“…หากมีสหายและอาตมาคอยปกป้อง จะต้องเปลี่ยนแปลงเขตแดนของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นได้ไม่น้อยแน่” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยคำพูดชักชวนออกมามากมาย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
หานลี่ได้ฟังใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน แต่หลังจากแววตาเปล่งประกายสองสามครา ก็ยังสั่นศีรษะอย่างช้าๆ
“แม้ว่าผู้แซ่หานจะเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา และรู้แดนของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสองคนจะแก้ไขได้ ต่อให้ข้าน้อยยอมเข้าร่วมสมาคมอาวุโส ก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก กลับจะตกอยู่ในการโต้แย้งกัน และที่ผู้แซ่หานเหยียบย่างเข้าสู่หนทางแห่งการเป็นเซียน ก็เพราะใฝ่หาชีวิตที่ยืนยาว แม้ว่าจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว แต่หนทางในการบินขึ้นไปยังแดนเซียนก็ยังอีกยาวไกล ไม่อาจแบ่งใจไปเรื่องอื่นได้”
“คาดไม่ถึงว่าสหายจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนัก อาตมาขอนับถือ! ในเมื่อสหายมีปณิธานอื่น และยิ่งไปกว่านั้นยังตัดสินใจแล้ว อาตมาก็จะไม่ชักจูงอันใดอีก สหายมาที่เมืองเทวะสวรรค์ในครั้งนี้ คงมีเรื่องสำคัญ ต้องการให้อาตมาช่วยหรือไม่” ภิกษุจินเย่ว์มองออกว่าหานลี่ตัดสินใจไปแล้ว จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องเรียนเชิญอีก
“ขอบพระคุณภิกษุที่มีเจตนาดี ผู้แซ่หานมาที่เมืองในครั้งนี้ แค่มาซื้อวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังได้รับไหว้วานมาเรื่องหนึ่ง” หานลี่ประสานมือคารวะแล้วตอบกลับอย่างมีมารยาท
“หึๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าหากสหายมีอันใดให้ช่วยเหลือ ก็บอกอาตมามาได้เลย ในเมืองเทวะสวรรค์ อาตมาช่วยได้แน่นอน” ภิกษุจินเย่ว์พยักหน้า
หานลี่ได้ฟัง ย่อมเอ่ยปากขอบคุณไม่หยุด
เวลาต่อจากนั้นหานลี่และภิกษุจินเย่ว์ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องไม่สำคัญอันใดอีก แต่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรกัน
เรื่องนี้สำคัญกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แทบจะเป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากพบหน้ากัน
ถึงอย่างไรเสียพลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ได้อย่างพวกเขา ก็แทบจะนับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ถึงขีดจำกัดในชีวิตแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานและระดับเคราะห์สวรรค์ในตำนานนั้น ก็เป็นเรื่องที่ใฝ่ฝันแต่ไปไม่ถึง
เผ่าต่างๆ ที่มีขนาดเล็กหน่อย ทั้งเผ่าก็ไม่รู้ว่าจะมีอยู่สักคนสองคนหรือไม่
ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ก็ทำได้เพียงอาศัยการแลกเปลี่ยนจุดที่ยากลำบากในการฝึกบำเพ็ญเพียรกับผู้อื่น
ภิกษุจินเย่ว์ผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้ว เข้าใกล้ขั้นสุดท้ายอีกก้าวเดียวเท่านั้น ประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรจึงเหนือกว่าอาวุโสชีผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นจะเทียบเทียมได้
ส่วนหานลี่ก็มีอิทธิฤทธิ์หลากหลาย เคล็ดวิชาพราหมณ์เที่ยงแท้มารศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเคล็ดวิชาฝึกบำเพ็ญเพียรคู่ที่ไม่เคยมีผู้ใดฝึกฝนมาก่อน การฝึกฝนจึงค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์
เมื่อทั้งสองแลกเปลี่ยนกันก็รู้สึกว่าได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยไม่รู้ตัว
เช้าตรู่วันที่สองภิกษุจินเย่ว์ถึงได้กล่าวลาอย่างเบิกบานใจ
หานลี่ยังคงกลับมาที่ชั้นบนสุดของหอคอย พลางนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียรต่อ
สองสามวันต่อมาไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ มาเยี่ยมเยียน ดูแล้วไม่ใช่มีธุระอื่น ก็คงรู้ว่าเขาไม่เข้าร่วมสมาคมอาวุโสจากปากของภิกษุจินเย่ว์ จึงไม่ได้ทำอันใดให้มากความ
หกวันต่อมา ยามที่ถึงวันที่เจ็ด ในที่คนที่เขารอคอยก็มาถึง
หานลี่ไม่รอให้หญิงรับใช้ด้านล่างรายงาน ก็ลุกขึ้นจากฟูก แล้วลอยลงมา
สาวใช้สองสามคนกำลังพูดคุยอันใดด้วยเสียงแผ่วเบาอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นหานลี่ปรากฏตัว ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ทยอยกันเข้ามาคารวะ
หานลี่โบกมือ แล้วออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“พวกเจ้าออกไปก่อน คนที่ข้ารอมาถึงแล้ว ไปเชิญนางเข้ามา”
เมื่อได้ยินคำพูดของสหาย สตรีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณเหล่านั้นพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วเดินออกไปด้านนอกหอคอย
หานลี่นั่งลงบนตำแหน่งหลัก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สาวใช้คนหนึ่งก็เป็นตัวแทน พาหญิงสาวหน้าตาขาวนวลคนหนึ่งเดินเข้ามา
หญิงสาวผู้นี้ร่างกายสูงผอม สวมชุดชาววังสีฟ้า นั่นก็คือ ‘เซียนสวี่’ ในปีนั้น
พลังยุทธ์ของนางอยู่ในระดับเทพแปลงแล้ว
“เป็นท่านอาวุโสหานจริงๆ ด้วย ท่านอาวุโสบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว!”
หานลี่มีหน้าตาแทบจะเหมือนกับเมื่อสองสามร้อยปีก่อน นางมองปราดเดียวก็จำหานลี่ได้ จึงรีบร้อนทำความเคารพหานลี่
ตอนนั้นหานลี่เห็นว่านางเป็นชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง จึงดูแลนางเป็นอย่างดีและชี้แนะเรื่องการฝึกบำเพ็ญเพียรให้นาง
หญิงสาวผู้นี้จึงเคารพเลื่อมใสและรู้สึกซาบซึ้งใจต่อหานลี่มาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อนางกลับมาในเมือง เมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลและชายชราเคราสั้น คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะมาปรากฏตัวที่เมืองเทวะสวรรค์อีกครั้ง และกำลังตามหานางก็รีบมาที่หอรวมเซียนทันที
แน่นอนว่าเรื่องที่หานลี่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ หญิงสาวผู้นี้ได้ฟังก็ตกตะลึงเช่นกัน ระดับความตกตะลึงนั้นไม่น้อยไปกว่าชายชราแซ่เย่ว์เลยสักนิด
แต่เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ หากไม่เห็นกับตานางก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ยามนี้ได้พบหานลี่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของหานลี่ แน่นอนว่าในใจของนางจึงไร้ข้อกังขาใดๆ อีก ทันใดนั้นก็รีบร้อนเข้ามาคารวะหานลี่ด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
“สหายไม่ต้องมากพิธี เซียนและข้านับว่าเป็นสหายเก่ากัน นั่งลงคุยกันเถิด” หานลี่เอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มน้อยๆ ให้ชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งผู้นี้
“เช่นนั้นชนรุ่นหลังต้องขอเกินเลยแล้ว!” เซียนสวี่ลังเลเล็กน้อย แล้วเชื่อฟังคำสั่งอย่างนอบน้อม
หญิงสาวผู้นี้นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างหานลี่
ยามนี้สาวใช้พลันถือถ้วยชาเข้ามา เทชาวิญญาณที่หอมกรุ่นให้สองถ้วย
“พวกเจ้าออกไปให้หมด หากไม่มีคำสั่งของข้า อย่าให้ผู้ใดเข้ามา” หานลี่ออกคำสั่งกับสาวใช้ผู้นั้น
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รับคำ แล้วถอยออกไปอย่างเคารพ
หานลี่ถึงได้สะบัดแขนเสื้อไปทางประตูใหญ่เล็กน้อย
ชั่วขณะนั้นประตูหอคอยพลันมีหมอกลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วค่อยๆ ปิดลงโดยทันที
ในเวลาเดียวกันกำแพงรอบด้านก็มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด เขตอาคมเดิมที่อยู่กับหอคอยถูกกระตุ้นกั้นห้องโถงชั้นหนึ่งเอาไว้
หญิงสาวสวมชุดสีฟ้าเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ใจหายวาบ สีหน้าอดที่จะเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนมิได้
หากไม่ได้พูดคุยเรื่องที่ค่อนข้างเป็นความลับ แน่นอนว่าผู้ใดก็คงไม่ทำอะไรให้ยุ่งยากเช่นนี้
“สหายสวี่ ที่ข้าตามหาเจ้าในครั้งนี้ ความจริงแล้วมีเรื่องอยากจะซักถาม บรรพชนของสหายคือเซียนวิญญาณน้ำแข็งสินะ!” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เซียนวิญญาณน้ำแข็งเป็นบรรพชนของชนรุ่นหลังจริงๆ เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังมิกล้าโกหกหลอกลวงอันใด” เซียนสวี่พลันตกตะลึง แต่ก็ตอบกลับอย่างไม่ต้องครุ่นคิด
“เยี่ยม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สหายรู้เบาะแสของท่านอาวุโสเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือไม่ ข้ามีธุระ เกรงว่าจะต้องพบกับท่านอาวุโสผู้นี้สักหน่อย” หานลี่พ่นลมหายใจออกมา แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“อ่า พบท่านบรรพชน?” แม้ว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวจะคาดเดามามากมาย ยามนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
“อันใด สหายไม่รู้เบาะแสของบรรพชนเจ้าหรือ” หานลี่ขมวดคิ้ว
“แม้ว่าชนรุ่นหลังจะได้รับการสืบทอดสายโลหิตมาจากท่านบรรพชน แต่ยามที่ถือกำเนิด ท่านบรรพชนหายตัวไปหลายหมื่นปีแล้ว ทว่าฟังจากคำพูดของอาวุโสท่านอื่นๆ ในตระกูล ยามนั้นท่านบรรพชนเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ แม้กระทั่งได้รับคำเชิญจากเมืองเทวะสวรรค์เช่นกัน แต่แค่ท่านบรรพชนดูเหมือนมีจะธุระอื่น จึงปฏิเสธคำเรียนเชิญของเมืองเทวะสวรรค์ไป หลังจากนั้นก็หายตัวไปไม่มีข่าวคราวอีก” เซียนสวี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะขมขื่นออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีหนทางอื่น เลือดเนื้อเชื้อไขของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง นอกจากสหายสวี่แล้ว ไม่ทราบว่ามีชนรุ่นหลังคนอื่นหรือไม่” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ปิดบังท่านอาวุโส ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนแรกเลือดเนื้อเชื้อไขของเซียนวิญญาณน้ำแข็งถูกแบ่งออกเป็นสิบกว่าสาขา แม้กระทั่งหนึ่งในนั้นยังมีผู้ที่อาศัยเคล็ดวิชาของท่านบรรพชนก่อตั้งพรรคเล็กๆ ขึ้นมาสองพรรค แต่หากเป็นผู้ที่มีเลือดชิดที่สุด ตระกูลสวี่ของพวกเราก็เป็นตระกูลที่มีเลือดชิดกับท่านบรรพชนมากที่สุดแล้ว แม้แต่แซ่ก็ยังได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านบรรพชนจนถึงทุกวันนี้” เป็นเพราะรู้ว่าหานลี่ดูเหมือนจะมีที่มาเดียวกันกับเซียนวิญญาณน้ำแข็ง ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้จึงไม่ได้ถือตัวอันใด หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เช่นนั้นผู้นำตระกูลสวี่ในตอนนี้คือผู้ใด สหายงั้นหรือ” ฉับพลันนั้นหานลี่ก็ฉีกยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ไม่ใช่แน่นอน แม้ว่าตระกูลสวี่ของพวกเราจะไม่ใช่ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ในตำนาน แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้างในเขตเทียนหยวน ยามนี้ผู้นำตระกูลคือบิดาของข้า นอกจากนี้ในตระกูลยังมีท่านปู่อยู่อีกสองสามคน” หลังจากที่เซียนสวี่ลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยปากขึ้น
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ลูบใต้คางแล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าอยากไปเยี่ยมบิดาของเจ้าสักหน่อย สหายมีความคิดเห็นอันใดหรือไม่”
“ท่านอาวุโสยอมไปที่ตระกูลสวี่ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดีของตระกูลสวี่ แต่แค่…ท่านอาวุโสหานบอกสาเหตุให้ข้าได้หรือไม่” หญิงสาวตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยถามอย่างลังเล
“หึๆ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่ได้รับไหว้วานมาว่าให้มอบสิ่งของชิ้นหนึ่งให้กับเซียนวิญญาณน้ำแข็ง หรือไม่ก็มอบให้กับชนรุ่นหลังที่มีเลือดสายตรงกับนาง ในเมื่อยามนี้ตระกูลสวี่ของพวกเจ้าเป็นตระกูลที่มีเลือดใกล้ชิดกับเซียนวิญญาณแข็งที่สุด สิ่งนี้ก็ต้องมอบให้กับผู้นำตระกูลสวี่ด้วยตัวเอง” หานลี่ไม่มีเจตนาจะปิดบัง พลางตอบกลับอย่างซื่อๆ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! ท่านอาวุโสบอกได้หรือไม่ว่าผู้ใดส่งมา ชนรุ่นหลังรู้จักหรือไม่” เห็นได้ชัดว่าคำตอบของหานลี่ทำให้หญิงสาวผู้นี้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก และเอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“หึๆ คนผู้นี้สหายสวี่น่าจะไม่รู้จัก! ส่วนในตระกูลสวี่มีคนรู้จักหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้” หานลี่เอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็จะพาท่านอาวุโสกลับไปที่ตระกูล ข้าเพิ่งลาดตระเวนเสร็จพอดี จึงพักผ่อนได้ครึ่งปี ตระกูลสวี่ของพวกเราอยู่ในเขตแดนเทียนหยวน อาศัยเขตอาคมส่งตัวของเมือง ก็เพียงพอให้ไปและกลับแล้ว” หญิงสาวได้ยิน ก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยอย่างตัดสินใจออกมา
“หึๆ สหายสวี่ยอมไปเป็นเพื่อนข้า ย่อมดีเข้าไปใหญ่” หานลี่ไม่ได้ประหลาดใจอันใด มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“เช่นนั้นรุ่นหลังจะกลับไปเตรียมตัวที่ถ้ำพำนัก สองวันต่อจากนี้ก็ออกเดินทางเป็นอย่างไร” เซียนสวี่กลับตรงไปตรงมามาก หลังจากยืนขึ้นจากเก้าอี้ ก็เอ่ยถามหานลี่อย่างนอบน้อม
“ผู้แซ่หานไม่มีอันใดให้เตรียม ออกเดินทางได้ตลอดเวลา ในเมื่อสหายสวี่บอกว่าสองวัน เช่นนั้นก็สองวันเถิด” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเห็นด้วย