“สมบัติ ปีนั้นก่อนที่ท่านบรรพชนจะหายสาบสูญไป ได้เอาสมบัติติดตัวทั้งหมดไปด้วย ไม่ให้เหลือไว้ให้พวกเรา ส่วนเคล็ดวิชาหรือ ตระกูลสวี่ของพวกเราเก็บรักษาเคล็ดวิชาลับสองสามชนิดที่มีอานุภาพน่าตกตะลึงของท่านบรรพชนเอาไว้ แต่เป็นเพราะเงื่อนไขในการฝึกฝนที่ยากลำบาก จึงมีแค่ไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติให้ฝึกฝน โชคดีที่ท่านปู่เหยียนคือหนึ่งในนั้น ท่านปู่รบกวนสำแดงให้ท่านอาวุโสดูหน่อยเถิด” หลังจากที่สวี่เจียวครุ่นคิดเล็กน้อย ก็หันหน้าไปเอ่ยกับชายชราที่อยู่ด้านข้าง
“ในเมื่อท่านอาวุโสอยากเห็น ชนรุ่นหลังก็จะแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว” ชายชราลังเลเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า
จากนั้นก็เห็นเขายกมือขึ้น ฝ่ามือที่ผ่ายผอมข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ และกางนิ้วทั้งห้าออกพลางพลิกฝ่ามือ
ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ลำแสงวิญญาณไหลโคจรไปมา กลายเป็นดอกบัวลำแสงสีฟ้าโปร่งแสง ดอกบัวน้ำแข็งนี้วิจิตรงดงามมาราวกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติก็ไม่ปาน
“เพลิงน้ำแข็งสวรรค์!” หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย อดที่จะเอ่ยพึมพำขึ้นมาไม่ได้
“ท่านอาวุโสตามีแววนัก เปลวเย็นเยียบนี้เป็นอิทธิฤทธิ์ที่มีชื่อเสียงของท่านบรรพชน หากฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดจะสามารถใช้น้ำแข็งผนึกอากาศเป็นพันลี้ได้ แน่นอนว่าชนรุ่นหลังยังฝึกฝนได้ไม่ถึงขั้นนั้น” ใบหน้าซูบผอมของสวี่เหยียนเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ดอกบัวน้ำแข็งสีฟ้าในมือหมุนคว้างไปมา ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นหมอกสีฟ้าม้วนวนมาอยู่ตรงหน้า
เห็นเพียงที่แห่งที่หมอกสีฟ้ากวาดผ่านไป กลางอากาศจะมีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็เริ่มบิดเบี้ยวรางเลือน
และในยามนั้นชายชราตระกูลสวี่อีกคนหนึ่งก็โยนถ้วยชาในมือขึ้นไปกลางอากาศ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศ
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
เห็นเพียงถ้วยชาใบนั้นไม่เพียงมีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นรูปปั้นแกะสลักน้ำแข็ง ยังหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
แววตาของหานลี่หดเล็กลง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มุมปากเผยความประหลาดใจเล็กๆ ออกมา
หากฝึกฝนเพลิงน้ำแข็งสวรรค์จนถึงช่วงสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ได้ กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย
ทว่าลองคิดดูให้ละเอียด นั่นก็เป็นเรื่องปกติ
ตอนนั้นเขาได้เปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์มาจากหม้อนภาสูญ ไม่ได้ฝึกฝนมาด้วยตนเอง เกิดจากการดูดซับแล้วทำการหลอมมันนั้น อานุภาพย่อมไม่อาจเพิ่มขึ้นเองได้
แต่เปลวเพลิงเย็นเยียบของสวี่เหยียนผู้นี้เป็นอิทธิฤทธิ์ที่ฝึกฝนมาอย่างหนัก ประกอบกับมีคาถาท่อนหลัง แน่นอนว่าอานุภาพจึงเพิ่มขึ้นทีละก้าวๆ
วิธีทั้งสองชนิด ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
การดูดซับเปลวเพลิงเย็นเยียบแล้วสำแดงออกมา ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนโดยเฉพาะก็สามารถได้ประโยชน์จากอิทธิฤทธิ์นี้ แต่วันข้างหน้าหากอยากเพิ่มอานุภาพของอิทธิฤทธิ์นี้ มีเพียงต้องอาศัยพลังจากสิ่งของภายนอกหรือผสมกับเปลวเพลิงเย็นเยียบชนิดอื่น
เหมือนดั่งชายชราและเซียนวิญญาณน้ำแข็งที่ฝึกฝนด้วยตนเอง แม้ว่าจะเสียเวลาค่อนข้างนาน แต่ขอแค่ร่ายคาถาตาม ก็สามารถฝึกฝนเปลวเพลิงเย็นเยียบจนถึงระดับที่ประสบความสำเร็จแล้ว
ส่วนการดูดซับเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์อย่างเขานั้นมันเป็นเรื่องของแดนมนุษย์
ยามนั้นเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ที่เซียนวิญญาณน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ มากสุดก็แค่อิทธิฤทธิ์ระดับเทพแปลง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเทียบกับชายชราที่อยู่ในระดับหลอมสุญตายามนี้ได้
หลังจากที่ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็เข้าใจความลึกลับในนั้น ความประหลาดใจหายวับไปในพริบตา
ทว่าดอกสีฟ้าตรงหน้าของชายาชราก็ปรากฏตัวอยู่แค่ไม่กี่อึดใจก็แตกสลายไปราวกับกระจก
ถ้วยชาที่แต่เดิมชะงักค้างอยู่กลางอากาศ พลันร่อนลงมาบนพื้นทันที
ชายชราที่มีนามว่าสวี่หั่วอีกคนหนึ่งกลับเตรียมการเอาไว้นานแล้ว มือหนึ่งพลันกวักเรียกถ้วยชาถูกน้ำแข็งสีฟ้าห่อหุ้มเอาไว้แล้วดูดเข้ามาอยู่ในมือ
ในเวลาเดียวกันนั้นในมือของเขาพลันเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นน้ำแข็งสีฟ้าชั้นหนึ่งก็ละลายหายวับไป
ถ้วยชาปรากฏออกมาอีกครั้ง
“ท่านอาวุโสคิดว่าอย่างไรขอรับ อิทธิฤทธิ์ของท่านปู่เหยียนพิสูจน์ความสัมพันธ์สายตรงของตระกูลสวี่ของพวกเราได้หรือไม่” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยถามหานลี่ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ไม่ผิดแน่ และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์นี้ของสหายสวี่เหยียนก็ฝึกฝนจนชำนาญขนาดสามารถควบคุมพลังเย็นเยียบไม่ให้แผ่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียวได้ ช่างหายากเสียจริง” หานลี่ฉีกยิ้มและพยักหน้าเบาๆ
“เช่นนั้นความหมายของท่านอาวุโสคือ…” สวี่เจียวมีชีวิตชีวาขึ้น
“หึๆ สหายวางใจเถิด ในเมื่อตระกูลสวี่เป็นทายาทสายตรงของสหายวิญญาณน้ำแข็ง ข้าน้อยย่อมต้องมอบของให้อยู่แล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านข้าง
หมอกสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ของสองสิ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ
คัมภีร์สีฟ้าอ่อนม้วนหนึ่ง และกล่องหยกสีขาวบริสุทธิ์กล่องหนึ่ง
ทั้งสองชิ้นล้วนถูกยันต์วิเศษสีทองเปล่งแสงเรืองรองผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา จนเพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่าหานลี่ไม่มีทางเปิดดูของสองสิ่งนี้ก่อนแน่
บุรุษสวมชุดสีขาวกวาดสายตาไป สีหน้าเคร่งขรึม แต่ทันใดนั้นก็หยิบทั้งสองสิ่งออกมา กลับถอนหายใจแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“ท่านอาวุโสบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่าผู้ใดไหว้วานให้ท่านอาวุโสเอาสิ่งนี้มาให้?”
“ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ยอมพูด แต่หากพูดออกไปแล้วสหายทุกท่านก็คงไม่รู้จัก ข้าบอกได้แค่ว่าท่านอาวุโสผู้นี้ไม่ใช่คนในเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเรา พลังยุทธ์เองแม้แต่ข้าก็ไม่อาจหักหลังได้” หานลี่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยเสียงแช่มช้า
“อันใดนะ ชนนอกเผ่า”
“แม้แต่ท่านอาวุโสก็ยอมรับว่าสู้มิได้ หรือว่าจะเป็น…”
ตระกูลสวี่และพวกสองสามคนร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้เหนือกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
สวี่เชียนอวี่และชายชราเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
กลับเป็นหานลี่ที่ไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของพวกเขาเลยสักนิด เผยความเยือกเย็นเป็นอย่างมากออกมา
สวี่เจียวแววตาเปล่งประกาย เอ่ยอย่างมีแผนการอันใดอยู่
“ตอนนั้นยามที่ท่านบรรพชนจากไป ก็เพิ่งจะทะลวงระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน อาจจะเข้าไปในแดนรกร้าง เพื่อหาประสบการณ์ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงล่ะก็ การจะรู้จักอาวุโสชนต่างเผ่าสองคนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติ หรือว่านี่คือเบาะแสการหายตัวไปของท่านบรรพชน”
“นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” สวี่เหยียนและพวกมองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าดีอกดีใจฉายแวบผ่าน ดูเหมือนว่าจะเอ่ยเห็นด้วยออกมาด้วยเสียงแตกต่างกัน
สวี่เชียนอวี่และชายร่างใหญ่มองสบตากันแวบหนึ่ง และอดที่จะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจไม่ได้
“นี่เป็นแค่การคาดเดา จะใช่หรือไม่ก็พูดยาก และขอให้ท่านอาวุโสโปรดรอสักประเดี๋ยว ชนรุ่นหลังจะรีบไปรีบกลับ ท่านปู่เหยียน เจ้ากับอวี่เอ๋อร์อยู่กับท่านอาวุโสเถิด” บุรุษสวมชุดสีขาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากดูดทั้งสองสิ่งเข้ามาอยู่ในมืออย่างไม่ลังเลอีก ก็เอ่ยกับหานลี่อย่างรู้สึกเสียใจ
“สหายสวี่เชิญตามสะดวก” หานลี่กลับไม่ใส่ใจ
ดังนั้นสวี่เจียวจึงหอบทั้งสองสิ่งแล้วยืนขึ้น ไปหาชายชราอีกคนหนึ่งและชายร่างใหญ่ขอตัวลาไปก่อน
ชั่วพริบตาในห้องโถงก็เหลือแค่หานลี่ สวี่เชียนอวี่ และสวี่เหยียนเพียงสามคน
“ท่านอาวุโสหาน ข้าน้อยเคยเอ่ยกับอวี่เอ๋อร์ในอดีต ตอนนั้นในเมืองเทวะสวรรค์ นางได้รับคำชี้แนะจากท่านอาวุโสมากมาย มิเช่นนั้นคงไม่อาจทะลวงจุดคอขวดระดับเทพแปลงได้รวดเร็วเช่นนี้ ข้าที่เป็นท่านปู่ของอวี่เอ๋อร์ขอขอบคุณแทนท่านอาวุโสด้วย” ชายชราพูดคุยกับหานลี่สองสามประโยค ก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ไม่มีอันใด นี่เพราะสหายสวี่เชียนอวี่มีคุณสมบัติเหนือชั้น ตอนนั้นข้าแค่ดูแลนิดหน่อยเท่านั้น” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ทว่าพูดถึงเรื่องนี้ ฟังจากคำพูดของอวี่เอ๋อร์ ท่านอาวุโสดูเหมือนจะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับท่านบรรพชน ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่?” สวี่เหยียนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กๆ
“แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบท่านอาวุโสเซียนวิญญาณน้ำแข็ง แต่ก็มีที่มาเดียวกันจริงๆ มิเช่นนั้นท่านอาวุโสผู้นั้นคงไม่ไหว้วานข้ามา หากสหายสงสัยล่ะก็ ดูสิ่งนี้ก็เข้าใจแล้ว” หานลี่มองชายชราแวบหนึ่ง หลังจากมุมปากกระตุก ก็ชูนิ้วหนึ่งขึ้น
จากนั้นได้ยินเพียงเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีฟ้าดวงหนึ่งระเบิดออกมาจากปลายนิ้ว หมุนเคว้งไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้า
“เปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์!” ชายชราร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง จ้องเขม็งไปยังเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“หรือว่าท่านอาวุโสก็คือ…” สวี่เชียนอวี่ที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้ก็เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง
“ไม่ใช่อย่างที่พวกเจ้าคิด ข้าแค่ได้รับเปลวเพลิงเย็นเยียบที่ท่านบรรพชนของเจ้าทิ้งไว้ในแดนล่างมาเท่านั้น” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” สวี่เหยียนเข้าใจในทันที แต่แววตายังคงฉงน แต่กลับไม่รู้ว่าจะซักถามต่ออย่างไร
ถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ไหนเลยที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาคนหนึ่งอย่างเขาจะซักถามได้ง่ายๆ
แทบจะในเวลาเดียวกันในห้องลับที่ถูกคุ้มกันด้วยเขตอาคมแน่นหนาด้านหลังวิหาร ผู้นำตระกูลสวี่ ชายร่างใหญ่ และชายชราอีกคนหนึ่งกลับกำลังพิจารณาของทั้งสองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหินในห้องลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ยันต์นี้ร้ายกาจมาก จากพลังยุทธ์ของเจ้าและข้า คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจใช้ลมปราณฝืนฉีกได้ ดูแล้วคงเป็นดังที่ท่านอาวุโสหานกล่าว ของเหล่านี้เป็นของที่ระดับมหายานของชนต่างเผ่ามอบให้ท่านบรรพชน” ชายชรานามว่าสวี่หั่วดูเหมือนจะลองดึงยันต์ออกแล้ว พลางเอ่ยพร้อมกับมองสองสิ่งนี้ด้วยความจนปัญญา
“หากเป็นระดับมหายานจริงๆ ยันต์สองแผ่นนี้ลึกลับได้ขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากอาศัยพลังของสมบัติฝืนฉีกยันต์สองแผ่นนี้ออก เกรงว่าของด้านในคงเสียหาย จะต้องมีวิธีการอื่นถึงจะถูก” สวี่เจียวลูบใต้คางโล่งๆ ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอันใดสักอย่าง
“หากท่านอาวุโสมีทาง ก็ลองดูเถิด หากไม่เป็นผล ต้องคิดหาวิธีอื่น” สวี่หั่วเผยท่าทีร้อนใจออกมา พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านอาพูดถูก เช่นนั้นหลานจะขอทดสอบดูหน่อย” สวี่เจียวเงียบไปชั่วครู่ ถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จากนั้นก็เห็นเขายกแขนขึ้น แล้วอ้าปากออก พ่นลำแสงสีขาวออกมา
เห็นเพียงลำแสงสีขาวล้อมรอบข้อมือของเขาอย่างรวดเร็ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกสวี่เจียวดูดกลับเข้าไปในปากทันที
แต่ครู่ต่อมาข้อมือก็มีสีแดงปรากฏขึ้น โลหิตบริสุทธิ์หยดลงมา ไปโดนยันต์ที่ปิดผนึกคัมภีร์ม้วนนั้นเข้าพอดี
ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ โลหิตบริสุทธิ์เหล่านั้นจมหายไปอย่างง่ายดาย
ยันต์ที่แต่เดิมนิ่งสนิทพลันเปล่งแสงสีทองออกมาในพริบตา หลังจากสู้รบกันแล้วก็มีอักขระสีทองขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น
แต่พอเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป อักขระสีทองเหล่านั้นทยอยกันสลายหายไป ในเวลาเดียวกันไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงบนยันต์ก็หม่นแสงลง ลำแสงวิญญาณทั้งหมดสลายหายไป
สวี่เจียวเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นพลันดีอกดีใจ รู้ว่าตนเองเดาถูกกว่าครึ่ง มีเพียงโลหิตบริสุทธิ์ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากเซียนวิญญาณน้ำแข็ง ถึงจะฉีกยันต์แผ่นนี้ออกได้อย่างปลอดภัย
หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็อ้าปากออกเป่าคัมภีร์เบาๆ
ยันต์สีทองสั่นเทา แล้วร่อนลงมาจากคัมภีร์อย่างเงียบเชียบ