ทยอยกันม้วนวนเป็นคลื่นหมอกขนาดเท่าภูเขา แผ่ออกไปรอบด้าน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ตรงขอบของทะเลหมอกเห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันตกตะลึง ทยอยกันหนีเตลิดไป
แต่หลังจากที่เสียงกรีดร้องเข้ามาในโสตประสาท ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็รู้สึกเพียงว่าสติสัมปชัญญะขาดผึ่ง ราวกับฟ้าผ่ากลางศีรษะ ทยอยกันกรีดร้องแล้วร่วงหล่นลงไปจากกลางอากาศ
แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้จะสูญเสียพลังปราณไป แต่กายเนื้อก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา แม้ว่าจะร่วงลงสู่พื้นจากความสูงสองสามร้อยจั้ง ก็แค่เจ็บปวด ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดนัก
กลับเป็นเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจุดที่ไกลออกไป ราวกับเสียงมารล่าวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้รู้สึกเจ็บปวดจนกลิ้งหลุนๆ ทยอยกันใช้สองมืออุดหูเอาไว้ หมายจะลดความเจ็บปวดลง
แต่เสียงกรีดร้องกลับยังคงส่งผลกระทบต่อจิตสัมผัสของทุกคน แม้ว่าจะมีคนฉีกส่วนบนของเสื้อคลุมมาอุดหู ก็ยังไม่มีผลเลยสักนิด
เสียงกรีดร้องยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด
ทว่าครู่ต่อมาผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้กลับยังคงเหมือนประสบกับมันมานานหลายเดือน ร่างกายของทุกคนแทบจะระเบิดออก จะได้ทำให้การทรมานครั้งนี้หยุดลงเสียที
รู้สึกราวกับว่าตายทั้งเป็น!
ยามนี้ระลอกคลื่นหมอกขนาดยักษ์พลันม้วนวนไปทางขอบของทะเลหมอก ยังคงพุ่งออกจากขอบของทะเลหมอกแล้วออกแรงกดไปรอบด้าน
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ฝืนหันหน้าไปมองเห็นสถานการณ์นี้ ก็หน้าถอดสีเป็นไร้สีโลหิต
แม้ว่าระลอกคลื่นยักษ์เหล่านี้สร้างขึ้นจากม่านหมอก แต่พลังอันน่าตกตะลึงที่พุ่งออกมา ก็ยังคงทำให้พวกเขาอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
ถึงอย่างไรเสียพวกเขาในยามนี้ก็ไม่อาจกระตุ้นสมบัติเคล็ดวิชาต่างๆ มาคุ้มครองต้านทานระลอกคลื่นนี้ และผู้ใดจะรู้ว่าในระลอกคลื่นเหล่านี้จะมีพลังอันใดแฝงอยู่
เห็นระลอกคลื่นสีขาวเป็นชั้นๆ หมายจะทยอยกันโจมตียอดเขา กลืนกินผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้นเข้าไป
เสียงหวีดร้องใจกลางของทะเลหมอกกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
จากนั้นเสียง “ปังๆ” พลันดังขึ้น!
ชั่วพริบตานั้นระลอกคลื่นทั้งหมดก็ระเบิดออก แล้วหายวับไป
ราวกับว่าฉากที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่ ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ถึงได้ทยอยกันปีนขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทีจนตรอก บางคนก็มองสบตากับคนที่ในบริเวณใกล้เคียงแวบหนึ่ง แล้วมองเห็นแววตาตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวจากแววตาของอีกฝ่าย
ทุกคนล้วนไม่ได้เอ่ยปากพูดจาอันใดกัน ทยอยกันควบคุมลำแสงหลีกหนีกลับมายังถ้ำพำนัก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงหลีกหนีก็บินออกมาจากยอดเขาเป็นสายๆ แล้วพุ่งไปทั่วทุกสารทิศ
ระหว่างทางพวกเขาไม่หยุดพักเลยสักนิด หลังจากที่บินออกมาได้ล้านลี้ ถึงได้มีคนร่อนลำแสงหลีกหนีลงมาอย่างลังเลเล็กน้อย
คนจำนวนมากบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ออกจากที่นี่โดยสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรเสีย ‘ชนชั้นสูง’ ที่แค่ใช้เสียงกรีดร้องก็ทำให้พวกเขาจะเป็นจะตายก็ไม่รู้มาเป็นเพื่อนบ้าน ช่างทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ
ทว่าปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่กับอิทธิฤทธิ์ที่หานลี่สำแดงออกมาก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยคาดเดาอันใดได้
ดังนั้นบางคนที่ตกตะลึง กลับมีความคิดอื่นขึ้นมา
ชายชราผมขาวที่อยู่ในยอดเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปล้านลี้ หลังจากจัดวางลูกศิษย์ในเผ่าแล้ว ก็ส่งชายร่างใหญ่ที่มีพลังยุทธ์ไม่ด้อยกว่าเขาคนหนึ่งนำคัมภีร์ม้วนไปส่งให้ตระกูลกู่ที่อยู่ห่างออกไปไม่รู้ตั้งกี่หมื่นลี้ด้วยตัวเอง
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นมีข่าวลือเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งมาพักอาศัยอยู่ก็แพร่ขยายไปยังดินแดนอื่นอย่างรวดเร็ว!
และในยามนี้ทะเลหมอกที่ใกล้เคียงก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ หมอกสีขาวหนาๆ ปกคลุมทั้งยอดเขาเอาไว้ ทุกอย่างก็เผยความเงียบสงัดออกมา
……
สามวันต่อมาภายในห้องลับตรงสันเขา หานลี่นั่งสมาธิอยู่แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แต่หลังจากกะพริบตาสองสามคราก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวปกติ
แม้ว่าสองสามวันก่อนเขาจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์สำเร็จแล้ว แต่เพื่อให้ระดับพลังยุทธ์มั่นคง จึงต้องนั่งสมาธิสองสามคืนในห้องลับทันที
ยามนี้ในที่สุดเขากดผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับพลังยุทธ์ได้แล้ว จึงสามารถทำเรื่องอื่นได้แล้ว
แววตาของหานลี่เปล่งประกาย มองไปรอบด้านอย่างช้าๆ เดิมที่มีใบหน้าราบเรียบดุจสายธาร พลันมีสีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
ไม่ทันใดที่เขาแผ่จิตสัมผัสออกไป ในห้องลับที่แต่เดิมว่างเปล่า พลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศ
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ในเวลาเดียวกันก็ร่ายคาถาอย่างง่ายๆ
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ใบมีดพายุขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นเป็นสายๆ
ใบมีดวายุเหล่านี้บางเบามาก รูปร่างกึ่งโปร่งแสง ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับสั่นเทาน้อยๆ ทั่วทั้งห้องลับ
“ในตำราบันทึกเอาไว้ไม่ผิด! หากเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ พลังสัมผัสที่มีต่อพลังปราณฟ้าดินและพลังในการควบคุมจะเหนือกว่าระดับหลอมสุญตา แทบจะไม่ต้องใช้พลังปราณใดๆ ก็สามารถควบคุมพลังปราณทำการโจมตีได้” หานลี่เอ่ยพึมพำ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี
สะบัดแขนเสื้อ ใบมีดวายุกลายเป็นลำแสงสีขาวแล้วสลายหายไป
หานลี่หลับตาทั้งสองข้างลง และเริ่มใช้จิตสัมผัสตรวจสอบกายเนื้อและพลังปราณของตนเองหลังจากบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ว่ามีจุดใดที่ผิดปกติหรือไม่
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็ลืมตาขึ้นอย่างยินดี
หลังจากพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังปราณก็เหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาเดาว่าพลังยุทธ์ในยามนี้ต่อให้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ก็น่าจะมีอัตราการชนะกว่าครึ่ง
เมื่อระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ หานลี่ก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้ด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาที่บรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานระหว่างทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ใดแล้ว นี่จึงทำให้เรื่องที่เขาคิดจะทำหลังจากนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องยอมนิ่งเฉยแล้ว
แน่นอนว่าสองสามปีนี้เขาต้องออกจากที่นี่ และยังต้องพยายามทำให้พลังยุทธ์มั่นคง
จากนี้ต้องจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นการที่ต้องมั่นใจก่อนว่าภรรยารัก ‘หนานกงหวั่น’ ขึ้นมาที่แดนวิญญาณหรือไม่ ทว่าเป็นเพราะหนานกงหวั่นอาจจะใช้วิธีการข้ามผ่านห้วงมิติเวลาบินขึ้นมายังแดนวิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าจะตามหาไม่พบในเมืองเทวะสวรรค์ ก็อาจจะร่อนเร่พเนจรอยู่ที่อื่น หรือแม้กระทั่งอาจจะไปอยู่ในแดนปีศาจ
ถึงอย่างไรเสียดินแดนของเผ่ามนุษย์และปีศาจก็อยู่ติดกัน
ดังนั้นหากไม่ได้ข่าวคราวจากเมืองเทวะสวรรค์จริงๆ ก็ต้องไปหาตามสถานที่ต่างๆ ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจสักรอบหนึ่ง
หากหนานกงหวั่นมีพลังยุทธ์และอิทธิฤทธิ์ไม่พอ และถูกกักอยู่ในแดนมนุษย์ เขาก็ต้องหาวิธีทลายเขตแดน เพื่อช่วยหนานกงหวั่นอีกแรง
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ขอแค่เอายาลูกกลอนและสมบัติในมือของเขา ส่งข้ามแดนไปให้หนานกงหวั่น ก็จะทำให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น และสามารถบรรลุขึ้นมายังแดนวิญญาณได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
เมื่อนึกถึงภรรยาที่รัก แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรู้สึกเจ็บปวด และจนปัญญาอยู่นานภายในห้องลับ
สุดท้ายหลังจากที่เขาถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ถึงได้รวบรวมสมาธิกลบัมา แล้วครุ่นคิดเรื่องอื่นต่อ
นอกจากเรื่องของหนานกงหวั่นแล้ว เขายังต้องไปตามหาชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งนามว่า ‘เซียนสวี่’ หลังจากกักตนอีก
ขอแค่ถามหาเบาะแสเซียนวิญญาณน้ำแข็งจากนาง มอบของที่ชายหนุ่มแซ่เวิงมอบให้ๆ อีกฝ่าย คิดดูแล้วก็คงจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ชิงหยวนจื่อให้เขาไปรวบรวมวัตถุดิบมา
แม้ว่าเขาจะรวบรวมวัตถุดิบได้พอสมควรแล้ว แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่สถานที่ที่ส่งตัวกลับมาจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี มีระยะทางห่างจากเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณเหาะเหินนั้นมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินในตอนแรก และกลับมาที่เผ่ามนุษย์ก่อน ให้ตนเองมีพลังรักษาชีวิตตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ถึงอย่างไรเสียภายในพันปีที่อีกฝ่ายพูดถึง ก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกตั้งหกเจ็ดร้อยปี
ช่วงเวลานี้เขาก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นไประดับผสานอินทรีย์แล้วค่อยไปพบชิงหยวนจื่อ เพื่อทำการแลกเปลี่ยนนมเทวะแม่น้ำยมโลก
เช่นนั้นถึงจะมั่นคงมากขึ้น