หลังจากที่หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าเสียดาย
สติของบุรุษและสตรีตระกูลหล่งคู่นี้ถูกเคล็ดวิชาลับทำอันใดแปลกๆ เอาไว้
ปกติแล้วเผ่าส่วนใหญ่จะทำเช่นนี้กับศิษย์ที่เป็นแกนหลัก เพื่อไม่ให้ศิษย์ตกอยู่เงื้อมมือของคนอื่นๆ แล้วแพร่งพรายความลับออกมา
ทว่าเรื่องของฮูหยินผู้นั้นกลับไม่ใช่ความลับอันใด หานลี่ย่อมรู้ข่าวได้อย่างง่ายดาย
ไม่นานมานี้มีฮูหยินที่ไห่ต้าเซ่าอธิบายพาคนที่เหลืออีกสามคนที่นี่จริง และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่พูดคุยกับผู้นำตระกูลหล่งแล้ว ก็ถูกพาไปพักผ่อน
และในสามคนที่เหลือ หนึ่งในนั้นก็คือชี่หลิงจื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่ายามนี้พวกเขาอยู่ที่ใด บุรุษและสตรีผู้นี้กลับไม่รู้
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังทั้งสองคนที่หลับใหลไม่ได้สติ ฉับพลันนั้นก็แตะเท้าข้างหนึ่งลงกับพื้น
ลำแสงสีเหลืองแผ่ออกมา หลุมความลึกสองสามจั้งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
สะบัดแขนเสื้อหมอกสีเขียวม้วนวนออกมา ม้วนเอาบุรุษและสตรีคู่นั้นเอาไว้ แล้วส่งเข้าไปในหลุมอย่างง่ายดาย
จากนั้นเขาก็ใช้มือหนึ่งร่ายคาถา ชี้ไปที่หลุมนั้นเบาๆ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นในหลุม หลังจากกะพริบวาบหลุมขนาดใหญ่ก็หายวับไป พื้นดินเปลี่ยนเป็นเรียบเนียนดังเดิม ไม่มีร่องรอยอื่นเลยสักนิด
หานลี่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกป่า
เห็นเพียงชั้นหนึ่งเหมือนกับที่พักของเขาทุกระเบียบนิ้ว
คาดไม่ถึงว่าด้านนอกป่าจะมีหมอกสีขาวโพลน ด้านในมีกำแพงเมืองปรากฏขึ้นรางๆ
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ร่างกายพลิ้วไหว เงาร่างคนที่เดิมปรากฏขึ้นถูกหมอกสีเทาปกคลุมเอาไว้
หมอกเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลึกลับมา เมื่อสัมผัสกับลำแสงสีเทา กลับมีส่วนหนึ่งที่ผสมเข้ามาด้านใน
ร่างของหานลี่จึงรางเลือนยากจะแยกแยะ
หานลี่ก้าวไปข้างหน้าร้อยจั้งเศษ เบื้องหน้าก็เปล่งประกายมาถึงขอบของม่านหมอก
ไม่ไกลนักมีป้อมสีทองอ่อนถูกล้อมเอาไว้ด้วยกำแพงสูงสิบจั้งเศษ
ในป้อมมีผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดสีขาว บ้างก็สะพายกระบี่บ้างก็สะพายดาบยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนด้านในกำแพงเมืองก็เห็นหอคอยทั้งหมดเรียงติดกันอยู่รางๆ ตรงกลางสุดกลับเป็นหอคอยยักษ์สีทองสูงสองสามร้อยจั้งตั้งตระหง่านอยู่
หานลี่กลับไม่หวาดกลัวว่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งเหล่านั้นจะมองเห็นตนเอง สายตาจ้องเขม็งไปที่หอคอยยักษ์สีทองสองแวบ
จากข่าวคราวที่ได้รับจากบุรุษและสตรีตระกูลหล่ง บรรพชนตระกูลหล่งระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายผู้นั้นและอาวุโสระดับหลอมสุญตาคนอื่นๆ พักอยู่ที่นั่น ทว่าบรรพชนตระกูลหล่งผู้นั้นประมูลแผนภาพสำเภาสงครามค้ำฟ้าไปก็เรียนเชิญปรมาจารย์ด้านหลอมอาวุธและเขตอาคมในเผ่ามาทันทีและเริ่มเรียนรู้แผนภาพนั้นโดยไม่ออกมาด้านนอกแม้แต่ก้าวเดียว
ส่วนอาวุโสใหญ่ระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งดูเหมือนจะมีธุระจึงออกไปข้างนอก เช่นนี้ก็ทำให้อันตรายที่จะถูกเปิดเผยตัวลดลงแล้ว
ขอแค่บรรพชนตระกูลหล่งผู้นั้นไม่ใช้จิตสัมผัสกวาดทั้งป้อมอย่างไม่มีสาเหตุเขาก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกผู้อื่นพบง่ายๆ
เมื่อขบคิดเช่นนั้นหานลี่ก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเลอีก ผิวเปล่งแสงสีดำหมุนวนไปมาร่างทั้งร่างบินออกมาจากม่านหมอกแล้วลอยไปที่กำแพงเมือง
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีสายลมอ่อนๆ พัดมาจึงหันไปมองรอบๆ ด้านแล้วแผ่จิตสัมผัสออกมา แต่กลับไม่พบอันใด
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวผู้นี้มีสีหน้าฉงนฉายแวบผ่านแต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะและกลับมาอยู่ในท่วงท่าเดิม
เขาย่อมไม่รู้ว่าคนนอกเพิ่งจะลอยผ่านเขาเข้าไปด้านใน และสองเท้ากำลังเหยียบอยู่บนถนนสีขาวบริสุทธิ์
แต่สิ่งที่แปลกก็คือเวลาต่อจากนี้เขากลับหลับตาทั้งสองข้างลงสัมผัสอันใดสักอย่างอยู่บนถนน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เขากลับลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและใช้เสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“คาดไม่ถึงว่าจะตัดจิตสัมผัสออก! ดูแล้วคงมีคนอื่นช่วยปกปิด เช่นนั้นก็มีแต่ต้องค่อยๆ หาแล้ว โชคดีที่ที่นี่ไม่ใหญ่นัก สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาก็มีแค่คนเหล่านี้เดี๋ยวก็หาพบ”
สิ้นเสียงร่างกายของเขาก็ขยับกลายเป็นพายุไร้รูปร่างกระโจนไปที่สิ่งปลูกสร้างใกล้ๆ แล้วจมหายเข้าไปในศาลาแห่งหนึ่งอย่างไร้เงา
แทบจะในเวลาเดียวกันในหอคอยแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากหานลี่ ฮูหยินชราและพวกกำลังอยู่ในห้องแห่งหนึ่งพร้อมกับชายชราชุดสีม่วงที่มีหน้าตาอันตรายอย่างยิ่งคนหนึ่ง
ส่วนชายชราสวมชุดสีม่วงผู้นั้นก็เพิ่งเอาแผ่นหยกรูปทรงจันทรามาห้อยที่คอของนักพรตน้อยแล้วเอ่ยกับฮูหยินชราอย่างราบเรียบว่า
“หยกจันทราผนึกจิตมีประสิทธิภาพในการตัดจิตสัมผัสขอแค่คนผู้นั้นไม่ได้อยู่ใกล้แค่คืบก็ไม่อาจหานักพรตน้อยพบ เช่นนี้พวกเจ้าก็ปลอดภัยแล้ว”
“ขอบพระคุณท่านพี่ที่ช่วยเหลือ!” ฮูหยินชราคารวะชายชราชุดสีม่วงอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
ชายชราคิ้วดำที่อยู่ด้านข้างก็มีใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด กลับเป็นชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมที่ยืนอยู่ด้านข้างที่ยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบเอาไว้ได้
“พวกเจ้าสองสามีช่างอาจหาญซะจริง คาดไม่ถึงว่าจะกล้าไปล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ หากไม่เห็นแก่โลหิตมังกรเที่ยงแท้ที่ถูกกระตุ้นของหมิงเอ๋อร์ ข้าไม่มีทางรับพวกเจ้าไว้แน่ แม้ว่าจะเป็นน้องสาวของข้าแต่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่ท่านพ่อจะออกจากการกักตนเรียนรู้แผนภาพสำเภาสงครามนั้น พวกเจ้าก็ไม่อาจลงมือกับนักพรตน้อยผู้นี้ได้ แม้ว่าข้าจะรู้สึกว่าไม่มีปัญหา แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความแค้นกับตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ ต้องถามความเห็นท่านพ่อก่อน หากพวกเจ้ากล้าลงมือลำพังอย่ามาโทษว่าข้าไม่ปรานี” ชายชราชุดสีม่วงมีสีหน้าเข้มงวดขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าก็ไม่ได้พบท่านพ่อมาหลายปี ครั้งนี้อยากพบหน้าท่านพ่ออีกครั้ง นอกจากนี้เคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าข้าและสามีคงไม่อาจข้ามไปได้ถึงยามนั้นก็มีแต่ต้องฝากลูกน้อยไว้กับท่านพี่แล้ว โชคดีที่หมิงเอ๋อร์มีแค่อาการป่วย นอกเหนือจากนั้นคุณสมบัติไม่ได้แย่ไปกว่าศิษย์ตระกูลหล่งคนอื่นๆ น่าจะไม่เป็นการดูถูกชื่อเสียงของตระกูลหล่ง” ฮูหยินชรามีสีหน้ามืดมนฝืนยิ้มขณะเอ่ย
“อือ เรื่องของหมิงเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเอง ส่วนเรื่องท่านพ่อเกรงว่าคงไม่ได้ เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าการไม่ฟังกฏของตระกูลแล้วดึงดันแต่งงานออกไปเดิมก็นับว่าไม่ใช่คนของตระกูลหล่งแล้ว นอกจากนี้เคล็ดวิชาที่ท่านพ่อฝึกบำเพ็ญเพียรก็เป็นอิทธิฤทธิ์ไร้ปรานีที่มีชื่อเสียง คงไม่มีทางพบหน้าเจ้าอีก หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้วก็ให้หมิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ เจ้าสองคนก็ไปซะ” ชายชราชุดสีม่วงสั่นศีรษะอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เมื่อได้ยินชายชราชุดสีม่วงเอ่ยเช่นนี้ ฮูหยินชราพลันรู้สึกผิดหวัง!
นางมีสีหน้าดูไม่ได้และยังคิดจะเอ่ยวิงวอนแต่ชายชราชุดสีม่วงกลับโบกมือแล้วออกจากห้องไป
ชั่วพริบตาก็เหลือเพียงครอบครัวของฮูหยินชราและนักพรตน้อยชี่หลิงจื่อ
“ดูแล้วพวกเราคงต้องทำตามที่เขาบอก ท่านพี่ท่านเอานักพรตน้อยไปไว้ในห้องลับที่ชั้นหนึ่งเถิด” ฮูหยินชรามีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้เอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“ฮูหยินไม่ต้องกังวล ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ! ท่านพี่ของเจ้าไม่ได้ปฏิเสธพวกเราเพราะต้องเกี่ยวพันกับตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ก็นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายแล้ว” ชายชราคิ้วดำกลับหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยอย่างชักจูง
“ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไรเจ้าไม่ต้องพูดอันใดแล้ว! รีบพาเจ้านักพรตน้อยไปซะ” เห็นได้ชัดว่าฮูหยินชราไม่สนใจคำพูดของชายชราคิ้วดำ แค่โบกมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชายชราคิ้วดำถอนหายใจออกมาทำได้เพียงปิดปากเดินไปหาชี่หลิงจื่อ
“เด็กเอ๋ย ให้เจ้ารักษาอาวุธที่สืบทอดมาสักสองสามวันก็แล้วกัน อีกไม่นานอาวุธที่สืบทอดมาก็ต้องเป็นของหมิงเอ๋อร์ของข้า ถึงเวลานั้นผู้ใดก็ไม่อาจห้ามปรามได้” ชายชราเอ่ยพึมพำแล้วใช้มือหนึ่งพลิกฝ่ามือระฆังสีเขียวปรากฏขึ้น
ชี่หลิงจื่อที่ถูกเคล็ดวิชาลับสำแดงใส่ย่อมยืนอยู่ที่เดิมนิ่งราวกับมองไม่เห็น
มองเห็นชายชราโบกระฆังในมือฉับพลันนั้นเสียงบุรุษอันราบเรียบก็ดังก้องในห้อง
“ผู้ใดก็ไม่อาจห้ามปรามได้? หากข้าจะห้ามปรามแล้วจะเป็นอย่างไร?”
“แย่แล้วคนผู้นั้นมาแล้ว!”
ชั่วขณะนั้นชายชราคิ้วดำพลันร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง แทบจะโยนระฆังในมือออกไปโดยไม่ต้องครุ่นคิด กลายเป็นระฆังยักษ์ห่อหุ้มลงมาหมายจะกักชี่หลิงจื่อเอาไว้
ฮูหยินชราที่อยู่ด้านข้างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองไม่เชื่องช้า หลังจากหน้าเปลี่ยนสีก็สะบัดแขนเสื้อชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำสองสายก็พุ่งออกมาพร้อมกัน
สายหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีดำม้วนไปทางชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม และเปล่งแสงสว่างวาบพาไปอยู่ข้างกายฮูหยินชรา
อีกสายหนึ่งม้วนวนเริงระบำกลายเป็นงูเหลือมสีดำเขาเดียวพ่นดอกบัวสีดำออกมาคุ้มครองฮูหยินชราและชายหนุ่มเอาไว้
ส่วนฮูหยินชราเองก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนระเบิดเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา
แต่ผลลัพธ์ของการกระทำเช่นนี้ของนางกลับเป็นแค่เสียงหัวเราะอย่างเย็นชา
ด้านบนระฆังที่กลายเป็นระฆังยักษ์มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นกำปั้นสีทองขนปุกปุยปรากฏขึ้นกลางอากาศและโจมตีไปที่ระฆังยักษ์
เสียง “เคร้ง” ดังสนั่นขึ้น
อักขระสีเขียวบนผิวของระฆังยักษ์หมุนวนถูกโจมตีจนแตกสลายออกราวกับดินโคลนกลายเป็นลำแสงสีเขียวสลายหายไป
จากนั้นกำปั้นสีทองก็พลิกฝ่ามือตบไปทางชายชราคิ้วดำ
ดูเหมือนเบาบางราวกับไม่มีพลัง แต่เมื่อปะทะกับชายชราคิ้วดำกลับส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา ร่างกายกระเด็นลอยออกไปราวกับถุงป่าน
แทบจะในเวลาเดียวกันมือที่มีขนสีทองอีกข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฮูหยินชราและตะปบออกไปอย่างรวดเร็ว
เสียง “แคว่ก” ดังขึ้น ดอกบัวสีดำตรงหน้าฮูหยินชรารวมทั้งลำแสงที่ห่อหุ้มร่างถูกฉีกออก มือยักษ์ขนสีทองตะปบไปที่คอหอยของฮูหยินชราและยกขึ้นจนสองเท้าลอยขึ้นจากพื้น
ฮูหยินชราค้อนสายตา ปากที่เปล่งเสียงร้องแหลมสูงอยู่พลันหยุดลง