ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินทางมาด้วยกันอย่างงงงวย
ทว่าทั้งสองก็นับว่ามีปฏิภาณไหวพริบ ยอมเดินไกลหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงดินแดนรกร้างที่เสี่ยงอันตราย ดังนั้นระหว่างทางจึงไม่พบอันตรายใดมากนัก
ภายในเมืองเล็กๆ ก่อนมาพบหานลี่ ทั้งสองกลับไปล่วงเกินตระกูลเล็กๆ พื้นเมืองตระกูลหนึ่งด้วยความไม่ได้ตั้งใจ จึงได้เกิดหายนะขึ้น และถูกสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันไล่สังหาร
หากไม่ใช่เพราะพบหานลี่ เกรงว่าทั้งสองคงจะพบความยุ่งยากจริงๆ
ยามนี้ในสายตาของไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ การได้พบกับ ‘พี่หาน’ ระหว่างทางกลับกลายเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก
ไม่เพียงพลังยุทธ์จะห่างจากระดับจิตวิญญาณสีทองแค่ก้าวหนึ่ง ในร่างก็มีสมบัติอาคมที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อยู่
ส่วนประสบการณ์ในการฝึกฝน แค่ชี้แนะสองสามประโยคก็ทำให้ทั้งสองได้รับประโยชน์ไม่น้อยแล้ว ต่อให้พวกเขาประจบสอพลอก็ไม่อาจไล่ตามทัน
ยามแรกที่ไห่ต้าเซ่าได้รับการชี้แนะเคล็ดวิชาการฝึกตนจากหานลี่ ก็ตกตะลึงอยู่ครึ่งวัน
ถึงอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งที่เข้าใจเคล็ดวิชาฝึกตนเป็นอย่างดีก็หาได้ยากมาก
และด้วยเหตุนี้แววตาของหานลี่และพวกทั้งสองก็มีความลึกล้ำยากจะคาดเดา
โชคดีที่ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อล้วนเป็นพวกที่มีนิสัยแค่เจอหน้าครั้งเดียวก็รู้สึกสนิทกัน ดังนั้นแม้ว่าจะรู้ว่าหานลี่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ พวกเขาก็ยังคงเรียกว่า ‘พี่หาน’ อย่างไม่ได้ใส่ใจ และเรียกได้อย่างกระตือรือร้น
เดาว่าหากไม่ใช่เพราะเห็นว่าพลังยุทธ์ของหานลี่ไม่สูง ทั้งสองก็อาจจะทำหน้าหนาคารวะหานลี่เป็นอาจารย์ก็เป็นได้
ถึงอย่างไรเสียแม้ว่านักพรตน้อยชี่หลิงจื่อจะบอกว่าอยากออกไปชมนกชมไม้ แต่ความจริงแล้วระหว่างการพูดคุย ก็เผยความคิดว่าจะไปตามหาอาจารย์ในการชุมนุมหมื่นสมบัติ
ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ชื่อของ ‘ผู้ดูแลอาราม’ ของอารามอู้ไห่เลยสักนิด
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ชี่หลิงจื่อผู้นี้กลับพยายามชักชวนหานลี่และไห่ต้าเซ่าให้เข้าร่วมอารามอู้ไห่ของตนเองไม่หยุด ก่อนที่คิดจะคารวะท่านอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ก็ต้องอย่าพูดถึงเรื่อง ‘ผู้ดูแลอาราม’ ก่อน
นี่ย่อมทำให้ไห่ต้าเซ่าหัวเราะเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า หานลี่ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นเท่านั้น
เช่นนั้นหานลี่จึงพาทั้งสองบินมาได้สองสามเดือนก็มาถึงยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ กับเขตแดนเสวียนอู่ และคิดจะพักผ่อนสักหน่อย ค่อยเดินทางต่อ
เมื่อครู่ชี่หลิงจื่อก็คุยโวถึงอารามอู้ไห่ไม่หยุด จากนั้นก็เอ่ยคำพูดชักจูงทั้งสองคนครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ออกมา ทำให้ไห่ต้าเซ่าปฏิเสธอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
และหานลี่ที่ดูเหมือนจะอมยิ้มไม่หยุดอยู่นั้น ส่วนลึกในแววตากลับมีลำแสงสีฟ้าฉายแวบผ่านไป และใช้สายตาที่สัมผัสได้ยากจ้องเขม็งไปยังไห่ต้าเซ่าซึ่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่ละไปไหน
ฉับพลันนั้นใบหน้าของไห่ต้าเซ่าก็มีสีแดงก่ำปรากฏขึ้น แต่ชั่วลมหายใจก็หายวับไปในทันที
“ปรากฏแล้ว!”
หานลี่ร้องว่าแย่แล้วในใจ ชั่วพริบตาก็แผ่จิตสัมผัสไปที่เรือนร่างของไห่ต้าเซ่าอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าข้าขี้โม้ แค่รากวิญญาณธาตุลมของข้า คารวะเป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ถึงยามนั้นรอให้ต้าเซ่าฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนสำเร็จ จะต้อง…” ไห่ต้าเซ่าพูดถึงความรุ่งเรือง หลังจากเอ่ยว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาสำเร็จอย่างกำเริบเสิบสาน มีชีวิตที่ดีกลายเป็นบรรพชนระดับก่อกำเนิดระดับเทพแปลง
และไห่ต้าเซ่าย่อมไม่รู้ว่า คำว่ารากวิญญาณธาตุลมที่หานลี่พูดในใจนั้น ได้สลายหายไปแล้ว
ยามนี้ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนใดตรวจสอบรากวิญญาณในร่างเขา ก็จะบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาที่ไร้ซึ่งรากวิญญาณ
หางตาหานลี่กระตุกถี่ๆ แล้วพลันรู้สึกตกตะลึง
เหมือนกับครั้งที่แล้ว รากวิญญาณอัสนีของอีกฝ่ายสลายหายไปอีกครั้ง
หากจำไม่ผิดล่ะก็ หนึ่งวันหนึ่งคือต่อจากนี้ รากวิญญาณของไห่ต้าเซ่าก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฉากเดียวกันเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาเมื่อสิบวันก่อน
ช่างแปลกประหลาดเสียจริง! เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในโลกนี้จะมีรากวิญญาณที่จะสลายหายไปภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ด้วย
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ จะไม่ได้หมายความว่าร่างที่มีพลังปราณ จะไม่อาจกระตุ้นอาคม และโคจรพลังปราณในร่างได้หรือ
หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้น แล้วรู้สึกกังขาในใจ
“พี่หาน เจ้าเหม่อลอยอันใด สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก มิสู้ลองชิมชาวิญญาณของอารามอู้ไห่ดูเป็นอย่างไร! แต่เอาผลวิญญาณของพี่หานออกมาอีกสักสองสามผลเป็นอย่างไร ครั้งที่แล้วที่ลองกิน รสชาติช่างยากจะลืมเลือนเสียจริง” ชี่หลิงจื่อเองก็มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม คาดไม่ถึงว่าจะพบความผิดปกติบนใบหน้าของหานลี่ จึงกลอกตาไปมา แต่กลับหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“ชี่หลิงจื่อพูดไม่ผิด ผลวิญญาณที่พี่หานนำออกมาครั้งที่แล้ว รสชาติล้ำเลิศจริงๆ!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของชี่หลิงจื่อ คาดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยคุยโวอีก ต่างใช้สายตาเหลือบมองมาทางหานลี่เช่นกัน
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าทั้งสองคิดถึงผลวิญญาณที่ข้าน้อยเอาออกมาครั้งที่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าผู้แซ่หานขี้เหนียว แต่ ‘แต่ผลผนึกไข่มุก’ นี้ แม้ว่าจะรสชาติล้ำเลิศ แต่พลังปราณบริสุทธิ์ที่แฝงอยู่ก็ไม่ธรรมดาเลย หากกินมากไปในคราเดียว จะทำลายชีพจรของสหายทั้งสอง เช่นนั้นก็แล้วกัน ข้าจะนำออกมาหกผล คนหนึ่งกินสองผลก็ได้แล้ว” คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะสนใจผลวิญญาณของเขาขึ้นมาในพริบตา นี่จึงทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหานลี่กระตุกสองครั้ง แล้วทำได้เพียงกระแอมไอเบาๆ
จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ จานสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกปรากฏขึ้นบนโต๊ะหิน ผลสีเขียวมรกตเกลี้ยงเกลาดุจไข่มุกขนาดเท่าไข่ไก่หกผลปรากฏขึ้น
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร มีสองผลก็ไม่เลวแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ครั้งที่แล้วที่กินผลของพี่หานไปสามผล พลังยุทธ์ที่เดิมหยุดชะงักอยู่กลับเพิ่มขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ พี่หานบอกข้ามาเถิดว่าจะไปซื้อผลผนึกไข่มุกที่ไหน ข้าจะไปซื้อให้มากสักหน่อย จากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาหรือนั่งสมาธิอันใดอีก หากกินผลวิญญาณสองผลสามถึงห้าวันครั้ง พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มขึ้น ชี่หลิงจื่อมองผลวิญญาณในจาน แล้วเอ่ยอย่างดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ เงาสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบ ผลวิญญาณในจานกลับลดลงไปสองผล
ชี่หลิงจื่อพลันตกตะลึง แล้วค่อยพิจารณาอย่างละเอียด ที่แท้คาดไม่ถึงว่าไห่ต้าเซ่าจะลงมือพร้อมกันสองมือ มือหนึ่งตะปบไปที่ผลวิญญาณผลหนึ่ง แล้วเริ่มแทะทั้งซ้ายและขวา
“ไม่รู้จักเสียดายของ!” ชี่หลิงจื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง
ส่วนไห่ต้าเซ่าเพียงค้อนมองไป ไม่ได้สนใจเสียหน้าเจ็บปวดของนักพรตน้อยที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกเพียงว่าน้ำเต็มปาก และรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก
หานลี่พลันรู้สึกหมดคำพูด และหัวเราะน้อยๆ อยู่ในใจ
ไม่ทราบว่าทั้งสองคนรู้จักผลวิญญาณเหล่านี้หรือไม่ หากรู้ว่าผลเหล่านี้มีมูลค่าเป็นพันศิลาวิญญาณ จะกินอย่างมีความสุขเช่นนี้หรือไม่
ทว่าชี่หลิงจื่อผู้นี้ก็ไม่ใช่คนปกติ
หานลี่กวาดตาไปมา ดวงตาทั้งสองก็หรี่ลงเล็กน้อยขณะมองนักพรตน้อย
รากวิญญาณของนักพรตน้อยผู้นี้ เป็นรากวิญญาณสามธาตุธรรมดาๆ อย่างแท้จริง แต่เมื่อผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดสองสามวัน กลับพบว่าจุดตันเถียนของอีกฝ่ายมีไข่มุกลับที่ห่อหุ้มด้วยลำแสงวิญญาณขนาดเท่าเมล็ดถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่ง
นี่เป็นเพราะพลังจิตสัมผัสเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก มิเช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ระดับสูงกว่าชี่หลิงจื่อเจ็ดแปดขั้น ก็ยังไม่อาจพบสิ่งที่อยู่ในร่างกายของอีกฝ่ายได้
ยามที่หานลี่กำลังรู้สึกประหลาดใจ ใช้จิตสัมผัสสัมผัสกับไข่มุกทรงกลมอย่างเงียบเชียบ และแทรกเข้าไปโดยไม่มีผู้ใดรู้ แต่กลับพบพลังผนึกที่ยิ่งใหญ่
“อาวุธถ่ายทอด!”
ยามที่หานลี่พบสิ่งนี้กลับเข้าใจได้ทันทีว่าคือสิ่งใด
เพื่อไม่ให้ขาดการสืบทอด ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนจะใช้เคล็ดวิชาลับผนึกสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาไว้ในอาวุธถ่ายทอด จากนั้นก็เข้าไปอยู่ในร่างของชนรุ่นหลังหรือไม่ก็คนในสำนัก
และโดยปกติแล้วสิ่งนี้ล้วนมีเงื่อนไขในการเปิด หากไม่เหมาะสมล่ะก็ จะถูกซ่อนเอาไว้ในร่างของผู้ถ่ายทอดไม่ยอมปรากฏ
โดยปกติแล้วล้วนมีพลังยุทธ์ในระดับที่แน่นอน ถึงจะได้รับเคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่ถ่ายทอดไว้ในอาวุธไปตามกลไก
แน่นอนว่าหากถูกผู้ถ่ายทอดใกล้จะถึงขีดจำกัด ก็จะใช้เคล็ดวิชาวิเศษเอาสิ่งนี้ออกมา แล้วใส่ไปในร่างของคนในสำนักของเขา หากคนนอกใช้พลังภายนอกฝืนเอาอาวุธนี้ออกมา ปกติแล้วจะระเบิดออกพร้อมกับร่างของผู้ถูกถ่ายทอด
วิธีการถ่ายทอดเคล็ดวิชาหลอมอาวุธเช่นนี้ ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นการหลอมก็ยุ่งยาก นับว่าเป็นเคล็ดวิชาลับการถ่ายทอดที่หายากมากชนิดหนึ่ง
ยามนี้มาปรากฏตัวบนร่างของชี่หลิงจื่อ ก็ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ดูแล้วปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ‘อารามอู้ไห่’ คงจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างจริงๆ และไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมาธรรมดาๆ
ทว่าจากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางสนใจเคล็ดวิชาของคนอื่น หลังจากตกตะลึงเล็กน้อย ก็สนใจแค่สิ่งที่อยู่บนร่างของบุรุษรูปงามนามว่าไห่ต้าเซ่า
รากวิญญาณสลายหายไปได้ นี่มันรากวิญญาณอันใดกัน!
นี่ทำให้เขารู้สึกสนใจไม่น้อย
ชี่หลิงจื่อหยิบชุดชาออกมาชงชาวิญญาณที่มีกลิ่นหอมกรุ่นสองสามถ้วย ให้หานลี่และพวกลิ้มลอง หลังจากเก็บผลวิญญาณที่เหลือแล้ว ทั้งสามคนก็ไม่ได้รั้งรออันใดอีก
หานลี่ปล่อยรถเหาะออกมาอีกครั้ง พาทั้งสองกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งไปทางเขตเสวียนจง
เขตเสวียนจงและเขตเทียนหยวนไม่เหมือนกันเลยสักนิด!
แม้ว่าจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรจะเทียบกับเขตเทียนหยวนและเขตเทียนหลิงไม่ได้ แต่จำนวนของผู้ฝึกตนคนธรรมดากลับมากกว่าทั้งสองเขตมาก
ประชาชนคนทั่วไปก็กล้าหาญ ต่อให้เป็นคนชราเด็กทารกหรือสตรีมีครรภ์ก็กล้าถืออาวุธออกไปล่าสัตว์ป่าและอสูร
ทว่าย่านร้านค้าคนธรรมดาขนาดใหญ่ในเขตเสวียนอู่กลับมีอยู่แค่ไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในรูปแบบของเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในดินแดนที่กว้างใหญ่
และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะในสามเขตเชื่อมต่อกันเจ็ดดินแดนปีศาจ ดังนั้นไม่ว่าขอบเขตของคลื่นอสูร หรือว่าอัตราการปรากฏตัวของปีศาจอสูรระดับต่ำ ก็เหนือกว่าทั้งสองเขตมาก
และบางครั้งก็มีอสูรปีศาจแปลงกายระดับสูง แอบเข้ามาในเขตเสวียนอู่ พลางทำเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรม
ดังนั้นเขตเสวียนอู่จึงเป็นเขตที่วุ่นวายที่สุดในสามเขต ยิ่งเข้าใกล้ชายแดนที่ติดกับดินแดนของเผ่าปีศาจ ก็จะยิ่งมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากเท่านั้น
ภูเขาเก้าเซียน คือภูเขาวิญญาณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนของดินแดนปีศาจจิ้งจอกและเขตเสวียนอู่ แต่กลับเป็นข้อยกเว้น
ภูเขาแห่งนี้แบ่งออกเป็นเก้ายอดเขา ไม่เพียงจะมีชีพจรวิญญาณระดับสุดยอดที่หายาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสมุนไพรที่เกิดเฉพาะถิ่นซึ่งมีประโยชน์ต่อเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเป็นอย่างมากอยู่ด้วย
ประกอบกับลักษณะของภูเขาเก้าเซียนที่เป็นอันตราย เป็นดินแดนที่มีความพิเศษ ดังนั้นภูเขาแห่งนี้จึงถูกเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจส่งผู้ที่มีพรสวรรค์เฉียบแหลมมาควบคุมเอาไว้
ต่อให้เป็นชาวเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่อาจหาญไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ก็ยังมิกล้าก่อเรื่องในละแวกของภูเขาลูกนี้ง่ายๆ
และสองสามปีที่ผ่านมา รอบๆ ภูเขาเก้าเซียนก็ถูกป้องกันอย่างแน่นหนา เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจส่งกำลังคนจำนวนมากมาก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อใช้กำจัดความวุ่นวายในบริเวณรอบ
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ห้าหกปี คาดไม่ถึงว่าภูเขานี้จะกลายเป็นดินแดนแห่งความสุขของเขตเสวียนอู่
และในยามนี้ชุมนุมหมื่นสมบัติที่จัดขึ้นพันปีครั้งในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจทั้งสองก็จัดขึ้น