“ผู้นี้คือสหายหานอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวเหลือบมองหานลี่อย่างระมัดระวัง แววตาของนางแฝงความรู้สึกประหลาดใจอยู่แวบหนึ่ง
เมื่อครู่หานลี่เพิ่งจะคลายพลังแรงกดที่นางปล่อยออกมา หญิงสาวผู้นี้ย่อมมองออก ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเขาคือคนเดียวกับคนที่ช่วยเด็กหญิงไว้ นางกลับรู้สึกใจหายวาบ
นางสัมผัสได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ แต่กลับมีพลังแรงกดอีกที่นางอธิบายไม่ได้แผ่ออกมารางๆ หญิงสาวรู้สึกว่าหากเขาลงมือโจมตี นางคงถูกฆ่าตายในการโจมตีครั้งเดียว
“จะมีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หญิงสาวกรีดร้องในใจ พลังปราณในร่างกายแปรปรวนไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็ใช้จิตสัมผัสกวาดไปทางหานลี่อย่างละเอียด
แต่ครั้งนี้ พลังแรงกดในตัวหานลี่กลับหายไป ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หญิงสาวขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว และยิ่งฉงนสงสัยมากยิ่งขึ้น แต่เพื่อสาวน้อยไป๋กั่วเอ๋อร์ ก็ยังยังคงเผยรอยยิ้มให้พวกหานลี่
“ข้า เย่ว์หัว ขอขอบคุณสหายทั้งสามที่ได้ช่วยลูกเขยและกั่วเอ๋อร์เอาไว้! หากไม่รังเกียจ สหายทั้งสามได้โปรดไปพักที่ถ้ำพำนักของข้าสักครู่เถิด เย่ว์หัวต้องขอบคุณท่านสหายทั้งสามอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้”
“เรื่องนี้….”
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม แม้ว่าไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อจะเริ่มคุ้นชินแล้ว แต่ก็อดที่จะทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อยไม่ได้ และใช้สายตาเหลือบไปมองหานลี่อย่างอดไม่ได้
หานลี่เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่หลังจากเขากวาดตามองไปยังกั่วเอ๋อร์ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ในเมื่อสหายเย่ว์เอ่ยชวนแล้ว พวกเราทั้งสามก็ขอรบกวนแล้ว”
“รบกวนอันใดกัน สหายทั้งสามไปเยี่ยมถ้ำพำนักเก่าๆ ซอมซ่อของข้า ก็นับว่าเป็นเกียรติของเย่ว์หัวแล้ว!” หญิงสาวตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินหานลี่ใช้คำเรียกนางในระดับเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าโกรธขึ้งออกมา กลับรู้สึกดีใจนิดๆ ด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าเซียนเย่ว์หัวนั้นคาดเดาอันใดได้อยู่ลึกๆ
บุรุษวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ พลันอ้าปากค้างเล็กน้อย มองไปทางหานลี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ผู้อื่นไม่รู้หรอก แต่เขารู้ว่าใต้เท้าแม่บุญธรรมผู้นี้ของเขานั้นหยิ่งผยองมากเพียงใด ยามนี้กลับมีมารยาทกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณคนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อจริงๆ
กลับเป็นไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่เพิ่งเคยคบค้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม จึงไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอันใด เมื่อได้ยินว่าเซียนเย่ว์หัวต้องการตอบแทนพวกเขา กลับฉีกยิ้มเบิกบาน
ในยามนั้นหานลี่พลันยกมือขึ้นปล่อยรถเหาะออกมา คนทั้งกลุ่มหมายจะออกเดินทาง เสียงดนตรีอันไพเราะพลันดังแว่วมา
เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหูทำให้ผู้คนได้ยินแล้วรู้สึกลุ่มหลงดังขึ้น
หานลี่และพวกของเซียนเย่ว์ได้ยินคำนี้พลันตกตะลึง พลางหันไปมองยังท้องฟ้าที่มีเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
เห็นเพียงขอบฟ้าที่ไกลออกไปมีหมอกลำแสงห้าสีหมุนวน นักรบสวมชุดเกราะสีดำขี่อยู่บนอสูรหัวโคร่างพยัคฆ์สองแถวปรากฏขึ้น
นักรบชุดเกราะเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าราบเรียบ ถือขวานยาว และขวานสั้นเอาไว้ กระตุ้นอสูรประหลาดใต้หว่างขาบินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า
เซียนเย่ว์หัวกวาดจิตสัมผัสไปยังผู้ที่ขี่อสูรด้านบน แล้วกลับสูดลมหายใจเข้าอย่างตกตะลึง
นักรบเหล่านี้อยู่ในระดับก่อกำเนิดทั้งหมด และมีประมาณร้อยคน
หลังจากที่นักรบเหล่านี้บินผ่านไปเป็นแถวๆ รถสงครามสีดำสนิทก็บินออกมาจากหมอกลำแสงห้าสี
ทุกคันล้วนวิจิตรงดงาม ด้านบนมีนักรบชุดเกราะแต่งกายเหมือนกันนั่งอยู่สามคน ด้านหน้ามีวิหคหน้าตาโหดเหี้ยมลากรถอยู่
หลังจากที่รถศึกสามสิบหกคันที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วบินผ่านไป ผู้บำเพ็ญเพียรสวมอาภรณ์หลากหลายก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นคู่ๆ บ้างก็แก่ชราบ้างก็เด็ก บ้างก็เป็นบุรุษบ้างก็เป็นสตรี ทุกคนล้วนมีแววตามีเลศนัย กลิ่นอายไม่ธรรมดา
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้อยู่แค่สิบแปดคน แต่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย
ด้านหลังผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ หลังจากเสียงหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางหมอกลำแสง พลันมีหอคอยสองชั้นปรากฏขึ้นรางๆ ไม่ควรจะเรียกว่าหอคอยควรจะเรียกว่ารถอสูรยักษ์ถึงจะถูก
ตัวรถสูงประมาณยี่สิบสามสิบจั้ง รูปทรงวิจิตรงดงาม ด้านหน้ามีนกยูงสีขาวหิมะขนาดสิบจั้งแปดตัวลากรถอยู่
ชั้นหนึ่งของรถอสูรมีหญิงสาวสวมชุดชาววังหลากสีสันนั่งอยู่เป็นกลุ่ม
ทุกคนล้วนมีหน้าตาพริ้มพราย และยิ่งไปกว่านั้นยังกอดเครื่องดนตรีอย่างผีผา[1]และขลุ่ยยาวต่างๆ เอาไว้
เสียงสวรรค์นั้นก็คือเสียงที่ดังมาจากในมือของสตรีเหล่านั้น
แต่สายตาของหานลี่กลับไม่ได้อยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวเหล่านี้ แต่มองไปยังชั้นสองของรถอสูร ตรงนั้นมีคนสามคนนั่งล้อมอยู่บนโต๊ะหยกสีเขียวมรกตตัวหนึ่ง
บนโต๊ะมีผลวิญญาณและสุราวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด คาดไม่ถึงว่าทั้งสามจะกำลังพูดคุยอันใดกันอยู่
ทว่าแววตาของหานลี่กลับเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเลื่อนไปยังธงอาคมยักษ์สีเงินระยิบระยับที่อยู่บนหลังคาของรถเหาะขนาดยักษ์
ธงนี้แกะสลักเป็นรูปมังกรและหงส์ ระลอกคลื่นของเขตอาคมแผ่ออกมาไม่หยุด ส่วนใจกลางของธงอาคม กลับมีตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่คำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’
“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน! นี่คือขบวนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!” เซียนเย่ว์ที่อยู่ด้านข้าง เห็นธงบนรถอสูรยักษ์อย่างชัดเจน กลับร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
หานลี่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาเคร่งขรึม ในที่สุดก็มองเห็นผู้ที่พูดคุยกันทั้งสามคนบนชั้นสองอย่างชัดเจน
ทั้งสามคนล้วนมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์
หนึ่งในนั้นสวมชุดนักปราชญ์สีขาว หน้าตาสง่างาม แต่หูทั้งกลับยาวเป็นพิเศษ สีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
ด้านข้างเป็นชายชราคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีเทา หน้าตาซูบตอบ แต่ดวงตาทั้งสองกลับเปล่งแสงสีเขียวมรกตอ่อนๆ ออกมา
คนสุดท้ายคือภิกษุอ้วนท้วนสวมจีวรสีม่วง ทว่าท่าทางอายุสี่สิบห้าสิบปี แต่กลับมีหูอวบๆ สีหน้าอ่อนโยนและมีเมตตา
คาดไม่ถึงว่าทั้งสามคนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!
ชายชรายังพอว่า แค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นเหมือนกันกับเขา ภิกษุกลับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง
ส่วนนักปราชญ์สวมชุดสีขาว ภายใต้เนตรวิญญาณของเขา วงแหวนลำแสงสีขาวนวลที่ห่อหุ้มผิวกายอยู่ ต้องเสียแรงจำนวนมาก ถึงจะพอดูออกว่าอีกฝ่ายคือสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายที่น่ากลัว
ดูแล้วนักปราชญ์ชุดขาวผู้นี้ คงเป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน!
บุรุษวัยกลางคนและพวกชี่หลิงจื่อกับไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านข้าง เห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้างไปตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินว่านี่คือขบวนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน
นี่คือสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ ที่ทั้งเผ่ามนุษย์นั้นมีเพียงยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น ส่วนสามจักรพรรดิยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสามจักรพรรดิ ในเผ่ามนุษย์ก็พบเห็นได้ไม่มากนัก
พวกเขาได้พบกับขบวนรถของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ ก็นับว่ามีวาสนาไม่น้อยแล้ว
ทว่าเมื่อสายตาของหานลี่พิจารณานักปราชญ์สวมชุดสีขาวในรถอสูรที่อยู่ไกลออกไปอย่างละเอียด จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนที่กำลังพูดคุยกับภิกษุที่อยู่ตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม ก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นพลันยืนขึ้น สาวเท้ามาที่มุมของชั้นสอง รูม่านตาเปล่งแสงสีทองสว่างวาบขณะมองมายังตำแหน่งของหานลี่
“ไม่ทราบว่าสหายท่านใดอยู่ที่นี่ หากไม่รังเกียจก็มาดื่มสุรากันสักจอกเถิด!”
เสียงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนไม่ดังนัก แต่ก็ก้องสะท้านไปมากลางอากาศ ดังเข้ามาในโสตของทุกคนอย่างชัดเจน
นอกจากหานลี่ ไม่ว่าเซียนเย่ว์หัวหรือว่าพวกของไห่ต้าเซ่า ก็อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้
“ท่านอาวุโสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หรือว่ากำลังพูดคุยกับพวกเรา?” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ไห่ต้าเซ่าถึงได้กลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้กระมัง ผู้ที่ท่านอาวุโสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เรียกขานเช่นนี้ น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันเท่านั้น จะเป็นพวกเราไปได้อย่างไร” ไป๋ฮั่วจี๋สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง ท่าทางเป็นไปไม่ได้
“แต่ในละแวกนี้ ดูเหมือนจะมีแค่พวกเรา” ชี่หลิงจื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยพึมพำเช่นกัน
นั่นมันก็จริง! โจรภูเขาทิศใต้ทั้งสามอยากลงมือกับไป๋ฮั่วจี๋และบุตรสาวได้สะดวก จึงจงใจล่อพวกเขามาที่แดนรกร้าง ในรัศมีร้อยลี้ย่อมไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นได้
คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกงุนงง ส่วนหานลี่จะไม่รู้ว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนผู้นี้เอ่ยกับตนเองได้อย่างไร ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับพวกไห่ต้าเซ่าอย่างราบเรียบ
“สหายไห่ พวกเจ้าสองคนไปพักที่ถ้ำพำนักของสหายเย่ว์หัวก่อนเถิด ข้าจะไปพบกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน อีกเดี๋ยวจะตามพวกเจ้าไป”
เมื่อไห่ต้าเซ่าชี่หลิงจื่อรวมทั้งเซียนเย่ว์หัวและบุรุษวัยกลางคนได้ยินคำพูดของหานลี่ย่อมตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“พี่หาน ท่านพูดอันใด…” ไห่ต้าเซ่าออกเสียงอย่างไม่ชัดเจนเล็กๆ
แต่หานลี่กลับสั่นศีรษะ ไม่ได้เอ่ยอันใด ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังขบวนรถที่อยู่ไกลออกไป หลังจากกะพริบวาบๆ ก็อยู่ห่างออกไปพันจั้งเศษ
ที่เดิมจึงเหลือเพียงพวกที่อ้าปากค้าง มีเพียงเด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์ที่มองคนอื่นๆ พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็มีท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
“ที่แท้สหายหานก็เป็นท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ข้าทายออกตั้งนานแล้ว นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ คนอื่นจะมีวิธีกำจัดพิษเย็นเยียบในร่างของกั่วเอ๋อร์ได้อย่างไร!” หญิงสาวเอ่ยขึ้นตามความรู้สึก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นดีอกดีใจ
“สหายไห่ หรือว่าพวกเจ้าสองคนก็เป็น…” ไป๋ฮั่วจี๋กลับจ้องเขม็งไปยังไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ แล้วคิดจะเอ่ยอันใดออกมาอย่างติดขัดๆ
“ไม่ๆ ข้าสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาของจริง ข้ามีพลังยุทธ์แค่ระดับสร้างปราณ ไม่โกหกเลยสักนิด พวกเราและพี่…ไม่สิ ท่านอาวุโสหานเพิ่งจะรู้จักกันระหว่างทาง ไม่รู้ว่าเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เลยสักนิด” ชี่หลิงจื่อได้สติกลับคืนมา ก็รีบร้อนสั่นศีรษะขณะตอบกลับราวกับกังหันลม
“พวก…พวกเราเดินทางกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาสองสามเดือน แถม…แถมยังดื่มชาและสุราด้วยกัน…แล้วยังแทนตัวในระดับเดียวกัน ชี่หลิงจื่อ ข้า…ไม่ได้ฝันกลางวันอยู่สินะ!” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยอย่างเข้าใจแล้วแต่ก็เหมือนกับกำลังหลับฝันไป
ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวมาอยู่ใกล้ๆ กับขบวนรถแล้ว นักรบชุดเกราะย่อมได้ยินคำพูดก่อนหน้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน จึงไม่ได้เข้ามาขัดขวางอันใด
ลำแสงหลีกหนีของหานลี่หม่นแสงลง ปรากฏตัวขึ้นในชั้นสองของรถอสูรขนาดยักษ์ และประสานมือคารวะสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ทั้งสามคน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ข้าน้อยหานลี่ คารวะสหายทั้งสาม”
“เอ๋ หานลี่ หรือว่าจะเป็นสหายหานที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นได้ในเขตเทียนหยวนของข้า! ตาเฒ่าหวงตั้งคารวะสหาย” ชายชราร่างกายผ่ายผอมได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีขณะคารวะกลับ
“หึๆ ผู้แซ่หานเพิ่งจะบรรลุระดับขั้นได้ไม่กี่ปี!” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
[1] ผีผา เป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายของจีนอย่างหนึ่ง เครื่องดนตรีนี้มีรูปร่างเหมือนลูกแพร์ เล่นด้วยการใช้นิ้วดีดสาย