เซียนเย่ว์หัวได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็รู้สึกงุนงง ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าเหตุใด ‘ท่านอาวุโส’ ผู้นี้ถึงให้ความสำคัญกับไป๋กั่วเอ๋อร์เช่นนี้
แต่หญิงสาวพลันขบคิดอย่างรวดเร็ว ดูจากพิษของไป๋กั่วเอ๋อร์ในยามนี้ ต่อให้เลวร้ายก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ประกอบกับยายแก่ส่งสายตาอยู่ด้านข้างไม่หยุด จึงกัดฟันตอบรับ
“ในเมื่อท่านอาวุโสให้ความสำคัญกับกั่วเอ๋อร์ ชนรุ่นหลังจะนำทางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เอ่ยจบหญิงสาวผู้นี้ก็หานลี่และคนอื่นๆ ตรงไปที่ห้องด้านหลังของถ้ำพำนัก
ผ่านประตูข้างไป อ้อมทางเดินยาวที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย กลุ่มคนเดินเข้ามาในห้องนอนห้องหนึ่ง
บนเตียงไม้สีแดงอ่อนภายในห้องนอน เด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์กำลังหลับใหลไม่ได้สติ
ดวงหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย และมีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มอยู่รางๆ ริมฝีปากเขียวคล้ำเล็กๆ
หานลี่เดินไปใกล้เตียงไม้ สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่โถมเข้ามา ก็อดที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อยไม่ได้
แต่หลังจากที่เลื่อนสายตาไปที่เตียง เขาก็เข้าใจขึ้นมาสองสามส่วน ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะขณะเอ่ย
“ใช้ไม้ร้อนเป็นเครื่องกำจัดความเย็นเยียบ แม้ว่าจะยับยั้งไอเย็นเยียบได้ แต่พิษของเด็กหญิงเข้าไปในชีพจรตั้งนานแล้ว พลังความร้อนแค่นี้ไม่ค่อยมีประโยชน์นัก”
“จุดนี้ชนรุ่นหลังก็ทราบดี แต่ก็หวังว่าจะโชคดี คิดว่าอย่างน้อยเตียงไม้ร้อนก็พอจะลดความเจ็บปวดจากการที่พิษเย็นเยียบกำเริบให้กั่วเอ๋อร์ได้บ้าง” เซียนเย่ว์หัวเอ่ยอยู่ด้านข้าง สายตาที่มองเด็กหญิงบนเตียง เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็พยักหน้า จากนั้นก็สั่นศีรษะ ก่อนสาวเท้ามาข้างหน้าเตียงไม้สีแดง คว้าแขนข้างหนึ่งของเด็กหญิงขึ้นมา ในเวลาเดียวกันรูม่านตาก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด
พวกของยายแก่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะกั้นลมหายใจไม่ได้ มิกล้าส่งเสียงใดๆ อีก
บุรุษวัยกลางคนและหญิงสาวเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอย
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา แววตาของหานลี่ก็เปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็คว้าฝ่ามือของเด็กหญิง ชั่วพริบตาก็มีลำแสงเย็นเยียบห้าสีปรากฏขึ้นหนึ่ง
เห็นเพียงชั่วพริบตาที่ลำแสงเย็นเยียบไหลผ่าน ไอสีเขียวที่ห่อหุ้มใบหน้าของเด็กหญิงอยู่ พลันมารวมตัวกันที่ฝ่ามือของหานลี่ที่กุมอยู่ ชั่วครู่ก็รวมตัวกันกลายเป็นไอสีเขียวขนาดเท่าไข่ไก่ ปรากฏขึ้นรางๆ ที่ข้อมือของเด็กหญิง
แววตาของหานลี่เปล่งประกายวาวโรจน์ มืออีกข้างหนึ่งพลิกฝ่ามือ หว่างคิ้วมีเข็มบางๆ สีเงินระยิบระยับปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบคาดไม่ถึงว่าจะปักไปบนข้อมือของเด็กหญิง
“อ๊า”
หญิงสาวและบุรุษวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี เสียแรงไปมากกว่าจะฝืนไม่ให้ตนเข้ามาห้ามปรามได้
ผลคือลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ข้อมือของเด็กหญิงถูกปักจนเป็นรูเล็กๆ ด้วยการกระตุ้นพลังปราณของหานลี่ โลหิตบริสุทธิ์สีแดงสดค่อยๆ ปรากฏขึ้น
หานลี่ขยับนิ้วเล็กน้อย เข็มสีเงินพลิ้วไหวแล้วสลายหายไป กลับมีจานหยกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นแทน
เรียบลื่นไร้ที่ติ วิจิตรงดงามมาก!
หานลี่วางจานหยกลงบนด้านล่างข้อมือของเด็กหญิง ชั่วขณะนั้นโลหิตบริสุทธิ์พลันหยดลงไป
เสียงกระทบดังขึ้น พริบตาที่โลหิตบริสุทธิ์หยดลงในจาน คาดไม่ถึงว่าโลหิตจะกลายเป็นน้ำแข็ง เปล่งเสียงกระทบอันไพเราะออกมา
เมื่อเห็นฉากนี้ยายแก่และพวกก็หน้าเปลี่ยนสี
ใบหน้าของหานลี่กลับเผยสีหน้าเป็นเช่นนี้ดังคาดออกมา เก็บโลหิตบริสุทธิ์และจานหยก ชั่วขณะนั้นฝ่ามือที่กุมแขนของเด็กหญิงอยู่พลันเปล่งแสงเย็นเยียบห้าสีออกมา
ไอสีเขียวกลุ่มนั้นเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางลำแสงเย็นเยียบ ชั่วพริบตาก็จืดจางลง สุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในยามนี้เด็กหญิงพลันส่งเสียงอู้อี้ออกมา แล้วพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างมึนๆ
หานลี่กลับฉีกยิ้ม หลังจากที่ลำแสงเย็นเยียบห้าสีในมือสลายหายไป ก็ปล่อยแขนของเด็กหญิงออก แต่ฝ่ามืออีกข้างกลับยื่นนิ้วชี้ออกมา กดไปที่หน้าผากของเด็กหญิง อาคมสีขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เด็กหญิงที่เพิ่งได้สติ คาดไม่ถึงว่าจะตัวสั่นเทาเล็กน้อย แล้วหลับใหลไปอีกครั้ง
นี่จึงทำให้ทุกคนตกตะลึง!
“ไม่ต้องกังวล พิษเย็นเยียบในร่างของนางเพิ่งจะถูกกำจัด ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ต้องพักผ่อนสักหน่อย เอาละ ข้าดูเสร็จแล้ว ก่อนกลับจะคุยเรื่องอื่นเสียหน่อย” หานลี่อธิบายเล็กน้อย แล้วหยัดกายลุกขึ้นออกเดินโดยไม่สนใจผู้อื่น
แม้ว่าพวกของยายแก่จะรู้สึกงงงวย แต่แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งพลางเดินตามไปติดๆ
ดังนั้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันนั่งลงตำแหน่งเดิมในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ลิ้มรสชาวิญญาณในมือ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอันใดที่ยากจะตัดสิน
คนอื่นๆ เห็นท่าทางจริงจังของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่กล้ารบกวนอันใด ตั้งแต่ยายแก่ไปจนถึงไห่ต้าเซ่าล้วนปิดปากเงียบอย่างเคารพนบน้อม รอให้หานลี่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หานลี่ก็เลิกคิ้ว วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะด้านข้าง ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจอันใดได้
“สหายไป๋ พวกเจ้าเข้าใจพิษเย็นเยียบในตัวของบุตรสาวมากแค่ไหน?” หานลี่มองบุรุษวัยกลางคนพลางเอ่ยถาม
“ชนรุ่นหลังเองก็เคยเชิญชนชั้นสูงให้มาตรวจสอบอย่างละเอียด ว่ากันว่าพิษเย็นเยียบในร่างของกั่วเอ๋อร์นั้นเกิดจากพิษเย็นเยียบจากปอดที่หาได้ยาก แตกต่างจากพิษเย็นเยียบทั่วๆ ไป นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ใช้พลังปราณมหาศาลฝืนกำจัดออกไป ก็มีแค่สมุนไพรอาทิตย์ในตำนานถึงจะถอนพิษเย็นเยียบชนิดนี้ได้” ไป๋ฮั่วจี๋พลันตกตะลึง รับร้อนเอ่ยสิ่งที่รู้ทั้งหมดออกมา
“หึๆ มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้เอ่ยเช่นนี้” หานลี่ได้ยินกลับฉีกยิ้มบางๆ อย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ท่านอาวุโส หรือว่าพิษเย็นเยียบของกั่วเอ๋อร์มีอันใดผิดปกติ?” หญิงสาวได้ยินคำพูดของหานลี่พลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“สหายทั้งสองรู้ว่าในร่างของแม่หนูมีพิษเมื่อใด” หานลี่ไม่ตอบคำถามของหญิงสาว กลับถามย้อนกลับ
“เมื่ออายุเก้าขวบ! ยามที่กั่วเอ๋อร์ฝึกบำเพ็ญเพียรก็เป็นลมไปภายในห้องลับ พวกเขาถึงได้พบพิษเย็นเยียบนี้ ตอนแรกเป็นแค่เส้นไหมที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น พวกเราจึงไม่ได้ใส่ใจ ใช้วิธีการธรรมดาๆ กำจัดพิษนี้ ผลคือกลับทำให้มันรุนแรงขึ้นราวกับราดน้ำมันไปบนกองไฟ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ก็กลายเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่กั่วเอ๋อร์เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน ข้าและใต้เท้าแม่บุญธรรมก็เคยตรวจสอบภายในร่างของนาง และไม่พบความผิดปกติอันใด เดาว่าน่าจะเป็นตระกูลที่คิดแค้นถือโอกาสที่พวกเราไม่ใส่ใจ ลอบทำร้ายกั่วเอ๋อร์ของพวกเรา น่าเสียดายที่หาไม่พบว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือ มิเช่นนั้นผู้แซ่ไป๋ก็ไม่ต้องการชีวิตแล้ว จะต้อง…” บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอ่ย
เด็กหญิงที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเคร่งขรึม เผยท่าทางโกรธแค้นต่อคำว่า ‘ตระกูลที่มีความแค้น’ เหล่านั้นออกมา
“ตระกูลที่มีความแค้น! ไม่ถูก พิษเย็นเยียบมาจากตัวอ่อนในครรภ์ของนางเอง ไม่ใช่ไอเย็นเยียบที่มาจากปอด แต่มีที่มาที่ไป” หานลี่กวาดสายตามองทั้งสองคน แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ผิดแน่ แต่ท่านอาวุโสอธิบายให้ศิษย์ฟังได้หรือไม่ ช่วยแถลงความสงสัยของพวกเราด้วยเจ้าค่ะ” ยายแก่ที่ฟังอยู่ด้านข้าง เอ่ยปากอย่างนอบน้อม
“ไม่มีอันใด แม้สหายไม่กล่าวขอ ข้าน้อยก็จะพูดให้ชัดเจน ความจริงแล้วแม่หนูผู้นี้มี ‘ร่างแก่นน้ำแข็ง’ ในตำนาน ยามเกิดไม่อาจสัมผัสถึงคุณสมบัตินี้ได้ มีแค่ตอนที่อายุเก้าปีถึงได้เกิดสัญลักษณ์ขึ้น แต่ยามที่พิษกำเริบครั้งแรกนั้นรุนแรงมาก ว่ากันว่าผู้ที่มีร่างวิญญาณชนิดนี้ กว่าครึ่งล้วนต้องเพลี่ยงพล้ำในการกำเริบครั้งแรก ดังนั้นแม้ว่าร่างวิญญาณชนิดนี้จะมีบันทึกอยู่ในตำราโบราณอยู่น้อยมาก หากข้าไม่บังเอิญรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงคิดว่าพิษเย็นเยียบในร่างของแม่หนูเป็นแค่ไอเย็นเยียบจากปอดธรรมดาๆ” ในที่สุดหานลี่ก็อธิบายอย่างแช่มช้า
“ร่างแก่นน้ำแข็ง!”
หญิงสาวและบุรุษวัยกลางคนมองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึง ร่างวิญญาณชนิดนี้พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าจึงอดที่จะรู้สึกสงสัย และเอ่ยพึมพำไม่ได้
กลับเป็นยายแก่ที่เคยได้ยินชื่อของร่างแก่นน้ำแข็ง ดวงหน้าที่มีริ้วรอยจึงขยับ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง
ไห่ต้าเซ่าและพวกสองคนย่อมไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ร่างแก่นน้ำแข็ง’ จึงทำได้เพียงมองคนอื่นๆ ด้วยตาเบิกโพลงเท่านั้น
ส่วนหานลี่นั้นหลังจากเอ่ยจบ ก็เทชาลงถ้วยแล้วจิบไปอึกหนึ่ง ท่าทางเหมือนปล่อยให้หญิงสาวและพวกจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่
“ร่างแก่นน้ำแข็ง คาดไม่ถึงว่ากั่วเอ๋อร์จะมีคุณสมบัติเช่นนี้ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นโชคดีในโชคร้ายแล้ว” คาดไม่ถึงว่ายายแก่จะเอ่ยพึมพำออกมาในยามนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านก็รู้จักร่างวิญญาณชนิดนี้หรือ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เคยได้ยินสหายคนหนึ่งเอ่ยถึงร่างวิญญาณให้ฟัง เนื้อหาไม่ต่างอันใดกับที่ท่านอาวุโสหานกล่าวเลยสักนิด แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่ากั่วเอ๋อร์จะมีร่างวิญญาณชนิดนี้ แต่เรื่องนี้จะว่าโชคดีก็โชคดี พูดยากจริงๆ” ยายแก่มองหานลี่แวบหนึ่ง ถึงได้เอ่ยออกมา
“ท่านอาจารย์หมายความว่า…” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเปลี่ยนสี
“ข้าได้ยินสหายกล่าวว่าร่างแก่นน้ำแข็งไม่เพียงจะเริ่มกำเริบเมื่ออายุเก้าขวบ และยิ่งไปกว่านั้นไอเย็นเยียบในร่างจะเพิ่งขึ้นทุกปี ภายใต้สถานการณ์ปกติอายุสิบห้าสิบหกปี เจ้าของร่างก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากอยากมีชีวิตรอดก็มีแค่สองวิธีเท่านั้น” ยายแก่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ สองวิธีใด!” หญิงสาวได้ยินพลันดีใจ แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“วิธีแรกคือเชิญท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์มาใช้พลังปราณกำจัดพิษเย็นเยียบให้ทุกปี จากนั้นก็ใช้จิตวิญญาณเที่ยงแท้ช่วยชำระล้างชีพจรให้นางอย่างไม่เสียดาย หลังจากผ่านไปร้อยปี เจ้าของร่างวิญญาณก็จะคุ้นเคยกับไอเย็นเยียบ ไม่มีอันตรายต่อร่างกายอีก และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากฝึกฝนเพิ่มขึ้น พลังเย็นเยียบก็จะกลายเป็นอิทธิฤทธิ์วิญญาณแก่นน้ำแข็งที่ร้ายกาจ อานุภาพยากจะจินตนาการ” ยายแก่ตอบกลับอย่างลังเล
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ร่างวิญญาณแก่นน้ำแข็งน่าจะเป็นร่างที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถึงจะถูก เหตุใดท่านอาวุโสถึงบอกว่ามันเป็นโชคดีบนโชคร้ายล่ะ” บุรุษวัยกลางคนพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
“นั่นก็เพราะว่าไอเย็นเยียบที่มากับร่างแก่นน้ำแข็ง ไหนเลยจะระงับได้โดยง่าย ทุกๆ ยี่สิบสามสิบปีแรกยังพอว่า ขอแค่เสียเวลาหน่อย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ยังระงับได้โดยง่าย พอถึงยี่สิบสามสิบปีหลังทั้งต้องรับประกันว่าพลังปราณจะไม่ทำร้ายเจ้าของร่างวิญญาณ ยังต้องสลายพิษเย็นเยียบ แทบจะทุกครั้งที่ระงับ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ต้องเสียปราณแท้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงสิบกว่าปีสุดท้าย ความเสียหายไม่ใช่สิ่งที่นั่งสมาธิแล้วจะฟื้นฟูกลับมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดช่วงเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้ใดจะยอมเสียพลังปราณจำนวนมาก ช่วยชำระแก่นให้เจ้าของร่างง่ายๆ ลองคำนวณดูก็ต้องทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ลงมือเสียเวลาฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักไปสองสามร้อยปีแล้ว ความเสียหายเช่นนี้ ท่านอาวุโสผู้ใดจะยอมทำ” ยายแก่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา