“ชนรุ่นหลังจะไปกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านอาวุโสทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์เป็นเรื่องที่สำคัญระดับไหน ระมัดระวังมากหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“ตอนแรกยามที่ตาเฒ่าทะลวงจุดคอขวดนั้น ก็หาสถานที่รกร้างเช่นเดียวกัน มีความคิดไม่ต่างอันใดกับสหานหานนัก” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเองก็หัวเราะร่าออกมา
หานลี่ได้ยินย่อมฉีกยิ้มรับ
จากนั้นทั้งสามคนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แค่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน
ประสบการณ์จากการเดินทางข้ามแผ่นดินใหญ่ทั้งสองของหานลี่จะมากมายแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ส่วนชายชราและหญิงสาวคนหนึ่งก็เป็นเจ้าของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ คนหนึ่งก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุระดับผสานอินทรีย์มาหลายปี ประสบการณ์จึงไม่ธรรมดาเลยสักนิด
ทั้งสามคนพูดคุยกันรอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะพูดคุยกันถูกคอ
ชายชราและหญิงสาวต่างก็ได้เปิดหูเปิดตา
“สหายหาน ฟังจากเมื่อครู่ เจ้าเข้าใจเรื่องราวของชนต่างเผ่าเยอะมาก มีหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ แม้กระทั่งเรื่องแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น หรือว่าสหายเคยไปหาประสบการณ์ที่แผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น?” ในที่สุดชายชราก็ระงับความฉงนไม่ไหว เอ่ยปากถามขึ้น
“สายตาของสหายชีช่างแหลมคมนัก! ข้าน้อยเพิ่งกลับมาจากผจญภัยในแดนรกร้าง ส่วนแผ่นดินใหญ่นั้นก็บังเอิญไปมาครั้งหนึ่ง” หานลี่ไม่ได้มีเจตนาปิดบัง จึงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
แต่ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวและหญิงสาว กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
เซียนเสี่ยวเฟิงเงียบขรึมไปชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยออกมา
“มิน่าล่ะจากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโส ก่อนหน้านี้ชนรุ่นหลังไม่เคยได้ยินอันใดมาก่อน ที่แท้ท่านอาวุโสก็ไปฝึกฝนที่ภายนอกมา ช่วงนี้เพิ่งจะกลับมาที่เผ่าของเรา ทว่าฟังจากคำพูดของท่านอาวุโสอวิ๋น สหายเคยเอ่ยถึงตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้อย่างตระกูลเยี่ยและตระกูลหล่ง ข้าจึงนึกได้เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
“อ๋อ เรื่องใดหรือ? สหายพูดมาเถิด!” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ ไม่ปิดบังท่านอาวุโส หลังจากที่อาวุโสกู่อวิ๋นบอกเรื่องนี้กับข้า ข้าก็รู้สึกสนใจมาก และใช้ให้คนไปสืบหาคนที่มีแซ่เดียวกันกับท่านอาวุโส แม้ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ จะยังหาอันใดพบไม่มากนัก แต่กลับได้ข้อมูลง่ายๆ มานิดหน่อย สองสามร้อยปีก่อนเคยมี ‘หานลี่’ รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่เมืองเทวะสวรรค์ ใช่ท่านอาวุโสหรือไม่?” เซียนเสี่ยวเฟิงเอ่ยอย่างแช่มช้า
ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวได้ยินกลับตกตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หานลี่เป็นหนึ่งในสมาชิกของเมืองเทวะสวรรค์ หรือว่าผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่งเมื่อสองสามร้อยปีก่อนยามนี้จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ล้วนทำให้อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ผู้นี้ประหลาดใจมาก
“หึๆ ชื่อเสียงของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ไม่ธรรมดาจริงๆ ทว่าแค่สองสามปีก็หาต้นกำเนิดของผู้แซ่หานได้ ข้าน้อยเคยเป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่เมืองเทวะสวรรค์จริงๆ หลังจากที่รับภารกิจหนึ่งก็ได้รับอิสรภาพ แล้วจึงออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติขณะเอ่ย
“เช่นนั้นคนที่ถูกตระกูลหล่งและตระกูลเยี่ยตามหาในเวลาเดียวกันก็คือท่านอาวุโสหาน” หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ
“ตระกูลเยี่ย ตระกูลหล่ง? พวกเขาเคยตามหาข้างั้นหรือ?” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“ตอนนั้นตระกูลเยี่ยตามหาท่านอาวุโสเป็นเวลาร้อยกว่าปีจึงล้มเลิกไป กลับเป็นตระกูลหล่งที่มีชื่อเสียงว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ดูเหมือนจะยังคงไม่ล้มเลิกคำสั่งนี้อย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมาตระกูลเยี่ยและตระกูลหล่งต่างก็เป็นปฏิปักษ์ต่อกันไม่น้อย แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับลงมือ แต่ยามที่ทั้งสองตระกูลมีเรื่องขัดแย้งกัน ลองคำนวณดูแล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองตระกูลเริ่มตามหาท่านอาวุโส” หญิงสาวเอ่ยอย่างมีเลศนัย
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยตอบอันใดกลับเงียบขรึมขึ้น
“สหายเคยเป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลของเมืองเทวะสวรรค์? ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ พอดีเลยมีบางเรื่องที่ผู้แซ่ชีอยากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เจตนาที่ตาเฒ่ามาเยี่ยมเยียนสหายในครั้งนี้ สหายหานก็น่าจะเดาออกอยู่หลายส่วนสินะ” หลังจากที่ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวกระแอมไอเบาๆ ก็เอ่ยปากขึ้นในยามนี้
“อืม ที่พี่ชีพูด หรือว่าจะอยากเชิญข้าน้อยเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์!” หานลี่เลิกคิ้ว แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ใช่แล้ว ตาเฒ่าเป็นตัวแทนของสมาคมอาวุโส มาเรียนเชิญสหายให้เข้าร่วมเมืองของเราอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าจากพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของสหาย เมื่อเข้าร่วมเมืองของเราจะกลายเป็นหนึ่งในสมาคมอาวุโสทันที ส่วนการต้อนรับหลังจากนี้ ในเมื่อสหายหานเคยอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ก็น่าจะรู้ดี ไม่ต้องให้ตาเฒ่าพูดมากอันใด” ชีซวี่ปิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“เรื่องนี้…”
หานลี่เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา และไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
หญิงสาวเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หลังจากที่กลอกตาไปมา ริมฝีปากบางก็อ้าออกแล้วพ่นคำพูดออกมาเบาๆ
“ในเมื่อท่านอาวุโสชีเอ่ยปากแล้ว ข้าในฐานะของเจ้าของตระกูลกู่ แน่นอนว่าย่อมมีเจตนาที่ไม่แตกต่างกันนัก อยากเชิญท่านอาวุโสเข้าร่วมตระกูลกู่ กลายเป็นอาวุโสแขกผู้มีเกียรติของตระกูลกู่ ตำแหน่งนี้นอกจากจะต้อนรับอย่างทำให้สหายพอใจได้แล้ว ปกติแล้วนอกจากเรื่องความเป็นความตายของตระกูลกู่ ตระกูลกู่ของพวกเราไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับสหายแน่”
เซียนเสี่ยวเฟิงเอ่ยปาก เงื่อนไขกลับน่าเย้ายวนใจยิ่งกว่า
ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งเครียด แต่กลับไม่รู้จะพูดกับหญิงสาวอย่างไร
ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าหญิงสาวจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสุญตา แต่ในฐานะเจ้าของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้กลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไม่กล้าดูแคลน
แต่หลังจากที่ชายชราครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยังคงเอ่ยกับหานลี่อย่างแช่มช้า “ระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจทั้งสองของพวกเรามีอยู่น้อยมาก นอกจากเมืองของข้าแล้วเชื่อว่าไม่ว่าดินแดนไหนในสามเขตเจ็ดดินแดนก็ไม่อาจมีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์จำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกันได้ สมาชิกอาวุโสของเมืองเรา มักจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกฝนด้วยกัน หากสหายยอมเข้าร่วมเมืองของเราจากนี้จะต้องได้รับประโยชน์จากการฝึกฝนไม่น้อยแน่ และยิ่งไปกว่านั้นสมาคมอาวุโสของพวกเราก็มักจะร่วมมือกันไปที่ดินแดนรกร้างเพื่อล่าอสูรโบราณที่แข็งแกร่ง นี่เป็นสิ่งที่ดินแดนอื่นไม่อาจเปรียบเทียบได้ สหายหายลองไตร่ตรองให้ละเอียด ตาเฒ่ามาเรียนเชิญสหายเข้าเมืองของเราด้วยความจริงใจ”
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าจะสนใจอยู่หลายส่วน
“แม้ว่าตระกูลกู่ของพวกเราจะมีอาวุโสระดับผสานอินทรีย์นั่งบัญชาการอยู่เพียงคนเดียว แต่ในฐานะหนึ่งในตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ย่อมมีเคล็ดวิชาลับในการใช้และควบคุมโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ได้ยินว่ายามที่ท่านอาวุโสทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ก็เผยเทวรูปวานรยักษ์ภูเขาออกมา จากที่ข้ารู้มาจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในเผ่ามนุษย์ไม่มีตระกูลไหนเลยที่รับการถ่ายทอดโลหิตวิญญาณมาจากวานรยักษ์ภูเขา ดูแล้วท่านอาวุโสคงได้โลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้มาจากเผ่าอื่นสินะ หากท่านอาวุโสยอมเข้าร่วมกับตระกูลกู่ของพวกเรา ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาหลอมและควบคุมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ให้กับท่านอาวุโส และยิ่งไปกว่านั้นรับประกันว่าหมื่นปีให้หลัง หากท่านอาวุโสมีความคิดจะจัดตั้งตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ล่ะก็ ตระกูลกู่ของพวกเราจะไม่มีทางขัดขวางและร่วมมืออย่างเต็มกำลังแน่” หญิงสาวเอ่ยที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมา
ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวได้ยินว่าหานลี่มีโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็พลันตกตะลึงและเมื่อได้ยินเงื่อนไขของหญิงสาวสีหน้าก็เปลี่ยนสีไป
“ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ตระกูลใหม่!” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเช่นกัน
“ใช่แล้วจากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสและโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ได้รับการถ่ายทอดมา ตระกูลกู่จะกล้าให้ท่านอาวุโสรับตำแหน่งท่านอาวุโสแขกผู้มีเกียรติที่เป็นเพียงชื่อเสียงลวงๆ ได้อย่างไร ขอแค่ท่านอาวุโสยอมรับตำแหน่งอาวุโสของตระกูลเป็นเวลาหมื่นปี หมื่นปีให้หลังตระกูลกู่ของพวกเราจะต้องช่วยท่านอาวุโสตั้งตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ขึ้นมาอีกตระกูลแน่ มิเช่นนั้นแม้ว่าจากพลังยุทธ์ของท่านอาวุโสจะสามารถตั้งตระกูลขึ้นมาได้ แต่จะต้องมีเสียงยับยั้งไม่น้อยแน่ ถึงอย่างไรเสียตระกูลต่างๆ ก็จะได้รับข้อได้เปรียบเสียเปรียบไม่น้อย หากมีตระกูลเพิ่มขึ้นมาตระกูลหนึ่ง จะต้องเสียประโยชน์ไม่น้อยแน่ ตระกูลอื่นๆ คงไม่มีทางยอม” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
หานลี่ลูบใต้คางไปมา แล้วเงียบขรึมไม่ได้ปริปากอันใด
หานลี่ไม่ได้ตอบสนองอันใด แต่เห็นได้ชัดว่าหากจะเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจใดจริงๆ ก็ไม่มีทางเป็นพวกชาวเทวะสวรรค์อย่างพวกเขาได้
ส่วนหญิงสาวจากตระกูลกู่แม้ว่าจะมีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าเงื่อนไขที่ตนเองเอ่ยไปจะทำให้อีกฝ่ายสนใจได้หรือไม่
ถึงอย่างไรเสียก็มีเซียนระดับสูงจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากจัดตั้งเผ่า ตระกูลหรือขุมอำนาจของตนเอง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนักจำนวนไม่น้อยแค่อยากอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกฝน และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อยากถูกควบคุมหรือมีพันธสัญญาใดๆ
มิเช่นนั้นหลังจากที่เมืองเทวะสวรรค์สูญเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไปคนหนึ่ง คงไม่หาผู้มาเสริมแทนจากสามเขตเจ็ดดินแดนได้ยากเพียงนี้
“ข้าน้อยได้ยินว่าหนึ่งในสามจักรพรรดิอย่างจักรพรรดิเทียนเมี่ยวเพิ่งเพลี่ยงพล้ำไปไม่นาน จักรพรรดิใหม่จะถูกเลือกในอีกร้อยกว่าปี ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้หรือไม่?” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยปาก คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้ชีซวี่ปิงและเซียนเสี่ยวเฟิงตะลึงงัน
“มีเรื่องนี้จริงๆ การแข่งขันผู้บำเพ็ญเพียรศักดิ์สิทธิ์จะถูกจัดขึ้นในอีกร้อยปีให้หลัง และเลือกสหายระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ สหายหานถามถึงเรื่องนี้ หรือว่าสนใจตำแหน่งจักรพรรดิ?” ตะลึงไปชั่วครู่ ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวถึงได้เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อันใด ข้าน้อยไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการคัดเลือกจักรพรรดิองค์ใหม่หรือ?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“ขอแค่เป็นสหายเผ่ามนุษย์ระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป ล้วนมีคุณสมบัติในการแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิ ทว่าในอดีตที่ผ่านมาตำแหน่งจักรพรรดิทั้งสามแทบจะตกอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายกันหมด บางครั้งที่มีข้อยกเว้น ก็สิ่งมีชีวิตขั้นกลางที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือชั้น ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นแรกรับตำแหน่งจักรพรรดิ จากที่ผู้แซ่ชีรู้มาตั้งแต่ที่เผ่ามนุษย์ตั้งรกร้างในแดนวิญญาณ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ชายชราเก็บสีหน้าประหลาดใจ แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ท่านอาวุโสหานมีโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่หากอยากได้ตำแหน่งจักรพรรดิ เกรงว่าคงจะเป็นการรีบร้อนเกินไปหน่อย ภายในระยะเวลาร้อยปีเพิ่งจะทำให้ท่านอาวุโสคุ้นเคยกับระดับพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เกรงว่าคงไม่อาจสู้กับสิ่งมีชีวิตขั้นปลายได้” หลังจากที่หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ก็ใช้น้ำเสียงอ่อนหวานชักจูงขณะเอ่ย
“หึๆ แน่นอนว่าผู้แซ่หานย่อมไม่อวดดีเพียงนั้น คิดว่าตนเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ ก็สามารถแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณได้ ในการแข่งขันจักรพรรดิจะต้องมีสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันมารวมตัวกันจำนวนมากแน่ ข้าน้อยเข้าร่วมการแข่งขันนี้แค่อยากรู้จักกับเหล่าสหายให้มากขึ้นเท่านั้น ส่วนการเรียนเชิญของสหายทั้งสอง ผู้แซ่หานเป็นพวกไม่ชอบอยู่ที่ไหนนานนัก และไม่อยากเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของผู้ใดมากนัก จึงทำได้เพียงขอปฏิเสธอย่างเสียมารยาทเท่านั้น หากเซียนเสี่ยวเฟิงยินยอมล่ะก็ ข้าน้อยยอมใช้สมบัติหรือเคล็ดวิชาอื่นมาแลกเปลี่ยนกับเคล็ดวิชาลับเหล่านั้น ไม่ทราบว่าเซียนสนใจหรือไม่?” หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา