เมื่อได้ฟังคำนี้หญิงสาวก็กะพริบตาปริบๆ แล้วตะลึงค้าง
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบรับว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลกู่ กลับอยากได้เคล็ดวิชาหลอมโลหิตเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ ช่างทำให้นางรู้สึกหมดคำพูดจริงๆ
หลังจากที่สตรีผู้นี้มีสีหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ในที่สุดก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ข้อเสนอของท่านอาวุโสหาน เกรงว่าชนรุ่นหลังจะตอบรับไม่ได้ เคล็ดวิชาโลหิตของตระกูลกู่ไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ ต่อให้ท่านอาวุโสเอาเคล็ดวิชาและสมบัติที่เย้ายวนใจขนาดไหนออกมา ข้าก็ไม่มีทางตอบรับ นอกเสียจากว่าท่านอาวุโสจะยอมตกลงกับเรื่องเมื่อครู่”
“เช่นนั้นการเข้าร่วมตระกูลกู่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไม่ใช่แค่ตระกูลกู่ ขุมอำนาจอื่นๆ ผู้แซ่หานก็ไม่เข้าร่วม ดูแล้วครั้งนี้คงทำให้สหายทั้งสองมาเสียเที่ยวแล้ว” หานลี่ไม่ได้ใส่ใจการปฏิเสธของหญิงสาว กลับเอ่ยเสียงราบเรียบออกมา
หลังจากนั้นหญิงสาวทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ แววตาเปล่งประกายไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ชีซวี่ปิงที่อยู่ด้านข้างเองก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเรียนเชิญหานลี่อีกเช่นกัน
จากนั้นทั้งสามคนก็แค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเคล็ดวิชาและการฝึกบำเพ็ญเพียรไปเสียเลย เดิมทีบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ทั้งสองคนก็หยัดกายลุกขึ้นกล่าวลา
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมเอ่ยปากรั้งไว้ แต่ชายชราและหญิงสาวตัดสินใจจะจากไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงออกมาส่งที่นอกถ้ำพำนักด้วยตนเอง
จากนั้นไม่นานลำแสงหลีกหนีสองสายก็พุ่งไปหาทะเลหมอก หลังจากหม่นแสงลง เงาร่างของชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวและหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นที่ขอบของทะเลหมอกอีกครั้ง
“ท่านอาวุโซชี ดูแล้วครั้งนี้พวกเราคงต้องกลับไปมือเปล่าเสียแล้ว ชนรุ่นหลังจะกลับไปยังตระกูลกู่ ท่านอาวุโสเองก็จะกลับไปที่เมืองเทวะสวรรค์สินะ?” หญิงสาวเอ่ยด้วยชายชราด้วยรอยยิ้มบางๆ
“สหายเสี่ยวเฟิงเอาตามสะดวกเถิด ตาเฒ่ายังไม่กลับเมืองเทวะสวรรค์ ได้ยินว่าในเขตเสวียนอู่มีผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นานเช่นกัน แม้ว่าจะได้ยินว่าคนผู้นี้ตอบรับคำเชิญของจักรพรรดิป้าแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากจะไปดูสักครั้ง” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบเช่นนี้ออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ชนรุ่นหลังก็ขอตัวก่อน” หญิงสาวพยักหน้า หลังจากคารวะชายชรา ผิวก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งไปยังขอบฟ้า
เพียงชั่วพริบตาขอบฟ้าก็เปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวจ้องเขม็งไปยังจุดที่หญิงสาวหายไปชั่วครู่ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นปล่อยสำเภาเหาะสีเขียวมรกตออกมาลำหนึ่ง พลิ้วกายขึ้นไปยืนอยู่ด้านบน
มือหนึ่งพลันร่ายอาคม สำเภาเหาะกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปพันลี้
ในชั่วพริบตานั้นที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า รอบด้านเงียบสงัด
แต่หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ขอบฟ้าก็มีลำแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินสายนั้นมาปรากฏตัวอีกครั้ง หลังจากหมุนวนไปรอบหนึ่งก็ร่อนลงตรงขอบของทะเลหมอกอีกครั้ง
เมื่อลำแสงหลีกหนีหม่นลง ก็ปรากฏเงาร่างของหญิงสาวขึ้น
หญิงสาวมีสีหน้าราบเรียบ ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำอันใดสักอย่างกับทะเลหมอก
ผลคือครู่ต่อมาทะเลหมอกตรงหน้าพลันหมุนวน แล้วเปิดเป็นทางสายหนึ่งอีกครั้ง
เซียนเสี่ยวเฟิงผู้นี้กลายเป็นลำแสงหลีกหนีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในทะเลหมอก
จากนั้นทะเลหมอกก็ผสานเข้ากันอีกครั้ง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ทางเดินกลางทะเลหมอกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สายรุ้งสีเงินบินออกมา หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หายไปอย่างไร้เงา
ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่นั่งอยู่ในห้องโถงของถ้ำพำนัก มือหนึ่งก็ถือแผ่นป้ายหยกสีเงินขาวเอาไว้ นิ้วลูบไปมาบนแผ่นป้ายหยกไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปสีหน้าครุ่นคิด
แผ่นป้ายหยกเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสลักคำว่า ‘กู่’ ลายบนแผ่นป้ายเป็นรูปอสูรประหลาดสามหัวสีแดง
ร่างกายของอสูรประหลาดราวกับม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่ง กายมีเกล็ดสีแดง หนึ่งในหัวทั้งสามก็เป็นหัวม้าเขาเดียว อีกสองหัวกลับแบ่งเป็นพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งและหัวสิงโตสีฟ้าตัวหนึ่ง
นั่นก็คือรูปร่างของ ‘หลี่โหว’ ในตำนานของจิตวิญญาณเที่ยงแท้
แม้ว่าอสูรในตำนานตัวนี้จะจัดอยู่แค่ระดับกลางในจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่หัวทั้งสามกลับสามารถควบคุมพลังธาตุที่แตกต่างกัน และยิ่งไปกว่านั้นทุกชนิดยังมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อ
อิทธิฤทธิ์เหล่านี้ไม่เพียงจะไม่ธรรมดาในการต่อสู้กับศัตรู ในด้านการช่วยเหลือหรือด้านอื่นๆ ก็มีประสิทธิภาพที่น่าอัศจรรย์เช่นกัน
แผ่นป้ายหยกแผ่นนี้เป็นสิ่งที่เซียนเสี่ยวเฟิงมอบให้เขาหลังจากที่มาหาอีกครั้ง
ตระกูลกู่ได้รับถ่ายทอดโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้หลี่โหวมา
หานลี่ก็ประหลาดใจกับที่หญิงสาวไปและกลับมาอีกครั้งเช่นกัน ในหัวย้อนนึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดถึงหลังจากกลับมาเยือนอีกครั้ง
เมื่อหญิงสาวผู้นี้ได้พบเขา ไม่เพียงจะโยนแผ่นป้ายหยกในมือมาให้เขาทันที ยังเสนอเงื่อนไขที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา
คาดไม่ถึงเลยว่านางจะเอ่ยว่าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมตระกูลกู่อย่างเป็นทางการนานนับหมื่นปี ขอแค่สิบกว่าปีหลังจากที่เข้าร่วมพิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมารวมตัวกันและลงมือช่วยเหลือสักครั้งก็พอแล้ว
ขอแค่เขาช่วยแย่งชิงผลประโยชน์ของตระกูลกู่ได้เพียงพอ นางก็สามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชาโลหิตส่วนหนึ่งของตระกูลกู่ให้กับเขาได้
แน่นอนว่าหญิงสาวเองก็พูดอย่างชัดเจนว่าเคล็ดวิชาลับส่วนนี้แม้ว่าจะไม่ใช่แกนหลักของเคล็ดวิชาตระกูลกู่ แต่ตระกูลอื่นๆ นอกจากตระกูลกู่ก็ไม่อาจเอาไปได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นถึงได้ใช้พวกมันแลกเปลี่ยนกับการที่ให้หานลี่ลงมือในครั้งนี้
เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องเข้าร่วมตระกูลกู่นาน แค่ช่วยครั้งหนึ่งหานลี่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
แม้ว่าในมือของเขาจะควบคุมการหลอมโลหิตของตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งอยู่ แต่ถึงอย่างไรเสียเคล็ดวิชานี้ก็เป็นสิ่งที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินสร้างขึ้น จึงไม่ค่อยมีประโยชน์กับเผ่ามนุษย์มากนัก
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ เขายังไม่รู้สึกอันใด แต่เมื่อทำให้พลังยุทธ์มั่นคงภายในหนึ่งปี ในที่สุดเขาก็บังเอิญพบว่าโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่เขาคิดว่าหลอมไปหมดแล้ว ยังคงมีเศษลึกลับหลงเหลืออยู่ และซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกาย
ครานี้เขาจึงตกตะลึงไปไม่น้อย และเริ่มศึกษาอย่างละเอียดทันที
ผลคือพบว่าจากสถานการณ์ตรงหน้าเขาอาศัยพลังปราณในร่างกดระงับเศษซากของโลหิตเที่ยงแท้เหล่านี้เอาไว้และไม่ได้กีดขวางอันใด แต่หากดูดซับโลหิตเที่ยงแท้อื่นๆ ต่อ เกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาที่ไม่อาจคาดคิดได้
ไม่ใช่ว่าเศษซากโลหิตเที่ยงแท้จะแว้งกัดกายเนื้อของเขา แต่คือไม่อาจสำแดงวิชาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งได้อีก
ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจึงทำให้พลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์มั่นคงไปพลาง ขบคิดวิธีการแก้ปัญหาไปพลาง
ด้วยเหตุนี้ยามที่หญิงสาวเอ่ยถึงเคล็ดวิชาหลอมโลหิตเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ ถึงได้ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเคล็ดวิชาหลอมของตระกูลเหล่านี้จะไม่อาจช่วยเขาหลอมเศษซากของโลหิตเที่ยงแท้ได้ แต่ต้องมีประโยชน์ในการอ้างอิงแน่
หากเขาไม่รู้คาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้ง แค่เคล็ดวิชาหลอมที่ตื้นเขินย่อมทำอันใดไม่ได้ แต่หากมีคาถาตื่นจากจำศีลคอยเปรียบเทียบ ขอแค่เขาหาจุดที่ไม่เหมือนกันระหว่างเคล็ดวิชาหลอมของเผ่ามนุษย์และคาถาตื่นจากจำศีล ก็สามารถแก้ปัญหาอันใหญ่หลวงนี้ได้แล้ว
ทว่าจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า เขาไม่มีทางเอาตัวไปติดพันกับตระกูลกู่เป็นหมื่นปีเพราะเหตุนี้แน่
และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาไม่ได้เคล็ดวิชาหลอมของตระกูลกู่มา ก็คงใช้วิธีการชั่วร้าย ไปเอาเคล็ดวิชาหลอมที่คล้ายคลึงกับตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้อื่นอยู่ดี
แน่นอนว่าหากทำเช่นนี้ จะต้องมีปัญหาแน่ และอาจจะสร้างความแค้นกับตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้บางตระกูล
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินหญิงสาวอธิบายถึงพิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ว่าแค่ต้องการให้ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้สำแดงทักษะในพิธีกับตระกูลอื่น แค่ชิงประโยชน์มาให้ตระกูลกู่เท่านั้น ก็พยักหน้าตอบรับ ให้เซียนเสี่ยวเฟิงจากไปอย่างยินดี
ส่วนแผ่นป้ายหยกในมือ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันฐานะอาวุโสตระกูลกู่ชั่วคราวของเขา
หลังจากที่เขาขบคิดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ก็รู้สึกว่าไม่มีจุดใดที่ผิดปกติ จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อนชั่วคราว ยังคงกลับมาในห้องลับ แล้วเริ่มทำให้ระดับผสานอินทรีย์ของตนมั่นคงต่อไป
จากนั้นก็มีขุมอำนาจใหญ่ๆ อีกสองสามแห่งมาหา แม้กระทั่งทูตของจักรพรรดิเทียนหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น
หานลี่ที่ตัดสินใจแล้ว ย่อมปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ
เช่นนั้นเวลาสองสามปีจึงผ่านไปภายในพริบตา
สามปีต่อมาหานลี่จึงเดินออกมาจากห้องลับ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกจากถ้ำพำนัก
หลังจากผ่านการกักตัวเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาก็มั่นใจว่าควบคุมกายเนื้อและพลังปราณของตนได้แล้ว จึงออกมาจัดการเรื่องที่กวนใจของตนเอง
สถานที่ซึ่ง อยู่ใกล้กับเมืองเทวะสวรรค์ที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ที่ เขาต้องไปเป็นแห่งแรก
ระหว่างทางไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปสองเดือน ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นที่กำแพงเมืองของเมืองเทวะสวรรค์ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็บินตรงไปยังสถานที่หนึ่ง
ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างหอคอยขนาดใหญ่ที่อยู่ในส่วนลึกของหอคอยศิลาตั้งตระหง่านฟ้า เป็นสถานที่ที่ ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรจากภายนอกเข้ามาพักผ่อนชั่วคราวของเมืองเทวะสวรรค์
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับจิตวิญญาณสีทองระดับเทพแปลงที่พลังยุทธ์ต่ำหน่อยมีเงินในกระเป๋าน้อย ย่อมพักอยู่หอคอยเดียวกันสิบกว่าคน ส่วนผู้ที่พลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาที่มีพลังยุทธ์สูง ย่อมพักอยู่เพียงลำพัง
หนึ่งในหอคอยนั้นถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสี่คนเหมาเอาไว้
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสี่คนว่ากันว่ามีอิทธิฤทธิ์ไม่อ่อนแอ และยิ่งไปกว่านั้นยังพักอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว ประกอบกับเข้าไปในแดนรกร้างและกลับมาได้อย่างครบสามสิบสองหลายครั้ง แน่นอนว่าย่อมมีชื่อเสียงเล็กๆ อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์
ทว่าสองสามปีมานี้ทั้งสี่คนกลับไม่ค่อยออกจากหอคอย เวลาส่วนใหญ่ล้วนกักตนอยู่ในที่พัก
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ก็ได้ยินชื่อเสียงและความสามารถของพวกเขาอยู่บ้าง สองสามปีก่อนทั้งสี่คนเข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้าง จนเสียเปรียบและสูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย ดังนั้นถึงได้เป็นเช่นนี้
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญในเมืองเทวะสวรรค์ มากสุดก็ทำให้คนอื่นๆ สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและอันตรายของแดนรกร้างอีกครั้ง และไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ทว่าวันนี้บุรุษสองคนและสตรีสองคนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในหอคอย ฉับพลันนั้นข้างหูก็มีเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น
“สหายทั้งสี่ ผู้แซ่หานขอมาเยี่ยมเยียนได้หรือไม่”
เสียงนี้ไม่สนใจเขตอาคมต้องห้ามที่ทั้งสี่คนวางเอาไว้นอกหอคอย ทั้งสี่คนจึงได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อทั้งสี่คนได้ยินก็พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงคนคนหนึ่ง หน้าเปลี่ยนสีแล้วทยอยกันลุกขึ้น บินลงมาที่ชั้นหนึ่งในทันที
ผู้นำที่แต่งกายเป็นนักปราชญ์ผู้นั้น ฟื้นฟูแขนที่ขาดไปกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว หลังจากที่มาปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่ง ก็เปล่งแสงสว่างวาบเปิดประตูหอคอยออกทันที
เห็นเพียงด้านนอกมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวหน้าตาราบเรียบคนหนึ่งยืนอยู่ซึ่งนั่นก็คือหานลี่
“ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโส! ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียน หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา!” ใบหน้าของนักปราชญ์เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ จากนั้นก็คารวะอย่างนอบน้อม แล้วเชิญหานลี่ให้เข้าไปข้างใน
หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ หลังจากพยักหน้าให้นักปราชญ์ก็เดินเข้าไป
ยามนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีแดงผู้นั้นและหญิงสาวที่เหลือทั้งสองพลันปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่งเช่นกัน หลังจากเห็นว่าเป็นหานลี่ ก็รีบร้อนคารวะอย่างนอบน้อมเช่นกัน
“ช่างเถิด ข้าและสหายนับว่าเป็นสหายเก่ากัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี!” หานลี่โบกมือขณะเอ่ย และนั่งลงตรงตำแหน่งหลักด้วยสีหน้าราบเรียบ
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่กลับร้องเสียงหลงว่ามิกล้า และยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม