หลังจากที่ในใจมีคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้แล้ว หานลี่ก็มองไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบอีกครั้ง
มองไปอีกชั่วครู่ สุดท้ายระลอกคลื่นที่อยู่ไกลออกไปก็สลายหายไป เขาออกจากหน้าต่างด้วยท่าทางมีแผนการ กลับมานั่งบนฟูกอีกครั้ง และหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ
วันเวลาต่อจากนั้นนอกจากสวี่เชียนอวี่ที่เข้ามาทักทายแล้ว คนอื่นๆ ของตระกูลสวี่ก็ไม่ได้มารบกวนการเรียนรู้ของเขา
ทว่าจากสีหน้ากังวลใจที่แฝงอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ การเคลื่อนไหวของตระกูลสวี่ในคืนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก
หลังจากวันนั้นในทุกๆ คืน ปรากฏการณ์และระลอกคลื่นเช่นเดียวกันก็ระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่านไปสองสามคืนติดกัน เซียนสวี่เชียนอวี่ผู้นั้นมาทักทายแล้ว ก็ดูเหมือนอยากจะพูดอันใดกับหานลี่ แต่พอคำพูดอยู่ที่ริมฝีปาก ก็ลังเลแล้วกลืนลงไป
หานลี่มองเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ในใจพลันขบคิดเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับดูปกติมาก
ทว่าเมื่อถึงเช้าตรู่วันที่ห้า ยามที่หานลี่กำลังเรียนรู้ยันต์วิเศษอย่างต่อเนื่องบนชั้นบนสุดของหอคอย ก็หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันพลิกฝ่ามือ ยันต์วิเศษเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าด้านนอกหอคอยนอกจากสวี่เชียนอวี่ที่มาทักทายตนเองแล้ว ยังมีกลิ่นอายของสวี่เจียวและคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง
กลิ่นอายนี้แข็งแกร่งมาก คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย
นี่จึงทำให้เขามีสีหน้าประหลาดใจ
คาดไม่ถึงว่าตระกูลสวี่จะซ่อนผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์ระดับนี้เอาไว้ ดูแล้วปกติคงปกปิดเอาไว้อย่างแนบเนียน คงเข้าใจหลักการการแกล้งโง่และไม่กล้าแสดงฝีมือออกมาเพราะกลัวปล่อยไก่เป็นแน่
ในยามที่หานลี่กำลังขบคิดอยู่นั้น ด้านล่างก็มีเสียงพูดอันเคร่งเครียดของผู้นำตระกูลสวี่ดังขึ้น
“ชนรุ่นหลังสวี่เจียว คารวะท่านอาวุโสหาน ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมีเวลาให้ชนรุ่นหลังได้พบปะหรือไม่ขอรับ”
“ที่แท้ก็ผู้นำตระกูลสวี่นี่เอง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนั้น เชิญมารอที่ห้องโถงเถิด ผู้แซ่หานจะลงไป” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ จากนั้นพลันเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกัน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เงาร่างของหานลี่ก็มาปรากฏตัวที่บันไดของห้องโถงชั้นหนึ่ง สายตากวาดไปที่คนแปลกหน้าซึ่งมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาผู้นั้น
ผู้ที่ยืนเคียงไหล่อยู่กับสวี่เจียวเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทากลางเก่ากลางใหม่ชุดหนึ่ง อายุไม่ถึงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี กำลังมองมาทางหานลี่พร้อมกับอมยิ้ม
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าของชายหนุ่มดูละม้ายคล้ายคลึงกับสวี่เจียว เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน กลับดูเหมือนเป็นหลานชนรุ่นหลังของสวี่เจียวอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอาวุโส นี่คือท่านอาวุโสใหญ่สวี่หยวนแห่งตระกูลสวี่ของพวกเรา สองสามวันก่อนยังฝึกฝนอยู่ในช่วงสำคัญ ดังนั้นจึงไม่อาจออกมาต้อนรับท่านอาวุโสได้” สวี่เจียวเห็นหานลี่ก็คารวะทันที ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยแนะนำผู้ที่อยู่ด้านข้าง
“ท่านอาวุโสใหญ่? สหายสวี่หยวนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบแล้ว เกรงว่าคงสามารถทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ได้ตลอดเวลา หากผ่านล่ะก็ ก็จะกลายเป็นชนชั้นเดียวกันกับข้า” หานลี่พิจารณาชายหนุ่มสองสามแวบ แล้วฉีกยิ้มออกมา
“ท่านอาวุโสดวงตามีแววยิ่ง ชนรุ่นหลังเริ่มเตรียมการทะลวงจุดคอขวดแล้ว ทว่าอัตราการผ่านนั้นช่างรางเลือนนัก” ชายหนุ่มคารวะหานลี่เช่นกัน จากนั้นก็ถอนหายใจขณะเอ่ย
หานลี่ได้ฟังพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยอันใด หลังจากนั่งลงตรงตำแหน่งหลัก ก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงพูดคุย
สวี่เจียวและพวกเอ่ยขอบคุณ แล้วนั่งลงทั้งสองฝั่งของหานลี่
“ท่านผู้นำตระกูลสวี่มาในครั้งนี้ หรือว่าจะมีข่าวคราวของท่านบรรพชนของท่าน” หานลี่ไม่อ้อมค้อม เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาทันที
แต่เขาเอ่ยตรงๆ เช่นนี้ กลับทำให้สวี่เจียวตกตะลึง จากนั้นมุมปากพลันกระตุก แล้วฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมา
“หากท่านอาวุโสถามเมื่อวาน เกรงว่าชนรุ่นหลังคงไม่อาจบอกข่าวที่แม่นยำให้ได้ แต่ที่ชนรุ่นหลังมาในครั้งนี้ กลับเป็นเพราะอยากจะมาขอร้องท่านอาวุโส”
“ขอร้องข้า?” หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจเล็กๆ
“ไม่ปิดบังท่านอาวุโส ของที่ท่านอาวุโสเอามามอบให้ในครั้งนี้ มีวิธีหาร่องรอยของท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งจริงๆ แต่อาศัยแค่พลังของตระกูลสวี่ของพวกเรามันไม่พอ เกรงว่าต้องอาศัยท่านอาวุโสสักหน่อย” สวี่เจียวเอ่ยออกไปตรงๆ เสียเลย
“ศิษย์หลานมิได้โป้ปด เพราะเรื่องนี้ตระกูลสวี่ของพวกเราได้ลองให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามคนทดสอบแล้ว แต่ก็ยังมีพลังไม่พอ มีเพียงต้องขอร้องท่านอาวุโสแล้ว” สวี่หยวนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ! สหายทั้งสองอธิบายที่มาที่ไปให้ละเอียดได้หรือไม่” หานลี่แววตาเปล่งประกาย กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
จากพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ ย่อมไม่มีทางตกลงอันใดง่ายๆ
“แน่นอน ถึงท่านอาวุโสไม่ถาม ชนรุ่นหลังก็จะรายงานอยู่แล้วขอรับ” สวี่เจียวรับปากเต็มคำ ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ
“ความจริงแล้วก็ไม่ได้ซับซ้อนอันใด ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสเคยได้ยิน ‘เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต’ หรือไม่?”
“เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต! ฟังดูคุ้นหู เอ๋ คงไม่ใช่ ‘อาคมวิญญาณโลหิต’ ที่ใต้เท้าผลึกโลหิตฝึกฝนเมื่อสองสามหมื่นปีก่อนกระมัง” หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ พลางเอ่ยด้วยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ท่านอาวุโสเคยได้ยินเคล็ดวิชาลับนี้ดังคาด ใต้เท้าผลึกโลหิตนับว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปีของเผ่ามนุษย์ ไม่เพียงจะสร้างเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตขึ้นมา ยังเคยใช้เคล็ดวิชานี้สังหารชนต่างเผ่าที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ ไม่ปิดบังท่านอาวุโสแม้ว่าใต้เท้าผลึกโลหิตจะเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้ว แต่จีวรและบาตรของเขากลับถูกเซียนวิญญาณน้ำแข็งพบเข้าโดยบังเอิญ แม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะคล้ายคลึงกับทางสายมาร บรรพชนไม่อาจแก้ไขให้ฝึกฝนได้ แต่ก็ยังคงเลือกเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิตสองสามชนิดมาฝึกฝน และหลอมสมบัติช่วยชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมันขึ้นมาสองสามชิ้น ของที่ท่านอาวุโสนำมามอบในครั้งนี้เป็น ‘ขวดโลหิตวิญญาณ’ ที่ท่านบรรพชนเคยบวงสรวงเอาไว้ ด้านในมีโลหิตวิญญาณบรรจุอยู่ ขอแค่ปลุกวิญญาณโลหิตให้ตื่น ก็จะรู้เบาะแสของท่านบรรพชนแล้ว” สวี่เจียวเอ่ยไปพลาง สังเกตสีหน้าของหานลี่ไปพลาง
แต่นอกจากฟังเรื่องขวดโลหิตวิญญาณแล้ว แววตาของหานลี่ก็เปล่งประกายอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วก็มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ อีก
“ปรากฏการณ์ที่ปรากฏขึ้นสองสามคืนที่ผ่านมา ก็เพราะพวกเจ้าพยายามปลุกวิญญาณโลหิต” หานลี่เงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถามขึ้น
“ท่านอาวุโสพูดไม่ผิด ชนรุ่นหลังไม่กล้าล่าช้าอันใด จึงเรียกรวมพลในคืนนั้น แล้วจัดพิธีปลุก แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ…” สวี่เจียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา
“น่าเสียดายไม่รู้ว่าวิญญาณโลหิตถูกผลึกไว้นานเกินไป หรือว่าชีพจรโลหิตของพวกเราไม่ค่อยบริสุทธิ์ เรียกไปสองสามครั้งล้วนล้มเหลว และเป็นเพราะยันต์ที่ผนึกวิญญาณโลหิตเอาไว้ถูกฉีกออกแล้ว หากไม่เรียกวิญญาณโลหิตภายในสองวัน วิญญาณโลหิตของท่านบรรพชนก็จะสลายหายไป” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยแทรกขึ้น
“ตระกูลสวี่ของพวกเจ้าอยากให้ผู้แซ่หานเข้าร่วมพิธีปลุกงั้นหรือ?” หานลี่เอ่ยถามอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ท่านอาวุโสวินิจฉัยได้เฉียบแหลมนัก สองสามวันก่อนพวกเราลองทดสอบทุกวิธีแล้วล้วนไม่มีผล และมีเพียงต้องขอร้องท่านอาวุโสแล้ว” สวี่เจียวหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้งแล้วคารวะหานลี่ พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ
“หากพลังปราณไม่พอ ผู้แซ่หานออกแรงหน่อยก็ไม่เป็นอันใด แต่หากวิญญาณโลหิตหรือพิธีเรียกมีปัญหา ข้าน้อยก็จนปัญญา” หานลี่ลูบใต้คาง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากเป็นปัญหานั้นจริง พวกเราก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามประสงค์ของสวรรค์แล้ว” สวี่เจียวได้ยิน ชั่วขณะนั้นพลันพยักหน้าอย่างยินดี
สวี่หยวนและสวี่เชียนอวี่เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา
“เรื่องมันรอช้าไม่ได้ ผู้แซ่หานจะไปดูวิญญาณโลหิตของสหายวิญญาณน้ำแข็ง และเตรียมพิธีปลุกกับพวกเจ้า” หานลี่ทั้งตอบรับ และมีท่าทางเฉียบขาดในทันที พลางออกคำสั่งและหยัดกายลุกขึ้น
“ขอรับ แม้ว่าพิธีนี้จะทำได้แค่ยามกลางคืน แต่ท่านอาวุโสไปดูก่อนก็ได้ขอรับ!” สวี่เจียวแค่ครุ่นคิดเล็กน้อย พอรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใด ก็ตกปากรับคำทันที
หากหาเซียนวิญญาณน้ำแข็งบรรพชนของตระกูลสวี่ของพวกเขากลับมาได้จริงๆ ก็จะทำให้ตระกูลสวี่กลายเป็นหนึ่งในตระกูลขนาดใหญ่ของเผ่ามนุษย์
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าสวี่เจียวหรือสวี่หยวนล้วนออกแรงปลุกวิญญาณโลหิตของเซียนวิญญาณน้ำแข็งอย่างสุดความสามารถ
หานลี่ตามทั้งสามคนออกไปจากหอคอย จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งไปยังยอดเขาที่มีระลอกคลื่นพุ่งออกมาในคืนนั้น
ระยะทางสั้นๆ แค่นี้ แน่นอนว่าย่อมมาถึงในพริบตา
เห็นเพียงรอบๆ ยอดเขาที่เดิมดูธรรมดาๆ ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยลำแสงวิญญาณจากเขตอาคมหลากสีสัน และระหว่างลำแสงวิญญาณก็มีผู้คุ้มกันสวมชุดเกราะสีเขียวปรากฏขึ้นรางๆ
หานลี่กวาดจิตสัมผัสออกไป ก็พบได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์ของผู้คุ้มกันเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับก่อกำเนิด มีประมาณร้อยกว่าคน
กำลังคนแค่นี้บางทีอาจจะไม่มีค่าอันใดในสายตาของขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างเมืองเทวะสวรรค์ แต่สำหรับตระกูลใดตระกูลหนึ่งแล้ว กลับเพียงพอให้ตกตะลึง
และยิ่งไปกว่านั้นผู้คุ้มกันเหล่านี้ ล้วนซ่อนตัวอยู่ในเขตอาคม ไม่มีผู้ใดส่งเสียงหรือพูดคุย ท่าทางได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี สำหรับตระกูลหนึ่งแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง
ดูเหมือนจะพบความผิดปกติของหานลี่ สวี่เจียวที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยอธิบาย
“ทำให้ท่านอาวุโสเห็นเรื่องขบขันแล้ว นี่คือผู้คุ้มกันลับของตระกูลสวี่ของพวกเรา เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมของตระกูลสวี่ แม้ว่าหากต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงลำพังจะไม่เพียงพอให้เอ่ยถึง แต่หากให้สามสี่คนร่วมมือกัน ก็เพียงพอที่จะสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงได้”
“อ๋อ เช่นนี้คนเหล่านี้ก็มีเคล็ดวิชาลับในการร่วมมือประสานกัน” หานลี่เอ่ยอย่างดูเหมือนจะสนใจเล็กๆ
“หึๆ เป็นเช่นนั้นจริงๆ พิธีเรียกนี้ห้ามถูกผู้ใดรบกวน เพื่อความระมัดระวังถึงได้ให้ผู้คุ้มกันลับทั้งหมดมาอยู่ที่นี่” สวี่เจียวอธิบายอีกครั้ง
ครั้งนี้หานลี่พลันพยักหน้า แล้วไม่เอ่ยอันใดอีก
สวี่เจียวใช้อาวุธในมือ เปิดเขตอาคมออก พวกเขาร่อนลงตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนอารามตรงสันเขา
และประตูของอารามก็มีแผ่นป้ายแขวนอยู่ด้านบน ใช้ตัวอักษรฝุ่นสีเงินเขียนตัวอักษรโบราณเอาไว้ว่า ‘สวี่’
รอบๆ ประตูมีผู้คุ้มกันลับอยู่เจ็ดแปดคน กำลังคุ้มกันอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
สิ่งที่น่าแปลกก็คือประตูใหญ่ปิดสนิท กลับมีแค่ประตูข้างที่พอจะให้คนคนหนึ่งผ่านเข้าไปที่เปิดอ้าอยู่
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา ที่นี่คือศาลบรรพชนของตระกูลสวี่ของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงทำได้เพียงต้องผ่านประตูเล็กเข้าไปในวิหารลับใต้ดิน” สวี่หยวนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร นั่นเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” หานลี่โบกมือ ท่าทางไม่ใส่ใจ
เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยเช่นนี้ สวี่หยวนและสวี่เจียวก็ลอบพ่นลมหายใจออกมา
หากอีกฝ่ายไม่พอใจเพราะเหตุนี้ สำหรับพวกเขาแล้วย่อมเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้นกลุ่มคนจึงผ่านประตูเล็กด้านข้างเข้าไปในศาลบรรพชนของตระกูลสวี่