เขารอจนแรงดูดใต้ฝ่าเท้าอ่อนแรงลงระดับหนึ่ง จากนั้นถึงได้สาวเท้าออกไปอีกครั้ง แล้วหยุดลงชั่วครู่…
เช่นนั้นบันไดสิบขั้นสุดท้ายนั้นหานลี่นั้นใช้เวลาไปครึ่งเค่อ ในที่สุดก็มาถึง
ในชั่วพริบตาที่สองเท้าเหยียบบนยอดเขา หานลี่ก็รู้สึกเพียงว่าแรงดูดใต้ฝ่าเท้าไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายเปลี่ยนเป็นเบาหวิว ราวกับว่าไม่ต้องใช้ลมปราณใดๆ ก็สามารถสาวเท้ายาวๆ ต่อเนื่องกันได้
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เกราะสีทองบนร่างสลายหายไปในพริบตา
เมื่อหันหน้ามาก็มองไปยังด้านล่างภูเขาแวบหนึ่ง
เห็นเพียงสือคุนในยามนี้อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยขั้น มองมาทางหานลี่พร้อมกับหอบหายใจ สีหน้ากลัดกลุ้ม
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์ยังอยู่ห่างออกไปอีกสองพันขั้น จึงเห็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ เท่านั้น
โชคดีที่ทั้งสองคนรู้ว่าแม้หานลี่จะมาถึงก่อน แต่วิหารสีม่วงกว้างใหญ่เพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใดก็ไม่รู้ว่าด้านในมีเขตอาคมร้ายกาจอันใดกันแน่ จึงไม่กลัวว่าสมบัติทั้งหมดจะถูกอีกฝ่ายหอบไป
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา รู้ว่ากว่าทั้งสองคนจะมาถึงยอดเขาก็ต้องใช้เวลาอีกนาน แล้วจึงหันกายไปโดยไม่พูดอันใด พลางมองไปทางวิหารสีม่วงเบื้องหน้า
ห่างจากเขาไปยี่สิบสามสิบจั้ง มีประตูวิหารสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่
ประตูนี้ปิดสนิท พื้นผิวของมันมีผลึกศิลาหลากสีสันยี่สิบสามก้อนสลักอยู่ ตรงขอบมีอักขระซับซ้อน เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากที่หานลี่พิจารณาประตูวิหารอย่างละเอียดสองสามรอบ แววตาก็เปล่งประกายฉายแววตกตะลึง
เขาถึงได้พบว่าผลึกศิลาขนาดเท่ากำปั้นยี่สิบสามสิบก้อน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่หายากมาก แม้กระทั่งอยู่ในระดับที่บริสุทธิ์กว่า ‘ศิลาวิญญาณระดับสุดยอด’ ในแดนวิญญาณ
หานลี่ส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ ออกมาเบาๆ เลื่อนสายตาไปตกอยู่บนประตูวิหารด้านข้างกำแพงวิหารสีม่วง
กำแพงนี้ไม่รู้ว่าสร้างมาจากวัตถุดิบใด ทว่าสูงห้าหกจั้ง แต่ตัวกลับเปล่งลำแสงสีม่วงออกมา ผิวของมันยังมีอักขระสีเงินจำนวนน้อยใหญ่สลักอยู่
หานลี่หยักมุมปากขึ้น มองปราดเดียวก็มองอักขระที่เขาคุ้นเคยเหล่านั้นออกว่าคือ ‘อักษรลูกอ๊อดสีเงิน’
“ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเซียนในแดนเซียน!” ใบหน้าของหานลี่ดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ในใจพลันคุกรุ่น สายตาที่มองไปยังวิหารค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น
แม้ว่าเขาจะมีสมบัติอยู่หลายชนิด และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรก็พบความบังเอิญไม่หยุด แต่เมื่อคิดว่าวิหารแห่งนี้อาจจะมีสมบัติของเซียน ก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบไม่เป็นตัวเอง
มิน่าล่ะไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนจึงมั่นใจว่าที่นี่จะต้องมียาลูกกลอนที่จะช่วยให้พวกเขาทะลวงระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้
จากอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของเซียน การปรุงยาลูกกลอนที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่อยู่ในระดับต่ำลงมา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายแล้ว
ทว่าถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากตั้งสมาธิแล้ว ร่างทั้งร่างก็เงียบขรึมขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปที่กำแพงวิหารสีม่วงแวบหนึ่ง
ฉับพลันนั้นพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยื่นนิ้วออกมาชี้ไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองอ่อนสายหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็โจมตีไปเหนือกำแพงวิหาร
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
เมื่อประจุไฟฟ้าสีทองพุ่งออกไปถึงกำแพงวิหารสีม่วง ฉับพลันนั้นเสียงไพเราะราวกับเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น จากนั้นลำแสงสีม่วงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีทองหายวับไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
หานลี่พลันขมวดคิ้ว
แม้ว่าจะใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างในพริบตา เขาก็ดูความมหัศจรรย์ของลำแสงสีม่วงนั้นไม่ออกเลยสักนิด
ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หานลี่ล้มเลิกความคิดที่จะอ้อมกำแพงนี้ไป เลื่อนสายตาไปอยู่บนประตูวิหารอีกครั้ง
เทียบกับเขตอาคมลึกลับบนกำแพงวิหารด้านข้างแล้ว แน่นอนว่าไปทางประตูหลักจะมั่นคงกว่า
ทว่าแม้ว่าเขาจะมองความผิดปกติบนประตูวิหารไม่ออก แต่ก็ไม่มีทางบุกเข้าไปเปิดประตูนี้ด้วยตัวเองแน่
หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งก็ตบไปบนกำไลบนข้อมือ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็บินออกมา แต่ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาบนพื้นอย่างแรง
กลับเป็นหุ่นเชิดวานรยักษ์สูงสองจั้งตัวหนึ่ง แขนขาทั้งสี่หมอบอยู่กับพื้นดิน ดูเหมือนว่าจะถูกพลังจำกัดการเหาะเหินกดลงมาไม่น้อย
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ส่งๆ ไปทางหุ่นเชิด
ครู่ต่อมาร่างของหุ่นเชิดวานรยักษ์พลันเปล่งเสียง “กึกๆ” ออกมา แล้วปีนขึ้นมาอย่างช้าๆ หันกายมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางเดินไปที่ประตูวิหารที่อยู่ไกลออกไป
หานลี่เองก็ยืนนิ่งรออยู่ที่เดิม แต่สองตาอดที่จะหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้ จ้องเขม็งดูการเคลื่อนไหวของหุ่นเชิดวานรยักษ์ด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
ผลคือเมื่อวานรยักษ์เดินไปถึงหน้าประตูวิหาร ก็ยกมือสองข้างขึ้นผลักประตูใหญ่สองฝั่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หลังจากที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบบนร่างของหุ่นเชิด ประตูวิหารก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวถูกผลักออก
หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจราวกับว่าทั้งตกตะลึงระคนดีใจและไม่อยากจะเชื่อ
คาดไม่ถึงว่าประตูใหญ่บานนี้จะถูกเปิดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ มันจะง่ายดายเกินไปหน่อยกระมัง
เขาขบคิดเช่นนี้แล้วฝืนระงับความสงสัยใคร่รู้ในใจไป พลางกวาดสายตามองเข้าไปด้านในประตูวิหารอย่างรีบร้อน
เห็นเพียงด้านหลังประตูวิหารเป็นจัตุรัสที่สร้างขึ้นจากอิฐสีเขียว รอบข้างล้วนมีหยกสีขาวโปร่งใสล้อมรอบอยู่
ปลายอีกด้านของจัตุรัสเป็นวิหารหลักสูงใหญ่สีทองอมม่วง
มองจากไกลๆ รอบด้านของวิหารหลังนี้ยังมีวิหารข้างขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันอีกสามหลัง ล้อมรอบวิหารหลักเป็นคำว่า ผิ่น (品)
นอกจากนี้ด้านหลังวิหารหลักยังมีหอคอยเตี้ยๆ อยู่อีกหอหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะกินพื้นที่กว้างขวางมาก
หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยก็กระตุ้นหุ่นเชิด
วานรยักษ์ขยับกาย สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในประตูวิหาร
หานลี่ยกเท้าขึ้น แล้วค่อยๆ เดินตามไปอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็อยู่อีกด้านของประตูวิหาร ในที่สุดก็เข้าข้างในและไปถึงมุมหนึ่งของจัตุรัส
จัตุรัสนี้ไม่นับว่าเล็กมีขนาดถึงห้าหกร้อยจั้ง
หุ่นเชิดวานรยักษ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเดินตรงไปยังใจกลางของจัตุรัส หมายจะทะลุผ่านจัตุรัสตรงไปยังวิหารหลัก
หานลี่เดินตามหลังไป แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังรักษาระยะห่างจากหุ่นเชิดอยู่ยี่สิบจั้งเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พบอันใดที่ผิดปกติ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจัตุรัสนี้มีความกว้างไม่ถึงสองสามร้อยจั้ง หุ่นเชิดวานรยักษ์และเขาเดินมานานแล้ว ก็ยังไม่ถึงใจกลางของจัตุรัสสักที
“เขตอาคมลวงตา!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงฉับพลันนั้นก็ให้หุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้า จากนั้นก็หันหน้าไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง
เห็นเพียงเขาที่น่าจะเดินออกไปไกลสามสี่ร้อยจั้งแล้ว ด้านหลังห่างออกไปสิบกว่าจั้งยังเป็นหยกสีขาวโปร่งใสล้อมรอบอยู่ ราวกับว่าเขาไม่ได้ออกห่างจากมุมของจัตุรัสเลยตั้งแต่แรก
หานลี่รู้สึกตกตะลึง ทันใดนั้นแววตาพลันฉายแสงสีฟ้าวาววาบอย่างไม่ลังเลอีก เริ่มกวาดมองทั่วทั้งจัตุรัส
แต่ทุกแห่งที่เนตรวิญญาณกวาดผ่านไปกลับว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่เห็นเลยสักนิด
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีรู้สึกตกตะลึง
จากอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณคาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองทะลุผ่านเขตอาคมลวงตาเล็กๆ นี้ได้ นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับเขา
ทว่าเมื่อคิดว่าผู้ที่วางเขตอาคมนี้อาจจะเป็นเซียนจากแดนเซียน ดูเหมือนว่าเขตอาคมลวงตาจะลึกลับเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกตะลึงอันใด
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นหานลี่กลับไม่ได้คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ
หลังจากที่เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง พลังปราณทั่วเรือนร่างก็พองขึ้น จากนั้นก็ไล่ไปตามชีพจรตรงไปยันหว่างคิ้ว
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นหว่างคิ้วของเขาพลันมีไอสีดำรวมตัวกันขึ้น จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบเนตรสีดำแวววาวปรากฏขึ้นท่ามกลางไอสีดำ
นั่นก็คือเนตรทำลายล้างที่หานลี่บ่มเพาะมาสองสามร้อยปี
เนตรวิญญาณนี้ถูกบ่มเพาะอยู่ในร่างของหานลี่มาตั้งแต่แดนมนุษย์ ยามนี้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ก็มีอิทธิฤทธิ์ลึกลับเป็นธรรมดา
แม้ว่าเนตรนี้จะมีอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาเป็นหลัก แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์ด้านกำจัดเคล็ดวิชาลวงตาและเคล็ดวิชาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม แต่แค่ประสิทธิภาพไม่บริสุทธิ์เท่าเนตรวิญญาณเท่านั้น
ยามที่หานลี่มาถึงแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้วทำการกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรครั้งแรกนั้น ก็บังเอิญผสมเนตรทำลายล้างและเนตรวิญญาณวารีกระจ่างเข้าด้วยกันครั้งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเมื่อผสมรวมกันแล้วจะได้อิทธิฤทธิ์ใหม่ อานุภาพเหนือกว่าเนตรวิญญาณสองชนิด
แต่แค่อิทธิฤทธิ์นี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกครั้งที่สำแดงออกมาก็จะสูญเสียพลังปราณไปไม่ธรรมดา
ดังนั้นตั้งแต่ที่หานลี่รู้จักกับอิทธิฤทธิ์นี้ก็เพิ่งเอามาลองใช้จริงเป็นครั้งแรก
แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ทดลองใช้อิทธิฤทธิ์นี้เป็นครั้งแรก เขาก็มั่นใจว่าจะมองทะลุผ่านเขตอาคมลวงตาตรงหน้าได้
ทันใดนั้นก็เห็นเขาบริกรรมคาถา ลำแสงสีฟ้าในตาค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ส่วนลูกตาเนตรทำลายล้างสีดำก็เคลื่อนไหว ลำแสงสีดำหมุนโคจรไปมา ราวกับว่ามีผลึกสีดำสนิทฝังอยู่บนหน้าผากของเขา เผยท่าทีลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา
ฉับพลันนั้นลำแสงสีฟ้าสองสายและเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเนตรวิญญาณที่สามในเวลาเดียวกัน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป รวมตัวกันอยู่ด้านหน้าหานลี่ จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นดวงแสงสีดำฟ้า
ด้านนอกเป็นสีฟ้าด้านในเป็นสีดำ เปล่งแสงแวววาว ขนาดเท่ากำปั้น ราวกับลูกตายักษ์ลูกหนึ่ง
“ทำลาย”
หานลี่กับสะบัดแขนเสื้อไปทางดวงแสงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หมอกลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกระโจนไปหาดวงแสง ทันใดนั้นก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผิวของดวงแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระสีดำและฟ้าสองสีขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตานั้นดวงแสงพลันเปล่งแสงเจิดจ้า เส้นไหมลำแสงสีดำและฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากด้านบนแล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
เส้นไหมลำแสงเหล่านี้ดูบางเบาดุจรวงข้าว แต่เมื่อพุ่งออกมากลับรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบ แทบจะกะพริบวาบ ก็พุ่งไปจุดต่างๆ ของจัตุรัส คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีดำและฟ้าห่อหุ้มทั้งจัตุรัสเอาไว้
ครู่ต่อมาเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากจุดต่างๆ ของจัตุรัสอย่างต่อเนื่อง ตาข่ายเส้นไหมร่อนลงมา ลำแสงหลากสีสันทยอยกันระเบิดออก
ฉับพลันนั้นระลอกคลื่นประหลาดๆ ก็พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ตาข่ายเส้นไหมบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปอยู่กลางอากาศ จากนั้นทัศนียภาพตรงใจกลางของจัตุรัสก็เลือนราง ประตูลำแสงบานใหญ่สีขาวโพลนพลันปรากฏขึ้น