หญิงสาวสวมชุดชาววังกวาดมองเรือนร่างของทุกคนที่อยู่รอบด้าน สุดท้ายสายตาพลันจ้องเขม็งไปยังร่างของหานลี่ไม่เคลื่อนไหว
หานลี่รู้สึกเพียงว่าพลังจิตสัมผัสกลุ่มหนึ่งกวาดผ่านเรือนร่าง แม้ว่าจะไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมองทะลุผ่านร่างอย่างไรอย่างนั้น
เขาใจหายวาบ โคจรคาถาขับเคลื่อนในร่างทันที ต้านทานพลังสัมผัสนั้นไปนอกร่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หญิงสาวสวมชุดชาววังดูเหมือนจะประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ก็ถอนสายตาออกทันที มือเรียวข้างหนึ่งพลิกฝ่ามือขึ้นตรงหน้า
โลงผลึกโลหิตที่แต่เดิมห่อหุ้มร่างเอาไว้ พลันปรากฏอักขระยันต์ไหลวนโคจรไปมา
จากนั้นโลงผลึกพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลงหลายเท่า จนมีขนาดสองสามชุ่นแล้วปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบสุดท้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เช่นนั้นหญิงสาวสวมชุดชาววังก็หลุดออกจากสมบัติอาคม มาเผชิญหน้ากับทุกคนที่อยู่ด้านล่าง
“พวกเจ้าคือคนของตระกูลสวี่สินะ! แต่ผู้นี้คือผู้ใด ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศิษย์ของตระกูลสวี่?” หญิงสาวเอ่ยปากถามคำถามที่ทุกคนคาดไม่ถึงออกมา
ยามนั้นสวี่หยวนและพวกพลันมองสบตากัน
“นายท่านคือสหายวิญญาณน้ำแข็ง?” ยามนี้หานลี่พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามย้อนกลับ
ร่างของหญิงสาวผู้นี้สร้างขึ้นจากโลหิตบริสุทธิ์ แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสัมผัสพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกชื่นชมไม่น้อย
แน่นอนว่าเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณสร้างร่างแยกขึ้น แม้ว่าจะประหลาดไปหน่อย แต่เขาย่อมไม่ได้หวาดกลัวใดๆ
“บอกว่าข้าคือเซียนวิญญาณน้ำแข็งก็ไม่นับว่าผิด สหายคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์?” หญิงสาวสวมชุดชาววังแววตาเปล่งประกาย พลางตอบคำถามของหานลี่
“ข้าน้อยหานลี่ เป็นผู้ที่สหายสวี่เชิญมาให้ปลุกวิญญาณโลหิตของเซียน” ได้ยินว่าอีกฝ่ายคือวิญญาณโลหิตของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง หานลี่ก็ประสานมือคารวะอย่างมีมารยาท
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ก็นับว่าชนรุ่นหลังของข้ามีใจ คาดไม่ถึงว่าจะเชิญสหายผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาช่วยได้” ได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ แววตาของหญิงสาวสวมชุดชาววังก็ลดความเย็นชาลง และเอ่ยกับหานลี่อย่างมีมารยาท
สวี่เจียวและพวกได้ยินหญิงสาวถามเช่นนี้ กลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว
‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้ใช่ผู้ที่พวกเขาเชิญมาที่ไหนกัน แต่เป็นฝ่ายมาหาเองมากกว่า
มิเช่นนั้นครั้งนี้ตระกูลสวี่ของพวกเขาคงไม่อาจปลุกวิญญาณโลหิตของท่านบรรพชนได้
“หึๆ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับข้าน้อยเล็กน้อย ช่วยสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควร และยิ่งไปกว่านั้นผู้แซ่หานและสหายวิญญาณน้ำแข็งก็มีที่มาเดียวกันเล็กน้อย” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“อ๋อ คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้?” หญิงสาวสวมชุดชาววังพลันตกตะลึง กลอกตามองผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ด้านล่าง
“ท่านบรรพชน ท่านอาวุโสหานพูดไม่ผิดขอรับ ท่านอาวุโสผู้นี้ไม่เพียงนำวิญญาณโลหิตกลับมายังตระกูลสวี่ และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสผู้นี้ยังเป็นคนจากแดนมนุษย์เหมือนกับท่านบรรพชน และยังได้เปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้มาด้วย” สวี่เจียวก้าวมาข้างหน้า แล้วตอบอย่างระมัดระวัง
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย! ข้าต้องขอบคุณมาก! รอให้ข้าหลุดพ้นจากปัญหาแล้ว จะต้องตอบแทนเจ้าอย่างหนัก” แววตางดงามของหญิงสาวสวมชุดชาววังฉายแววตกตะลึง แม้จะไม่พูดมาก แต่คำพูดก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อถืออย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าน้อยไม่หวังการตอบแทนอันใด แค่มีปัญหาอยู่สองสามข้อ อยากจะขอคำแนะนำจากเซียน ทว่ายามนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้ รอให้สหายพลังปราณมั่นคงก่อน ค่อยถกปัญหากันเถิด” หานลี่มองหญิงสาวสองสามแวบ มุมปากกระตุกขณะเอ่ย
“สหายมองออก กลับทำให้สหายเห็นเรื่องขบขันแล้ว ร่างโลหิตนี้เพิ่งจะหลอมขึ้นจึงไม่มั่นคงนัก ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะทำให้วิญญาณโลหิตและร่างเป็นหนึ่งเดียวกันได้” หญิงสาวสวมชุดชาววังประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยอย่างไม่ได้ปฏิเสธ
“หึๆ วิญญาณโลหิตของสหายเพิ่งตื่น จะต้องเรื่องมากมายอยากพูดคุยกับคนในเผ่าแน่ ผู้แซ่หานจะไม่รบกวน สหายเชียนอวี่ เจ้าส่งข้ากลับที่พักเถิด” หานลี่หันหาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับสวี่เชียนอวี่ที่อยู่ใกล้เคียง
“อ๋อ…เชียนอวี่รับคำสั่งเจ้าค่ะ!”
“ชนรุ่นหลังจะไม่รั้งท่านอาวุโส หลังจากที่วิญญาณโลหิตของท่านบรรพชนไม่มีอันตรายแล้ว จะไปขอบคุณท่านอาวุโสด้วยตัวเอง”
สวี่เชียนอวี่พลันตะลึงงัน อดที่จะมองไปยังสวี่เจียวมิได้ แต่ผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้ได้ยินคำพูดของหานลี่ กลับดีอกดีใจ แล้วขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวสวมชุดชาววังเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็ไม่ได้ออกปากห้ามปราม แค่คารวะน้อยๆ ให้หานลี่อีกครั้ง
ดังนั้นหานลี่และสวี่เชียนอวี่จึงหันกาย เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป
หลังจากเห็นเงาแผ่นหลังของหานลี่หายไปที่ทางเข้า สวี่เจียวถึงได้พาผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่ทั้งหมด มาคารวะตรงหน้าหญิงสาวอีกครั้ง
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด ปลุกวิญญาณโลหิตของข้าได้ ลำบากพวกเจ้าแล้ว ยามนี้เจ้าคือผู้นำตระกูลสวี่สินะ!” หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยถามสวี่เจียวอย่างแช่มช้า
“สวี่เจียวหลานรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสาม คารวะท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง” สวี่เจียวตอบกลับอย่างนอบน้อม
“รุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสาม? ดูแล้วคงผ่านมาหลายปีแล้วจริงๆ อืม แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะไม่สูงนัก แต่ก็ไม่เลว ลุกขึ้นเถิด แม้ว่าวิญญาณโลหิตจะถ่ายทอดความทรงจำส่วนหนึ่งของข้ามา แต่ก็ไม่ใช่ข้าที่แท้จริง และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะเวลามันนานเกินไป ความทรงจำจึงไม่ค่อยสมบูรณ์นัก สิ่งสำคัญที่จำได้ก็มีอยู่แค่น้อยนิด ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านบรรพชนอันใด เรียกว่าวิญญาณโลหิตก็แล้วกัน” หญิงสาวสวมชุดชาววังกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาแล้วโบกมือไปด้านล่าง
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ทุกคนได้ยินคำนี้พลันตะลึงงัน
“ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิต จำเบาะแสของท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งได้หรือไม่ว่าปลอดภัยหรือไม่?” ด้วยอารามร้อนใจสวี่หยวนจึงไม่ได้คิดมากอันใดกับคำเรียก อ้าปากเอ่ยถามปัญหาที่กวนใจทุกคนที่สุดออกมา
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ใบหน้างดงามของหญิงสาวสวมชุดชาววังกลับเคร่งขรึมขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้สั่นศีรษะ
ครานี้สวี่เจียวและพวกพลันรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบ
“วางใจ แม้ว่าข้าจะจำเบาะแสของข้าไม่ได้ แต่อาศัยจิตสัมผัสระหว่างวิญญาณโลหิต ก็รู้ว่านางน่าจะยังมีชีวิตอยู่ในแดนวิญญาณ และยิ่งไปกว่านั้นเบาะแสที่เกี่ยวข้อง ข้าก็ยังจำได้แค่รางๆ” หญิงสาวสวมชุดชาววังกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกยินดีออกมา
“รู้เบาะแสก็ดี ขอแค่ตามหาร่องรอยเล็กน้อย พวกเราจะต้องตามหาท่านบรรพชนกลับมาได้แน่” สวี่เจียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วประสานมือคารวะไปกลางอากาศอีกครั้งขณะเอ่ย
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องง่ายๆ หรือ? แม้ว่าจะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ข้าน่าจะถูกกักอยู่ในแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น เอาล่ะ เบาะแสที่ละเอียดรอให้สมองของข้าจัดการความทรงจำใหม่ แล้วจะบอกพวกเจ้าอย่างละเอียด ยามนี้พวกเจ้าเล่าสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในยามนี้ก่อนเถิด รวมทั้งเรื่องของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยในตัวของคนผู้นั้น นอกจากเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์แล้ว ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะได้สิ่งที่ข้าคุ้นเคยมากไป แต่คืออันใดนั้นกลับคิดไม่ออก!” ใบหน้างดงามของวิญญาณโลหิตเผยสีหน้าฉงนออกมา
สวี่เจียว สวี่หยวนและพวกได้ฟังคำนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่งไม่ได้
หลังจากลังเลเล็กน้อย สวี่เจียวก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตอยากรู้ ชนรุ่นหลังก็จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง หลังจากที่ท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งหายตัวไปได้ไม่นาน เผ่ามนุษย์ของพวกเราก็ประสบกับเคราะห์มารครั้งหนึ่ง สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจเดิมเพลี่ยงพล้ำไปไม่น้อย ทำให้เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจวุ่นวายอยู่เป็นหมื่นปี…”
ผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้เริ่มจากเรื่องเมื่อสองสามหมื่นปีก่อน เมื่อเอ่ยถึง ก็สอดแทรกเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในตระกูลสวี่ไปด้วย แม้กระทั่งเรื่องที่ตระกูลเกือบจะล่มสลายสองสามครั้งก็พูดออกมา
หลังจากเล่าเรื่องนี้จบ เขาก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับหานลี่ที่ได้ฟังจากสวี่เชียนอวี่ให้ร่างแยกวิญญาณโลหิตของบรรพชนตนฟังอย่างละเอียด
ส่วนหญิงสาวสวมชุดชาววังก็ลอยตัวอยู่เหนือบ่อโลหิต สีหน้าเยือกเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ แค่ดวงตาคู่งามฉายลำแสงสีโลหิตออกมาเล็กน้อย ถึงได้ทำให้ผู้คนมองออกว่าในใจของนางไม่ใช่ว่าไม่มีคลื่นลูกใหญ่เกิดขึ้นเลยสักนิด…
แทบจะในเวลาเดียวกันหานลี่ก็กลับเข้ามาในหอคอยที่พัก และไล่สวี่เชียนอวี่ไป
เขาก็ขึ้นไปยังชั้นบนสุด เดินไปที่หน้าต่าง สองตาหรี่ลงมองไปยังศาลบรรพชนตระกูลสวี่ และมีท่าทางครุ่นคิด
แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่หานลี่ก็ผละออกจากหน้าต่าง กลับมายังใจกลางของชั้นบนสุด
ยกมือขึ้น ฟูกสีเหลืองถูกปล่อยออกมา
จากนั้นเขาพลันนั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งร่ายอาคม หลับตาลงด้วยสีหน้าราบเรียบ
จากนั้นหานลี่ก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีก ราวกับว่าเข้าสู่ภวังค์แห่งสมาธิ!
สามวันต่อมาหญิงสาวสวมชุดชาววังที่เรียกตนเองว่าวิญญาณโลหิตก็พาสวี่เจียวและพวกอีกคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่หน้าประตูหอคอย
หานลี่ที่สัมผัสได้ตั้งนานแล้วจึงให้ทั้งสามคนเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน
“ยินดีกับสหายที่สร้างร่างโลหิตสำเร็จ!” รอจนหญิงสาวสวมชุดชาววังนั่งลง หานลี่ก็เอ่ยกับหญิงสาวผู้นี้ด้วยรอยยิ้มบางๆ
“รวมพลังปราณและวิญญาณโลหิตเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต้องขอบคุณพลังปราณบริสุทธิ์ของสหาย มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้ร่างกายของวิญญาณโลหิตมั่นคงได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน” หญิงสาวสวมชุดชาววังตอบกลับพร้อมกับอมยิ้มที่มุมปาก
เดิมรูม่านตาของหญิงสาวผู้นี้เป็นสีแดงสด ยามนี้เป็นสีดำขลับราวกับคนธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น
“หึๆ ผู้แซ่หานแค่ช่วยนิดหน่อยเท่านั้น กลับเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตของสหายที่ลึกล้ำมาก คาดไม่ถึงว่าจะสามารถสร้างร่างแยกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นการปกป้องตนเองยามพบศัตรูที่ยิ่งใหญ่จริงๆ” หานลี่ได้ฟังหญิงสาวเรียกตัวเองว่าวิญญาณโลหิตก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็โบกมืออย่างราบเรียบทันใด
“เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตเป็นสิ่งที่ข้าได้มาด้วยความบังเอิญ ขั้นตอนในนั้นมีประโยชน์ในการรักษาชีวิตอยู่มาก หากสหายไม่รังเกียจล่ะก็ วิญญาณโลหิตจะใช้ตำรานี้เป็นการตอบแทนบุญคุณของสหาย!” วิญญาณโลหิตกะพริบดวงตาคู่งาม พลิกฝ่ามือ คัมภีร์สีขาวปรากฏขึ้น และส่งให้บนโต๊ะตรงหน้าหานลี่
จากนั้นสายตาของหญิงสาวที่มองหานลี่ ก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้อมยิ้ม
หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับหดรูม่านตาลง มองคัมภีร์ที่อยู่ใกล้แค่คืบแล้วครุ่นคิด ฉับพลันนั้นก็ยกมือขึ้นกวักมือ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
คัมภีร์สีขาวกระโดดเข้ามาในมือของเขา
หานลี่กวาดสายตาไปอย่างราบเรียบ แผ่จิตสัมผัสส่วนเล็กๆ ทะลวงผ่านคัมภีร์หยกไป
ส่วนวิญญาณโลหิตที่เห็นฉากนี้ ก็ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ส่วนลึกในแววตาคู่งามกลับฉายแววตกตะลึงอย่างสัมผัสได้ยากออกมา