ผ่านทางเดินยาว หลังจากอ้อมเป็นครึ่งวงกลมแล้ว หานลี่และพวกก็เข้าไปในตำหนักหลังโดยมิได้ผ่านตำหนักหลักของศาลบรรพชน
ในห้องลับที่ซ่อนอยู่ตรงใจกลางตำหนัก มีบันไดหินสีขาวที่ทอดตัวลึกลงไปยังใต้ดินอยู่บันไดหนึ่ง
ตรงหัวบันไดมีผู้คุ้มกันลับอีกสองสามคนคอยรักษาการณ์อยู่
สวี่เจียวโบกมือ ผู้คุ้มกันลับสองสามคนนั้นจึงค้อมตัวแล้วถอยออกไปทั้งสองฝั่งทันที
กลุ่มคนเข้าไปในบันไดที่ค่อนข้างมืดสลัว
ทางเดินนี้มืดสลัวเล็กน้อย และมีไอเย็นพัดขึ้นมาจากด้านล่างเป็นระลอกๆ ทุกระยะจะมีศิลาลำแสงจันทราขนาดเท่ากำปั้นฝังอยู่ทั้งสองฝั่ง
ทำให้ทางเดินบัดเดี๋ยวสว่างไสวบัดเดี๋ยวมืดสลัว จนเป็นเงาทับซ้อนกันราวกับดินแดนแห่งภูตผีก็ไม่ปาน
โชคดีที่บันไดหินไม่ยาวนัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนก็เดินออกมา ห้องโถงใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตก็ปรากฏขึ้น
หานลี่กวาดตามองรอบๆ เล็กน้อย แล้วหรี่ตาทั้งสองข้างลง
ทั้งห้องโถงล้วนสร้างขึ้นจากศิลาหยกสีดำ ขนาดประมาณสามถึงสี่ร้อยจั้ง กำแพงรอบด้านและเพดานสลักอักขระยันต์สีขาวดูลึกลับซับซ้อนเอาไว้
อักขระยันต์เหล่านี้เปล่งแสงสีขาวเรืองๆ ทำให้ทั้งห้องโถงดูเหมือนอยู่ในยามกลางวันก็ไม่ปาน
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องโถง กลับเป็นแท่นสูงรูปร่างคล้ายๆ บ่อน้ำที่วิจิตรงดงามแห่งหนึ่ง
แท่นสูงมีรูปทรงหกเหลี่ยม ถูกเขตอาคมขนาดยักษ์ล้อมเอาไว้
และตรงใจกลางของแท่นสูง ในบ่อน้ำทรงกลมเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงสด แต่กลับไม่มีกลิ่นคาวของโลหิตเลยสักนิด กลับมีกลิ่นหอมโชยออกมาจากบ่อเป็นระยะๆ
ด้านในเขตอาคมยักษ์มีผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่สิบกว่าคนนั่งสมาธิล้อมแท่นสูงเอาไว้อยู่
ในนั้นมีทั้งสวี่เหยียน สวี่หั่วที่หานลี่เคยพบมาแล้วอยู่ด้วย
“คารวะท่านอาวุโสหาน ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ออกแรงช่วยเหลือตระกูลสวี่” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาของตระกูลสวี่ทั้งสองคนเห็นหานลี่มาปรากฏตัวในห้องโถงโดยมีสวี่หยวนและสวี่เจียวมาด้วย ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของหานลี่ ทันใดนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นด้วยความยินดี แล้วเข้ามาคารวะหานลี่ทันที
“อย่าเพิ่งขอบคุณอันใดเลย จะช่วยได้หรือไม่ ก็ยังพูดยาก” หานลี่สั่นศีรษะขณะเอ่ย
สวี่เจียวผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด กลับกวักมือไปยังจุดที่ไกลออกไป ให้ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่คนอื่นๆ เข้ามาพบหานลี่พร้อมกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นมีทั้งบุรุษและสตรี ทั้งอายุไม่ถึงสามสิบสี่สิบปี และมีชายชราที่หนวดเคราขาวโพลน
แต่ทุกคนล้วนมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นแกนหลักที่แท้จริงของตระกูลสวี่
และผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็ใช้สายตาเคารพนับถือลอบมองหานลี่มาตั้งนานแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้ว่านี่คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตั้งแต่แรก ยามนี้เมื่อได้ยินท่านผู้นำตระกูลออกคำสั่ง ชั่วขณะนั้นทุกคนก็หยัดกายลุกขึ้น คารวะหานลี่เป็นเสียงเดียวกัน
หานลี่โบกมือ แล้วเดินไปดูบ่อโลหิต ใบหน้าเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา
“นี่คือสิ่งที่สร้างขึ้นตามเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต ของเหลวในบ่อนอกจากจะเป็นโลหิตบริสุทธิ์ของตระกูลสวี่ของพวกเราแล้ว ยังมีสมุนไพรที่หายาอีกมากมายผสมอยู่ข้างใน ไม่เพียงจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการปลุกวิญญาณโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถอาศัยกลิ่นอายโลหิตในบ่อ ยืดระยะเวลาการแหลกสลายของวิญญาณโลหิตได้อีกด้วย” สวี่หยวนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าสิ่งสำคัญในพิธีปลุก ก็คือสิ่งที่อยู่ใต้ของเหลวนี้สินะ ไม่มีสิ่งนี้ต่อให้ของเหลวในบ่อมากขนาดไหน เขตอาคมด้านล่างลึกซึ้งแค่ไหน ก็ไม่อาจสำแดงเคล็ดวิชาลับวิญญาณโลหิตได้!” รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก ดูออกเสียแล้ว ด้านล่างของเหลวคือ ‘โลงผลึกโลหิต’ ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลสวี่ของพวกเรา ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่อาจหลอมร่างโลหิตที่วิญญาณโลหิตต้องการสิ่งสู่ได้” สวี่หยวนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็อธิบายตามปกติ
“โลงผลึกโลหิต! หึๆ ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าพิธีปลุกคืออันใด” หานลี่กวาดมองเขตอาคมยักษ์ด้านล่างสองสามรอบ ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดขึ้นมาได้ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ฉีกยิ้มออกมา
“ท่านอาวุโสพูดจริงหรือขอรับ” สวี่หั่วและสวี่เหยียนที่อยู่ด้านข้างพลันตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของหานลี่นัก
พิธีปลุกนี้แค่การเตรียมตัวตระกูลสวี่ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดของเผ่า และต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งวัน ถึงกว่าจะวางได้อย่างเหมาะสม
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง แต่แค่มองคร่าวๆ ก็เข้าใจความลึกลับในนั้น พวกเขาย่อมไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
สวี่หยวนและสวี่เจียวได้ยินคำนี้ต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“สหายทุกท่านไม่ต้องแปลกใจ แค่พิธีของพวกเจ้าคล้ายกับเคล็ดวิชาของชนนอกเผ่าที่ผู้แซ่หานเคยพบอยู่เล็กน้อย ยังมีจุดที่แตกต่างกันอีกมาก” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานลี่หายไปขณะเอ่ย
ในหัวของเขากลับมีภาพตำราเคล็ดวิชาชนนอกเผ่าที่เคยอ่านยามที่อยู่ในเมฆาสวรรค์ปรากฏขึ้น
แม้ว่าชนนอกเผ่านี้จะมีชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่เคล็ดวิชาที่บันทึกเอาไว้กลับสามารถแยกจิตวิญญาณออกเป็นหลายส่วน ขอแค่เศษเสี้ยวหนึ่งในนั้นเข้าไปในกายเนื้อที่เตรียมเอาไว้ได้ ก็สามารถสร้างร่างเลียนแบบตนขึ้นมาได้แล้ว
เพราะเคล็ดวิชานี้ดูพิเศษมาก ประกอบกับคาถาในการฝึกฝนคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาเผ่ามนุษย์
หานลี่จึงได้คัดลอกเอาไว้ม้วนหนึ่งราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า
แต่ต่อมาถึงได้พบว่าจุดสำคัญของเคล็ดวิชานี้ คาดไม่ถึงว่าจะต้องมีพรสวรรค์ลับของชนนอกเผ่า มิเช่นนั้นหลังจากฝึกฝนแล้ว จะทำให้เกิดการแว้งกัดขึ้น
เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกไปอย่างเสียดาย
แน่นอนว่าเดิมชนนอกเผ่าก็ไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์ รายละเอียดของเคล็ดวิชาลับทั้งสองชนิดจึงแตกต่างกัน แต่ในเรื่องแยกจิตวิญญาณรวมทั้งนำมาสิงกายเนื้อกายใหม่ ก็ถือเป็นกระจกเงาสะท้อนของกันและกันแล้ว
หานลี่ที่เดิมมีความมั่นใจแค่สามสี่ส่วน พอนึกว่าหากตนเองศึกษาทั้งสองอย่างละเอียดไปพร้อมกันแล้ว ก็มั่นใจได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หานลี่ย่อมไม่ได้พูดออกไป
เขาแค่เดินวนรอบบ่อโลหิตและเขตอาคมอย่างช้าๆ สายตาไม่ละไปจากเขตอาคมแลละบ่อโลหิตที่อยู่ตรงใจกลางท่ามกลางสายตาที่หลากหลายของผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้น
“เอาล่ะ ถึงยามนั้นข้าจะลงมือยามที่มือโอกาส พวกเจ้าทำตามวิธีเดิมเถิด เตรียมเริ่มพิธีได้”
หลังจากเดินวนรอบสองสามรอบ หานลี่ก็เอ่ยอย่างแผ่วเบาแล้วบิดกายไปมา คาดไม่ถึงว่าจะเดินมาอยู่ที่มุมของห้องโถง แล้วนั่งสมาธิลงหลับตาทั้งสองข้าง
สวี่เจียวได้ฟังพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เห็นหานลี่ยังคงอยู่ในสมาธิไม่ขยับเขยื้อนอยู่ที่เดิม ในที่สุดก็ทนไม่ไหว มุมปากกระตุกคิดจะเอ่ยอันใดขึ้นมา
แต่ในยามนั้นข้างหูของเขาพลันมีเสียงถ่ายทอดเสียงของสวี่หยวนดังขึ้น
แม้ว่าจะเป็นการพูดคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ก็ทำให้ผู้นำตระกูลสวี่ใจหายวาบ ลังเลเล็กน้อยแล้วล้มเลิกความคิดที่จะเอ่ยปากไป
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ก็เข้าไปในเขตอาคมเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่คนอื่นๆ นั่งสมาธิอยู่รอบๆ แท่นสูง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป อากาศในเทือกเขาบนพื้นดินเริ่มค่อยๆ มืดครึ้มขึ้น
และเมื่อยามพลบค่ำมาถึง ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ทั้งหมดที่แต่เดิมนั่งสมาธิอยู่ก็ค่อยๆ เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมองแท่นสูงกลางเขตอาคมอย่างทนไม่ไหว สีหน้าแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สวี่หยวนและสวี่เจียวก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน พลางจ้องเขม็งมองไป
หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เพดานของห้องโถงยักษ์ก็มีลำแสงสว่างวาบ อักขระยันต์สีขาวเริ่มไหลโคจรไปมาบนที่สูง คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะก่อตัวเป็นเขตอาคมเรียบง่ายขนาดเล็กน้อย
จากนั้นเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้น!
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน บ่อโลหิตที่แต่เดิมนิ่งสนิท ก็เดือดปุดๆ ขึ้นมา
ระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้นใจกลางของบ่อโลหิต และหมุนโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว อักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้นรางๆ ในระลอกคลื่นสีแดงโลหิต
“ถึงเวลาแล้ว เริ่มโคจรเขตอาคม!” สวี่หยวนที่รอคอยอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด พลันร้องตะโกนจนดังก้องไปทั้งห้องโถง
หลังจากเสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกัน ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ที่นั่งอยู่ตามจุดต่างๆ ของเขตอาคม ก็ทยอยกันกระตือรือร้นขึ้น สองมือพลันร่ายอาคม ปากก็บริกรรมคาถาไม่หยุด
เสียง “ปุดๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางเขตอาคม แล้วพ่นเสาลำแสงสีแดงโลหิตสิบแปดสายออกมาจากจุดต่างๆ
ทุกเสาล้วนมีขนาดเท่าปากชาม เปล่งแสงสีโลหิตระยิบระยับ พุ่งหายเข้าไปในเพดานห้องโถงจนมองไม่เห็นปลายเสา
สวี่หยวน สวี่หั่ว สวี่เหยียนทั้งสามคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แน่นอนว่าย่อมอยู่ตรงตาวิญญาณสามแห่งที่สำคัญที่สุดของเขตอาคม และเมื่อมีคนอื่นๆ ค่อยร่ายคาถากระตุ้นเขตอาคมนั้น ทุกคนก็พลิกฝ่ามือ ธงอาคมสีแดงสดขนาดสองสามชุ่นปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
เมื่อเป่าออกไป ธงทั้งสามด้ามก็ตั้งตรงขึ้น และหมุนวนไปมาไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามคนคุ้นเคยกับมันแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็อ้าปากออกทันที ทั้งสามพลันกัดปลายลิ้นแล้วพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
เมื่อโลหิตบริสุทธิ์ทั้งสามถูกพ่นออกมาจากริมฝีปาก ก็เกิดเสียงดังปัง ทยอยกันกลายเป็นหมอกโลหิตห่อหุ้มธงเล็กๆ เอาไว้
ตัวธงเปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา จากนั้นหมอกลำแสงก็ม้วนออกมาจากธง กลืนหมอกโลหิตทั้งหมดไปจนเกลี้ยง
ชั่วพริบตานั้นธงทั้งสามก็ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงสีโลหิตที่เปล่งประกาย
หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครา ก็กลายเป็นธงโลหิตขนาดยักษ์สามด้าม จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
หมอกลำแสงสีโลหิตทะลักออกมาจากธงโลหิตเป็นระลอกๆ บรรจุเข้าไปในเขตอาคมไม่หยุด และรวมร่างกันกับลำแสงโลหิตอื่นๆ ในเขตอาคม ห่อหุ้มบ่อโลหิตทั้งบ่อเอาไว้
กลิ่นอายโลหิตและกลิ่นหอมประหลาดๆ พลันหมุนวนกวนเข้าด้วยกัน รวมตัวกันอย่างแปลกประหลาด กลายเป็นกลิ่นอายประหลาดที่ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นเมามาย
และในยามนั้นเอง ราวกับกลิ่นหอมประหลาดนั้นเป็นตัวดึงดูด เสียงวิหคเพรียกประหลาดๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ จากนั้นลำแสงขนาดยักษ์ที่ดูราวกับเปลวเพลิงโลหิตก็ทะลักออกมาจากส่วนลึกของระลอกคลื่นในบ่อโลหิต
ท่ามกลางเปลวเพลิงโลหิตนั้น โลงไม้ผลึกวารีโลหิตก็เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ลอยยิ่งอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นโลงไม้ปรากฏขึ้น ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามคน หรือว่าคนอื่นๆ ในตระกูลสวี่ ต่างก็ทยอยกันเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ผิวกายของพวกเขามีลำแสงวิญญาณหลากสีสันไหลวนโคจรไปมาไม่หยุด บ้างก็หน้าสีขาว ร่างกายสั่นเทาเบาๆ เห็นได้ชัดว่ากระตุ้นพลังปราณในร่างจนถึงขีดสุดแล้ว