“ถึงแม้ไม่กล้ายืนยัน แต่ข้าก็พอเดาได้สักเจ็ดแปดส่วน นอกเสียจากไม่กี่คนเหล่านั้นแล้ว จะมีใครที่มีอำนาจถึงขนาดนี้และมีญานรอบรู้ถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำเนื้อหาด้านในของตำราหยกหอทองนั้น ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะครอบครองได้” ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะอย่างเยือกเย็นเช่นกัน
ชายหนุ่มหนวดยาวรุงรังได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูแปรปรวน สักพักใหญ่ถึงได้แค่นเสียงพูดออกมา
“สหายเข้าใจตัวเองก็ดีแล้ว แล้วจะสนใจตัวตนที่แท้จริงของข้าไปเพื่ออะไรกัน ขอแค่รู้ว่าข้าคือคนผู้เดียวที่สามารถช่วยเจ้าฝึกอาคมค้านสวรรค์ให้สำเร็จได้ก็พอ สิ่งที่ข้าเรียกร้อง มีเพียงให้เจ้าหลังจากฝึกสำเร็จแล้ว ช่วยข้าให้ผ่านพ้นเคราะห์สวรรค์ที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ก็พอ”
“เรื่องการร่วมผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายของพวกเราทั้งสองคน ขอเพียงข้าสามารถสำเร็จร่างวิญญาณเที่ยแท้ได้ ก็สามารถคุ้มครองชีวิตเจ้าได้แน่นอน เพียงแต่ข้าในตอนนี้เข้าสู่จุดสุดยอดของช่วงระดับหลอมสุญตาแล้ว เมื่อได้สูดเอาไอหยินจากกำแพงดำมืดนี้แล้ว ก็ต้องหาสักที่เพื่อสามารถทะลุจุดขอควดสู่ระดับผสานอินทรีย์ หากอาคมย้อนวิญญาณนี้จะมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้จริง การเลื่อนขั้นผสานอินทรีย์ก็คงไม่ใช่ปัญหา ไว้ถึงตอนนั้นข้าก็สามารถเข้าออกดินแดนรกร้างได้เพียงลำพัง เพื่อจะได้สังหารสัตว์อสูรโบราณธาตุเย็นเหล่านั้นโดยเฉพาะ กลืนกินดวงมารของพวกมัน และหาดินแดนที่สุดแห่งความเยือกเย็น ดูดซับเอาไอแห่งหยิน ถ้าเป็นเช่นนี้ ภายในเวลาพันปี ก็จะสามารถฝึกบำเพ็ญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สามารถบรรลุสู่ระดับผสานอินทรีย์ช่วงปลายได้ในอึดใจเดียว ไว้ถึงตอนนั้น ค่อยเตรียมเป็นร่างวิญญาณแท้” ชายหนุ่มในชุดขาวตอบเสียงทุ้ม
“สหายรู้ก็ดี! หากไม่ใช่เกิดการชิงมาร แล้วข้าจำเป็นต้องอยู่เตรียมตัวที่เผ่าของข้า ที่จริงแล้วข้าอยากจะเข้าไปในดินแดนรกร้างนั้นสักครั้งพร้อมกับสหาย แต่สหายหกปีกหากขึ้นสู่ขั้นผสานอินทรีย์แล้ว อีกทั้งยังได้รอบรู้ซึ่งอาคมย้อนวิญญาณ ขอเพียงไม่ไปมีเรื่องกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานเผาอื่น ก็คงพอที่จะไปไหนมาไหนในดินแดนรกร้าง” ชายหนุ่มหนวดเครารุงรังสีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ดินแดนเฟิงหยวนใหญ่โตถึงเพียงนี้ สัตว์อสูรโบราณธาตุเย็นที่ควรมีก็มีทั้งสิ้น ข้าได้แปลงร่างปัญญาวิญญาณแล้ว คงจะไม่เบาปัญญาถึงกลับไปหาเรื่องเผ่าอื่นที่แข็งแกร่งเหล่านั้นหรอก” ชายหนุ่มชุดขาวพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ แล้วไม่ได้พูดอะไรใดๆ ต่ออีก
ชายฉกรรจ์หนวดเฟิ้มเห็นอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ และไม่ได้มีความคิดที่จะพูดอะไรต่อเช่นกัน มีเพียงสายตาที่เคลื่อนไหว ดูราวกับมีความคิดอะไรซ่อนอยู่
พายุทรายสีเหลืองค่อยๆหมุนม้วนมาจากที่ไกล ชั่วครู่เดียว ก็ท่วมท้นทุกสิ่งทุกอย่างจมมิด….
เวลาผ่านไปสองเดือน
หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีเขียวตัวหนึ่ง คลึงจอกสุราสีทองที่งดงามประณีตในมือเล่น สีหน้าสงบนิ่ง ข้างกายเขามีประมุขตระกูลกู่นั่งอยู่ นั่นคือเซียนเสี่ยวเฟิง
ผู้อาวุโสเซียวคนนั้นนั่งอีกด้านหนึ่งติดอยู่กับหญิงสาว เหมือนตั้งใจจะให้อีกฝ่ายเป็นผู้บัญชาการ
เหล่าลูกศิษย์ระดับก่อกำเนิดที่บรรลุสู่ความเป็นเทพของตระกูลกู่ ยืนเรียงกันเป็นหลายแถวด้านหลังพวกเขาทั้งสาม ต่างสีหน้าเจือด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม
ที่ที่อยู่ตรงหน้าพอดีกับฝั่งตรงข้ามซึ่งตระกูลกู่อยู่ ก็คือแท่นหินขนาดมาทรงกลมอันหนึ่ง เป็นทรงกลม บนผืนใช้ศิลาสีครามขนาดยักษ์หลายก้อนก่อขึ้น แต่ดูเหมือนจะคล้ำไปบ้าง ราวกับผ่านกาลเวลามานาน
และด้านข้างของแท่นหินมีธงสูงใหญ่สีสันหน้าตาหลากหลายเรียงตระหง่านกันอยู่หลายเสา ปล่อยประกายแสงออกมาเป็นชั้นๆ ปกคลุมลานแสงไว้ชั้นหนึ่ง ครอบคบุมแสงขนาดยักษ์ซึ่งสูงกว่าร้อยจั้ง
ทั้งสี่ทิศ ก็คือผู้คนที่มารวมตัวกันเหมือนกับคนตระกูลกู่ ที่มีจำนวนมากก็สองสามร้อยคน ที่มีจำนวนน้อยมีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น
ผู้คนเหล่านี้มีถึงสามสี่สิบด้าน
ผูบําเพ็ญเพียรตระกูลกู่ ถือเป็นจำนวนน้อยท่ามกลางฝูงชนเหล่านี้ แต่กลับเข้าแถวอยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ใกล้สุดกับด้านในวงล้อมขนาดใหญ่พร้อมกับอีกสี่กลุ่ม
เมื่อมองไกลออกไปด้านหลังฝูงชนเหล่านี้ ก็จะสามารถเห็นกำแพงหินสูงตระหง่านราวกับหน้าผาขนาดมหึมาจำนวนหนึ่งอยู่รำไร รวมไปถึงเงาของสิ่งปลูกสร้างขนาดสูงใหญ่ที่สร้างอยู่อิงแอบกับกำแพงหินเหล่านั้น
ที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาขนาดยักษ์ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาทั่วทุกทิศ
หานลี่ปรากฏตัวยังที่แห่งนี้ แท่นศิลาหินขนาดยักษ์ที่อยู่กลางหุบเขานั้น ก็คือแท่นหมื่นวิญญาณที่ตระกูลยิ่งใหญ่วิญญาณเที่ยงแท้ทั้งหมดของทั้งสามดินแดนจะมารวมตัวกันทุกสามปี
ตระกูลกู่ในฐานะอันดับที่ห้าของครั้งก่อน ถูกจัดเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่วิญญาณเที่ยงแท้ทั้งห้า ย่อมมีสิทธิที่จะอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับแท่นหมื่นวิญญาณที่สุด ทำให้ตระกูลวิญญาณแท้ขนาดเล็กและกลางจำนวนไม่น้อยคอยมองด้วยสายตารู้สึกอิจฉาและริษยา
อย่างไรเสียตระกูลที่สามารถเข้าอยู่ในรายชื่อห้าตระกูลแรก ไม่ได้หมายถึงเพียงสถานะและชื่อเสียง แต่หมายถึงผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่อันสวยงาม
ไม่เพียงแค่นั้น เห็นได้ชัดว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลระดับกลางจำนวนหนึ่ง สายตาที่มองไปยังตระกูลกู่ แฝงไปด้วยความขุ่นเคืองและประหลาดใจ
คนจำนวนมากถึงเพียงนี้มารวมตัวรายล้อมแท่นหิน แต่กลับสงบเงียบวังเวง ราวกับกำลังรออะไรบางสิ่งอยู่
หานลี่ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ได้ชะเง้อหน้ามอง แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มีสายตาอย่างน้อยสิบคู่ที่มองคะเนมายังเขา ในจำนวนเหล่านั้นมีสายตาอยู่สองสามคู่ที่แฝงด้วยจิตสัมผัส ท่าทางบังอาจโอหัง
นี่ก็ไม่ได้แปลกอะไร!
เดิมที “เทพเทียนหลี” ประมุขอาวุโสสูงสุดผู้นั้นของตระกูลกู่ซึ่งควรปรากฏตัวไม่ได้เข้าร่วมพิธีวิญญาณเที่ยงแท้อันสำคัญเช่นนี้ แต่กลับเป็นหานลี่อาคันตุกะที่มาชั่วคราวซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาเป็นตัวช่วยผู้นี้ที่มาปรากฏตัวยังที่แห่งนี้
ย่อมดึงดูดความสนใจของตระกูลอื่นอยู่แล้ว
ในตอนแรก หานลี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการประเมินคาดคะเนของคนเหล่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานถึงเพียงนี้ ผู้คนเหล่านี้กลับไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เห็นได้ชัดว่ามีความรู้สึกต้องการท้าทาย
เซียนเสี่ยวเฟิงที่อยู่ด้านข้างเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้ สีหน้าค่อยๆ ดูเพิ่งตื่นขึ้นมา
หานลี่แอบทอดถอนใจ สีหน้าทันใดนั้นก็บึ้งตึง จอกสุราสีทองในมือสั่น แล้วกลายเป็นฝุ่นผงสีทองโดยไม่มีเค้าลางอะไรมาก่อน หายวับไประหว่างนิ้วไม่เหลือร่องรอย
พร้อมกันนั้นเอง ภายนอกร่างกายของเขาก็มีประกายไฟสีเงินส่องกะพริบชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น วินาทีที่สายตาอันเต็มไปด้วยความปรารถนาร้ายนั้นได้สัมผัสกับเปลวไฟสีเงิน ก็รีบละถอยไปด้วยความตื่นตกใจราวกับพบอสรพิษ
ในเวลานั้นเอง หานลี่กลับเงยหน้าขึ้น กวาดมองตามสายตาเหล่านั้นไปอย่างเยือกเย็น
ผู้คนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ในระดับผสานอินทรีย์
สองคนในนั้นคือคนจากตระกูลใหญ่ทั้งห้าที่อยู่ใกล้แท่นหมื่นวิญญาณที่สุดเหมือนกับตระกูลกู่ อีกสามคนที่เหลือ กลับเป็นคนจากตระกูลระดับกลางที่อยู่กลางวงล้อมด้านหลัง
ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สามคนจากตระกูลระดับกลาง เพียงแค่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ช่วงต้นเช่นเดียวกับเขา คงเป็นเพราะเห็นว่าเทพเทียนหลีผู้ซึ่งอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางผู้นั้นไม่ได้มาร่วมพิธี จึงได้มีความคิดร้ายขึ้นมา
สองคนจากห้าตระกูลวิญญาณแท้ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน มีคนหนึ่งก็คือผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลเฟิงซึ่งเซียนเสี่ยวเฟิงได้เตือนเป็นพิเศษในตอนแรก เป็นชายแก่รูปหน้ายาวระดับผสานอินทรีย์ช่วงกลาง
เขาสวมชุดสีเขียว ในมือยังถือไม้เท้าสีดำมืดหนึ่งด้าม ขยับแววตามืดมนมองมายังหานลี่
ตระกูลเฟิงได้อันดับที่สี่ในการจัดลำดับตระกูลวิญญาณแท้ครั้งก่อน มีความแค้นกับตระกูลกู่อยู่บ้าง
ผู้อาวุโสคนนี้เมื่อครู่มองคะเนแค่ชั่วคราวของตระกูลกู่ผู้นี้ ก็ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรมากมาย
ส่วนอีกคนหนึ่ง กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งที่ถูกขนานนามว่าเป็นตระกูลวิญญาณอันดับหนึ่ง
แต่ถ้าว่าเมื่อครู่คนที่มองมายังหานลี่ด้วยสายตามุ่งร้าย กลับไม่ใช่ประมุขอาวุโสของตระกูลหล่งผู้นั้น แต่เป็นชายในชุดสีดำผู้หนึ่งที่นั่งติดอยู่ด้านข้าง และเป็นระดับผสานอินทรีย์ช่วงกลางคนหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าแดงระเรื่อ บนหน้าผากมีรอยแผลเป็นสีม่วงคล้ำรอยหนึ่ง หน้าตาดูโหดเหี้ยมอย่างมาก
คนผู้นี้เป็นแค่อาวุโสของท่านผู้อาวุโสสูงสุดอีกคนหนึ่งซึ่งตระกูลหล่งเพิ่งจะดึงมาเป็นพวกเมื่อไม่นานมานี้ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ฮุยผู้ซึ่งเล่าลือกันว่าฝึกฝนวิชาขั้นสุดยอดของวิถีมาร “ยันต์แสงคราม” และมีระดับการบำเพ็ญขั้นผสานอินทรีย์ช่วงกลางเช่นกัน
แต่ประมุขอาวุโสตระกูลหล่งผู้นั้น นับแต่พาเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งมานั่งเรียงด้านหน้าแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลงพักสายตาอยู่ตลอด ไม่รู้ว่ากำลังแอบคิดอะไรอยู่
แต่ถ้าว่าเมื่อสายตาของหานลี่กวาดมองไปกลางผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งแล้ว นอกจากชายในชุดสีดำผู้นั้นที่มองมาด้วยสายตาอันดุดันแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
หานลี่สีหน้าเปลี่ยน ดวงตาทั้งสองจ้องนิ่งไปยังคนผู้นั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าดูราวจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังประมุขอาวุโสของตระกูลหล่งผู้นี้ บนมุมปากมีหูดเลือดสีแดงสดเม็ดหนึ่ง เขาก็คือหล่งตงผู้นั้นซึ่งในอดีตตระกูลมู่ถูกเขาทำลายเรื่องราวดีๆ ลง
ประมุขน้อยของตระกูลหล่งผู้นี้ ในตอนนั้นได้วางแผนอย่างยากลำบากกว่าร้อยปี ถูกหานลี่เข้าแทรกแซง ไม่เพียงแต่ไม่ได้เลือดแท้หงส์ฟ้าของตระกูลเย่ว์ หนำซ้ำโลหิตมังกรเที่ยงแท้ของตัวเองยังสูญเสียไปกว่าครึ่ง
ไม่ตอนนี้เขาได้พบกับหานลี่อีกครั้ง ย่อมต้องเกลียดจนเข้ากระดูกดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินเรื่องหานลี่เองก็เข้าสู่ขั้นผสานอินทรีย์แล้วด้วยเช่นกัน ในความเกลียดชังย่อมปนไปด้วยความริษยาอยู่ลึกๆ
ในตอนนั้นหากแผนการของเขาสำเร็จ เวลาหลายร้อยปีมานี้ผู้ซึ่งสามารถขึ้นสู่ระดับผสานอินทรีย์ อาจจะเป็นเขาประมุขน้อยตระกูลหล่งผู้นี้ก็เป็นได้
ดังนั้นเมื่อหานลี่มองมายังเขา ประมุขน้อยตระกูลหล่งพรุ่งนี้จึงไม่ได้หลบเลี่ยงแม้สักนิด ยังคงต้องมองไปยังหานลี่ด้วยสายตาอันพยาบาท
รอยยิ้มจางๆ บนหน้าของหานลี่นั้น ในวินาทีต่อมาก็เหือดหาย ในเวลาเดียวกันลึกลงไปกลางนัยน์ตาก็ส่องประกายจ้า
หล่งตงที่กำลังจ้องมองหานลี่อย่างดุดัน รู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่เกิดร้อนผ่าวขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกอื้อในหัว ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงราวกับถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงอย่างแรงแผ่เข้ามา อดไม่ได้ที่จะยกมือทั้งคู่ขึ้นโอบศีรษะกรีดร้องเสียงหลงขึ้นมา
แต่ทันใดนั้น ประมุขอาวุโสตระกูลหล่งซึ่งหลับตาอยู่ในตอนแรกก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ตบไปบนแขนของหล่งตงอย่างน่าประหลาด แสงสีทองลูกหนึ่งส่องกะพริบแล้วสลายไป
และความเจ็บปวดของหล่งตงเองก็หายไปไร้ร่องรอยเช่นกัน แต่เมื่อปล่อยแขนทั้งสองลง สีหน้ากับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว
แต่เขาเป็นคนฉลาดกว่าผู้อื่น ตั้งสติกับได้อย่างรวดเร็วแล้วรีบร้อนแสดงคารวะต่อประมุขอาวุโสตระกูลหล่ง พลางพูดไม่ขาดปากว่า
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วย หาไม่แล้วหลานคงถูกคนปองร้ายแน่!”
หล่งตงพูดพลางใช้สายตาเกลียดชังมองไปยังหานลี่ แต่ในคราวนี้นอกจากความริษยาแล้ว ในแววตายังแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
เห็นได้ชัดว่าเขาในเวลานี้ เพิ่งจะได้รู้ว่าหานลี่ผู้ซึ่งเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์แล้ว ความสามารถของเขาแตกต่างกันจากตอนแรกราวฟ้ากับดิน
“สหายหานลี่หมายความว่าอย่างไร เหตุใดจึงลงมือกับเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้ลงคอ” ประมุขอาวุโสตระกูลหล่งไม่ได้ใส่ใจการไหว้ขอบคุณของหล่งตง แต่กลับถามไปยังหานลี่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
หล่งตงเมื่อครู่คิดร้อง อีกทั้งการถามเช่นนี้ของผู้อาวุโสตระกูลหล่ง ย่อมดึงดูดสายตาทั้งหมดของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร
“ไม่มีอะไร เพียงแต่สายตาของเขาที่มองข้านั้นไร้ความยำเกรงเกินไป จึงได้ทำโทษเขาเล็กน้อยเท่านั้น ท่านพี่หล่งเห็นว่าไม่ควรอย่างนั้นหรือ” แววเยือกเย็นในตาของหานลี่เลือนลับไป พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
การพูดตอบกลับอย่างไม่เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสตะกูลหล่งแม้แต่น้อยเช่นนี้ ย่อมดึงดูดสายตาที่รู้สึกประหลาดใจเป็นจำนวนไม่น้อย เสียงพูดคุยซุบซิบค่อยๆ ดังแว่วไปทั่ว
“อืม หลานชายของข้าผู้นี้ยโสโอหังไปบ้างจริงๆ ทำโทษเขาสักนิดก็ดี!” นี่ยิ่งเกินความคาดหมายของผู้คน ประมุขอาวุโสตระกูลหล่งไม่ได้มีความคิดที่ตามเอาเรื่องต่อ เมื่อพยักหน้าพูดจบ ก็หลับตาทั้งคู่ลงไม่ได้สนใจผู้ใดอีก