A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1786 อรหันต์ว่านกู่

“อรหันต์ว่านกู่ ข้าก็เคยได้ยิน ว่ากันว่าเดิมสหายผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ แต่สร้างสำนักกระดูกขาวขึ้นเมื่อหมื่นปีก่อน จนกลายเป็นปรมาจารย์ตั้งสำนัก อุดมการณ์ไม่น้อยเลย” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

“จะว่าไปแล้ว สำนักกระดูกขาวก็มีอำนาจไม่น้อยในเขตเสวียนอู่ของพวกเรา จัดอยู่ในสิบอันดับสำนักที่ยิ่งใหญ่ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ก้าวมาอยู่ในขั้นนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสว่านกู่แล้ว ใช่แล้ว ท่านอาวุโสว่านกู่พักอยู่ชั้นบนสุดของวังต้อนรับเซียน หากท่านอาวุโสอยากพักชั้นใด ถึงยามนั้นก็บอกกับใต้เท้าที่ดูแลวังต้อนรับเซียนได้เลยขอรับ” ชายร่างใหญ่ตอบกลับอย่างนอบน้อม

ระหว่างที่พูดคุยผู้คุ้มกันอัสนีทั้งสี่ก็พาหานลี่มาถึงประตูใหญ่ของวังหยกขาว ตรงนั้นมีนักรบสวมชุดเกราะสีเขียวยืนเฝ้าอยู่สองสามคน

ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำกระโดดลงจากหมาป่ายักษ์อย่างรีบร้อน เดินไปอยู่ตรงหน้าผู้คุ้มกันคนหนึ่ง แล้วชี้มาที่หานลี่พลันเอ่ยอันใดด้วยเสียงแผ่วเบา

เดิมผู้คุ้มกันชุดเกราะสีเขียวที่มีสีหน้าเย็นชาผู้นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี หลังจากพิจารณาหานลี่ให้ละเอียดสองแวบก็คารวะหานลี่ แล้วรีบร้อนหมุนตัวกลับเข้าไปข้างในประตู

ส่วนชายร่างใหญ่ก็กลับมาอยู่ข้างกายของหานลี่อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า

“ท่านอาวุโสหาน ชนรุ่นหลังและพวกยังมีภารกิจลาดตระเวน คงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก อีกเดี๋ยวใต้เท้าผู้ดูแลวังจะมาต้อนรับท่านอาวุโสด้วยตนเอง ชนรุ่นหลังทั้งสี่คนขอตัวลาก่อนขอรับ”

เอ่ยไปพลางชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนก็ค้อมตัวให้หานลี่เล็กน้อย แล้วเอ่ยคำกล่าวลา

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่ขัดขวาง โบกมือปล่อยให้ผู้คุ้มกันอัสนีทั้งสี่คนจากไป

แทบจะในพริบตาที่ชายร่างใหญ่และพวกหมาป่ายักษ์พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ก็มีคนสองคนเดินออกมาจากด้านใน

คนหนึ่งคือผู้พิทักษ์เกราะนิลที่เพิ่งวิ่งเข้าไปข้างใน อีกคนคือชายชราหน้าขาวสวมชุดคลุมสีเทา ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีแกมเขียว เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นรางๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง

“นี่คือท่านอาวุโสหานสินะ ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาเยือนถึงที่นี่ ชนรุ่นหลังจึงมิได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา” ชายชราก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว แล้วคารวะหานลี่อย่างนอบน้อม

“สหายจง ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทเพียงนั้น ข้าน้อยเดินทางมาไกลย่อมเหนื่อยล้า รีบจัดที่พักให้ข้าเถิด” หลังจากที่หานลี่พิจารณาอีกฝ่ายสองสามแวบ ก็เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ วังต้อนรับเซียนถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว ท่านอาวุโสสามารถย้ายเข้าไปได้ทันที นอกจากชั้นบนสุดที่ถูกท่านอาวุโสว่านกู่พักไปแล้ว และชั้นหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดพักได้ ที่เหลืออีกแปดชั้นก็ยังว่างอยู่ ท่านอาวุโสเลือกได้ตามสะดวกเถิดขอรับ” จงเหมี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้นก็ชั้นห้าก็แล้วกัน ไม่สูงไปและไม่ต่ำไป เหมาะสมกับข้าพอดี” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา

“ขอรับ ข้าจะพาท่านอาวุโสไปดูก่อน ว่ามีอันใดไม่พอใจหรือไม่ ชนรุ่นหลังจะเข้าไปแก้ไขให้ทันที” ชายชราเอ่ยอย่างเอาใจ

หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเข้าไปในชั้นหนึ่งของวังต้อนรับเซียนโดยมีอีกฝ่ายเป็นผู้นำทาง

วังกว้างประมาณสองสามร้อยจั้ง ไม่ว่ากำแพงทั้งสี่หรือว่าพื้นที่เปล่งแสงเรืองรอง ก็สลักไข่มุกราตรีสีขาวขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้ สะท้อนทั้งวังให้สว่างไสว ราวกับวังมังกรของแดนเซียนก็ไม่ปาน

รอบด้านของวังมีโต๊ะเก้าอี้ที่สร้างขึ้นจากหยกขาววางอยู่ แต่ก็มีอยู่ไม่มากนัก แค่วางอยู่ห่างๆ กันตามมุมต่างๆ

ส่วนใจกลางของวังกลับมีเขตอาคมส่งตัวสีเงินอ่อน ขนาดเจ็ดแปดจั้ง

ชายชราเดินเข้าไปในเขตอาคม และพาเข้าไปข้างใน

หานลี่เหยียบเข้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมเดินตามหลังไปติดๆ อย่างไม่ยอมทิ้งห่าง

แม้ว่าทั้งสองคนจะใช้เขตอาคมส่งตัวเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ขลาดกลัวอันใด

ชายชราร่ายอาคมสายหนึ่งใส่เขตอาคมส่งตัว ทั้งเขตอาคมเปล่งแสงสว่างวาบแล้วส่งเสียงอึกทึกขึ้น

ยามนี้จงเหมี่ยมถึงได้พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แผ่นป้ายสีเงินที่วิจิตรงดงามปรากฏขึ้นในมือ

หานลี่กวาดตามองแวบหนึ่ง ก็เห็นแผ่นป้ายด้านหนึ่งสลักสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนเอาไว้ อีกด้านหนึ่งกลับเป็นตัวอักษรเลข ‘ห้า’ สีทองอ่อน

ชายชราสะบัดแผ่นป้ายนี้เบาๆ ลำแสงสีเงินสายหนึ่งบินออกไป จมหายเข้าไปในเขตอาคมด้านล่าง

ครู่ต่อมาทั้งเขตอาคมก็มีแสงสีเงินไหลวนโคจร เงาร่างทั้งสี่คนสลายหายไปพร้อมกัน

แม้ว่าไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อจะหลับตา ก็ยังคงรู้สึกหัวหนักอึ้งเท้าเบาหวิว

เมื่อทั้งสองคนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏขึ้นบนแท่นเรียบๆ

รอบๆ แท่น ด้านหนึ่งคือแปลงปลูกดอกไม้ที่มีทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวไปมาหลายสาย สองฝั่งมีสมุนไพรวิญญาณนิรนามปลูกอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าไปสู่ที่ใด ส่วนอีกด้านกลับเป็นบ่อน้ำสีเขียวมรกตขนาดสองสามหมู่ ด้านในมีมัจฉาวิญญาณห้าสีสันขนาดสองสามฉื่อแหวกว่ายไปมา

สายลมพัดโชยเข้ามา ไอวิญญาณปะทะเข้ากับใบหน้า

ไห่ต้าเซ่าพลันตะลึงงัน ฉับพลันนั้นพลันนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน

เห็นเพียงด้านบนเป็นสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวสองสามกลุ่มกำลังลอยคลอเคลียกันไปมา

แต่ดวงอาทิตย์สองสามดวงที่เดิมน่าจะดำรงอยู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นดวงแสงสีขาวนวลขนาดยักษ์กำลังลอยเปล่งแสงสีขาวอ่อนออกมาแทน

ไห่ต้าเซ่าเห็นแล้วพลันตกตะลึงจนตาค้าง

ชี่หลิงจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าใดนัก กำลังอ้าปากกว้างเช่นกัน ยามนั้นไม่อาจปิดปากให้สนิทได้

“ไม่ต้องดูแล้ว ด้านบนเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น จากระดับพลังของพวกเจ้า มองไม่เห็นกลไกอันใดหรอก” เสียงของหานลี่ดังขึ้นในหูของทั้งสองคน

ทั้งสองคนพลันตกตะลึง แล้วถึงได้สติกลับคืนมา จึงพบว่าหานลี่เดินออกจากเขตอาคมไปยืนมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้

ชายชรานามว่าจงเหมี่ยนที่อยู่ไกลออกไปหน่อย ก็หรี่ตามองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อหน้าแดงก่ำเล็กน้อย รีบเดินออกจากเขตอาคมอย่างขัดเขิน

แต่ทั้งสองคนก็ยังรู้สึกตื่นเต้น ตามหลังหานลี่และมองไปรอบด้านไม่หยุด

เดินผ่านทางเดินสายเล็ก ตำหนักสีเขียวอ่อนแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น แม้ว่าจะไม่เรียกว่ามหึมา แต่ก็สวยสดงดงาม ลวดลายแทบทั้งหมดที่จารึกลงไปล้วนทำขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ

สองฝั่งของตำหนักยังมีลานบ้านแห่งหนึ่งและตำหนักข้างที่ค่อนข้างเล็กอีกหลังหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้สร้างเอาไว้ให้บรรดาเหล่าลูกศิษย์พักอาศัย

สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ถูกล้อมเอาไว้ด้วยไผ่สีเขียวชอุ่ม ศาลาเหล่านั้นปรากฏขึ้นรางๆ ในสายตาของพวกเขา

ช่างเป็นทัศนียภาพที่น่าหลงใหลนัก

ผู้ใดจะคิดได้ว่าดินแดนที่เหมือนกันแดนเซียนจะอยู่ในวังขนาดยักษ์ชั้นหนึ่งเท่านั้น

“ทุกชั้นของวังต้อนรับเซียนล้วนถูกจัดวางเช่นนี้หรือ?” หานลี่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตำหนัก พลางพิจารณารอบด้าน แล้วพลันเอ่ยถามชายชราอย่างสบายอารมณ์

“หึๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ขอรับ ทุกชั้นของวังต้อนรับเซียนล้วนจัดวางไม่เหมือนกัน เพื่อไม่ให้ท่านอาวุโสไม่พอใจ และจะได้เปลี่ยนแปลงได้ หากท่านอาวุโสหานคิดว่าไม่ดี ชนรุ่นหลังจะให้ท่านอาวุโสเลือกชั้นอื่นทันที” จงเหมี่ยนตอบอย่างไม่ต้องขบคิด

“ไม่จำเป็นหรอก ชั้นนี้นับว่าไม่เลว ข้าค่อนข้างพอใจ พักที่นี่เถิด” หานลี่โบกมือแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“ในเมื่อท่านอาวุโสคิดว่าพอได้ แผ่นป้ายต้องห้ามนี้ก็มอบให้ท่านอาวุโสก็แล้วกันขอรับ เพราะว่าทุกชั้นมีเขตอาคมที่ไม่เหมือนกัน และทุกชั้นจะมีแผ่นป้ายแค่แผ่นเดียว ดังนั้นหลังจากที่งานชุมนุมจบลง หวังว่าท่านอาวุโสจะนำมาส่งคืน” ชายชราได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา และใช้สองมือส่งแผ่นป้ายสีเงินมาให้

หานลี่รับแผ่นป้ายมาแล้วพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าเข้าใจแล้ว

จากนี้ชายชราก็ขอตัวลาไปอย่างรู้จักวางตัว

ที่นี่จึงเหลือเพียงหานลี่และพวกไห่ต้าเซ่า

“เจ้าสองคนพักที่นี่ในยามที่งานชุมนุมจัดขึ้นเถิด ลานบ้านเหล่านั้นเลือกพักได้ตามสบาย ข้าจะไปพักผ่อน มีเรื่องอันใดค่อยคุยกันพรุ่งนี้” หานลี่ออกคำสั่งกับทั้งสองคน

“ขอรับท่านอาวุโส!”

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อพลันตอบรับอย่างนอบน้อม

จากนั้นทั้งสองก็ปกปิดสีหน้าตื่นเต้นดีใจไม่ไหว พากันเดินไปยังสิ่งปลูกสร้างด้านข้างตำหนัก และได้ยินเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของทั้งสองคนดังแว่วมา

หานลี่สะบัดศีรษะ หันกายเดินเข้าไปในตำหนักหลัก และหาห้องที่เงียบสงบนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียร

เช้าวันที่สองหานลี่กำลังหลับตาทำสมาธิอยู่บนฟูก ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบอยู่บนผิวกาย ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

ครู่ต่อมาเปลวเพลิงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากประตูไม้ เปล่งแสงสว่างวาบ มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่

แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ยื่นนิ้วชี้ออกไปโดยไม่พูดไม่จา ชี้ไปที่เปลวเพลิงสีขาวอย่างแผ่วเบา

เสียง “ปัง” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีขาวระเบิดออกกลายเป็นสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเสียงหนึ่งก็ดังก้องไปมาภายในห้อง

“ตาเฒ่าว่านกู่ คารวะสหายหาน ได้ยินว่าสหายเข้ามาพักในวังต้อนรับเซียนเมื่อวาน หากไม่รังเกียจ ก็มาพูดคุยที่ๆ พักของตาเฒ่าเถิด!”

เสียงแก่ชราเป็นอย่างมาก และเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่หลังจากเอ่ยแค่สองสามประโยค ก็เงียบเสียงไปทันที

“อรหันต์ว่านกู่!” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วกลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หยัดกายลุกขึ้นเดินออกมาจากห้อง

เมื่อเงาร่างของหานลี่ปรากฏตัวขึ้นในตำหนัก ก็มองไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อด้วยความตกตะลึง

ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมานานแค่ไหนแล้ว กำลังยืนพูดคุยอันใดกับสักอย่างอยู่ตรงมุม

เมื่อเห็นหานลี่ปรากฏตัว พวกเขาก็เข้ามาคารวะทันที

“ลุกขึ้นเถิด เจ้าสองคนไม่พักผ่อนอยู่ในที่พักให้มากสักหน่อย จะวิ่งมาทำอันใดที่นี่” หานลี่โบกมือ แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ

“ท่านอาวุโสหาน ท่านจะไปที่ย่านร้านค้าภายนอกหรือไม่ ชนรุ่นหลังย่อมจะตามไปรับใช้ขอรับ” หลังจากที่ชี่หลิงจื่อหยัดกายลุกขึ้น ก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา

“ใช่แล้ว แม้ว่าเราสองคนจะไม่อาจทำเรื่องใหญ่ๆ ให้ท่านอาวุโสได้ แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการส่งของส่งสารย่อมทำได้” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยอย่างจริงใจเช่นกัน

“หึๆ ผู้ใดบอกว่าข้าจะไปย่านร้านค้าวันนี้” หานลี่ฉีกยิ้มออกมา

“เช่นนั้นวันนี้ท่านอาวุโส…” ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อได้ยินก็อดที่จะเผยสีหน้าผิดหวังออกมาไม่ได้

“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความอันใด อยากออกไปเปิดโลกที่ย่านร้านค้าสินะ แต่ของในย่านร้านค้าเหล่านี้ ไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการทั้งหมด ดังนั้นในสถานการณ์ปกติข้าจะไปเอง แต่ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงชุมนุมกันอยู่มาก พวกเจ้าไปหาประสบการณ์ในย่านร้านค้าสักหน่อยก็ไม่เลว อีกเดี๋ยวข้าจะไปคารวะอรหันต์ว่านกู่ที่สำนักกระดูกขาว จึงไม่สะดวกที่จะพาพวกเจ้าไปด้วย ข้าจะใช้แผ่นป้ายส่งพวกเจ้าออกไปก่อนก็แล้วกัน รอยามเย็นค่อยกลับมาก็ได้แล้ว” หานลี่เอ่ยไปพลางฟื้นฟูสีหน้ากลับมาราบเรียบไปพลาง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset