A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1827 ประลองฝีมือ (ตอนต้น)

คนผู้นี้ก็คือ “ผู้อาวุโส” ของตระกูลหลินอันดับสามในห้าตระกูลใหญ่ ดูท่าทีเหมือนกับจะไม่ถูกกับผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเย่ว์ผู้นั้น

“หึๆ สหายหลินอยากจะวัดฝีมือข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็ยอมร่วมด้วยสักหน่อยแล้ว” หญิงสาวในชุดขนนกตระกูลเย่ว์ผู้นั้นได้ยิน ก็ป้องปากพูดพลางหัวเราะเบาๆ

ชายผมสยายยาวกลับแค่นเสียงเยาะหนึ่งทีโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

เซียนเสี่ยวเฟิงตัวแทนของตระกูลกู่รวมไปถึงชายระดับแปลงกลายสองคนนั้น ย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่นเช่นกัน

ผู้อาวุโสตระกูลหล่งเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าทันที แล้วปรบมือทั้งสองเบาๆ

ทันทีที่เสียงปรบมือดังขึ้น องครักษ์เกราะทองนายหนึ่งสองมือประคองถาดเดินขึ้นมาบนแท่นหมื่นวิญญาณ

ในถาดมีกระบอกไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนลำหนึ่งวางอยู่ ด้านในมีแถบไม้ไผ่เรียวยาวสีแดงสดราวกับเลือดห้าแถบอยู่ เกินครึ่งท่อนเสียบอยู่ในกระบอกไม้ไผ่

ทั้งก็บอกถูกปกคลุมด้วยแสงวิญญาณอยู่ชั้นหนึ่ง แม้แต่จิตสัมผัสก็ไม่สามารถทะลุผิวกระบอกไม้ไผ่เข้าไปได้

“อีกสักครู่จะไปที่ที่จะแข่งขัน มาจับสลากกันก่อน! ยังคงใช้กฎเดิม การแข่งขันของพวกข้า จะมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ เช่นนั้นพวกเด็กก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาบนแท่นให้เสียหน้า หมายเลขหนึ่ง แข่งกับหมายเลขสาม หมายเลขสองแข่งกับหมายเลขสี่ หมายเลขห้า ไม่มีคู่แข่งขัน ค่อยเขาจับสลากร่วมกับคู่ที่แข่งขันชนะอีกที” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งอธิบายเสียงเรียบ

“ดูถ้าพี่หล่งคงจะไม่จับสลากก่อน ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยขอเลือกก่อน” ชายในชุดหรูหราตระกูลเฟิงผู้นั้นหัวเราะคิกๆ ยังไม่ทันก้าวขึ้นแท่น ก็คว้ามือไปยังกระบอกไม้ไผ่นั้นอยู่ไกลๆ จากนอกแท่นหมื่นวิญญาณ สลากสีแดงเลือดแถบหนึ่งกระเด็นพุ่งออกมาทันที ขยับไหวอยู่หนึ่งครั้ง แล้วลอยมากลางมือคนผู้นั้น

“หมายเลขสาม!” ชายในชุดหรูหรามองไปที่สิ่งของในมือปราดหนึ่ง แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา

หญิงสาวในชุดขนนกตระกูลเย่ว์ผู้นั้นได้เห็น ก็เม้มปากหัวเราะเบาๆ หนึ่งที แล้วยกมือขึ้นแตะไปยังทางกระบอกไม้ไผ่หนึ่งที่

เสียงดังขึ้น “พรึ่บ” เส้นไหมเงินเส้นหนึ่งเพิ่งออกจากปลายนิ้ว แล้วหายวับไปทันที ลอยข้ามไกลนับสิบ จั้งไปยังกระบอกไม้ไผ่

เสียงดัง “ฉึบ” หนึ่งที สลากสีแดงเลือดแถบหนึ่ง ถูกปลายด้านหนึ่งของเส้นไหมเงินดึงเบาๆ แล้วพุ่งออกมา กลายเป็นแสงสีเลือดลำหนึ่งพุ่งไปยังกลางมือของหญิงสาว

“หมายเลขห้า”

ดวงตางามของหญิงสาวในชุดขนนกชำเลืองมอง แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเย่ว์ผู้นี้ จับสลากได้หมายเลขผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องแข่ง

“ท่านพี่หาน ให้ผู้น้อยช่วยไหม” เซียนเสี่ยวเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างหานลี่ พูดกับหานลี่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากท่านเทพแล้ว” หานลี่สีหน้าไม่ใส่ใจ

เซียนเสี่ยวเฟิงพยักหน้า แล้วสะบัดแขนเสื้อทันที ลำแสงสีขาวแดงพุ่งออกจากแขนเสื้อ เข้าไปพันสลากสีแดงเลือดแถบหนึ่งไว้เช่นกัน  แล้วม้วนดึงกลับเข้ามากลางมือ

“หมายเลขสี่”

เซียนเสี่ยวเฟิงเมื่อดูแล้ว แล้วบอกกับหานลี่เบาๆ ว่าหมายเลขนี้ไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย

หานลี่พยักหน้า แต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

ในเวลานี้ ชายผมสยายยาวจากตระกูลหลินผู้นั้นก็คว้ามือไปยังแท่น แล้วดึงสลากสีแดงเลือดแถบหนึ่งออกมาจากสองแถบที่เหลือนั้นกลับมาในมือ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หมายเลขหนึ่ง”

เมื่อผลนี้ออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ต่างหน้าถอดสีเป็นการใหญ่

หากเป็นเช่นนี้ สลากเลือดอีกหนึ่งแถบที่ยังเหลืออยู่ยังไม่ได้ไม่ถูกจับนั้น ก็คือหมายเลขสองที่ต้องประชันกับตระกูลกู่ของพวกเขาไม่ใช่หรือ

ผู้อาวุโสตระกูลหล่งกวาดสายตามองไปยังสลากเลือดแถบนั้นที่เหลืออยู่เพียงอันเดียวในกระบอกไม้ไผ่ เมื่อคว้ามาในมือแล้ว ก็มองไปยังหานลี่ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคิดล้ำลึกปราดหนึ่ง จากนั้นก็ประกาศบอกคนอื่นว่า

“การจับสลากจบสิ้น การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว สำหรับการแข่งขันวัดฝีมือและวิธีตัดสินแพ้ชนะ ให้สองฝ่ายที่ประชันกันกำหนดกันเอง ตอนนี้ขอเชิญสหายจากตระกูลหลินและตระกูลเฟิง เริ่มการแข่งขันรอบที่หนึ่ง”

“ไม่ต้องแข่งแล้ว พวกเราสองพี่น้องต่างรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะอาคมของท่านพี่หลินได้ พวกเราตะกูลเฟิงขอเป็นฝ่ายยอมแพ้เอง” ชายในชุดหรูหราตระกูลเฟิงผู้นั้นพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ชายผมสยายยาวผู้นั้นได้ยิน แววตาก็ส่องประกายเล็กน้อย ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจแต่อย่างใด

“อืม ในเมื่อเช่นนี้ ตระกูลเฟิงก็เข้าร่วมกับกลุ่มผู้แพ้ ไว้ค่อยแข่งกลับตระกูลผู้แพ้อีกคนภายหลัง ผู้ชนะก็จะมีสิทธิ์ที่จะท้าประลองกับใครก็ได้จากสามตระกูลที่เหลือ ถ้าหากยอมแพ้ ก็จะได้อันดับที่สี่และห้าตามลำดับ ต่อไป ก็เป็นการประมือระหว่างตระกูลหลงของพวกข้าและตระกูลกู่ ตระกูลกู่คือสหายหานออกโรงใช่หรือไม่ ตระกูลหล่งของพวกข้า คือข้าและผู้อาวุโสฮุยสองคน ขอเพียงสามารถเอาชนะพวกข้าทั้งสองคนตามลำดับได้ ถึงจะถือว่าเอาชนะตระกูลหล่งของพวกเราได้!” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งประกาศน้ำเสียงเรียบ แล้วจ้องหานลี่แววตาเป็นประกายวาบหนึ่ง

“ผู้อาวุโสหาน ตระกูลกู่ของพวกเรายอมแพ้เถอะ” เซียนเสี่ยวเฟิงได้ยิน สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา แล้วพูดกับหานลี่อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หญิงสาวผู้นี้แจ้งแก่ใจดี ต่อให้ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลกู่ของพวกนางมาถึงที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ก็ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่ตะกูลกู่จะสามารถเอาชนะได้เป็นอันขาด ย่อมต้องหวังที่จะให้หานลี่ออมกำลังเอาไว้ เพื่อเอาไว้ใช้ต่อสู้ในสนามต่อไป

“ผู้บำเพ็ญเพียรช่วงปลายไม่ใช่หรือ! เพียงแค่แข่งวัดฝีมือ ขอเปิดหูเปิดตาบ้างก็ไม่เลวนี่นา ผู้น้อยนับแต่ขึ้นสู่ระดับผสานอินทรีย์ ก็ไม่เคยได้ประลองอาคมกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงขนาดนี้มาก่อน” หานลี่ลูบคาง เขาเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เซียนเสี่ยวเฟิงและผู้อาวุโสเซียวถึงกับอึ้งตาค้างออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ

สำหรับหานลี่ นี่ไม่ใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ซ้ำยังสามารถเข้าใจความสามารถอันแท้จริงระดับภาษากายช่วงปลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ด้วย ลองดูว่าตัวเองหลังจากเลื่อนระดับแล้วจะสามารถต่อสู้ต้านทานพวกเขาได้หรือไม่ นี่ย่อมเป็นโอกาสที่หายากครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นในตอนแรก เขาก็คงไม่จงใจใช้จิตสัมผัสไปข่มขู่หล่งตง จนไปสะกิดโดนผู้อาวุโสตระกูลหล่งผู้นั้นเข้า

มิหนำซ้ำหากเป็นไปได้ เขาก็คงไม่ติดขัดที่จะอาศัยปากของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้เหล่านี้ช่วยสร้างอิทธิพลท่ามกลางเหล่ามนุษย์อย่างแน่นอน

อย่างไรเสียตอนนี้สภาพของเขาเมื่ออยู่กับเผ่าพันธุ์อื่นนั้นแตกต่างไปอย่างมาก

เมื่ออยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์อื่น ต่อให้ระดับการบำเพ็ญพรตของเขาจะสูงเพียงใด ก็ได้แต่พยายามทำตัวให้โดดเด่นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ไปกระตุ้นจิตสังหารของเผ่าพันธุ์อื่น และเมื่อกลับไปที่เผ่าพันธุ์ของตนแล้ว ขอเพียงสามารถสร้างอิทธิพลอันน่าเกรงขามของตนเองขึ้นมาได้ ย่อมไม่จำเป็นต้องมีข้อห้ามมากมายเมื่ออยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์อื่น อีกทั้งไม่ว่าจะมีตัวตนหรือไร้ตัวตน ล้วนแต่มีข้อดีที่เกินกว่าจะคาดคะเน

และระดับผสานอินทรีย์ในตระกูลวิญญาณแท้อื่น ระดับการบำเพ็ญเพียรอย่างมากก็แค่ช่วงกลาง ไม่ต้องทดสอบเขาก็พอรู้ว่าไม่มีทางที่จะเทียบคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด

“อ๊ะ ผู้อาวุโสหานไม่ได้นะ ตระกูลหล่งเป็นถึง….”

“หากผู้น้อยจำไม่ผิด ในเงื่อนไขตอบรับการช่วยเหลือซึ่งกันและกันตอนแรกนั้น ไม่ได้มีก็บอกว่าการจะต่อสู้กับผู้ใดนั้นต้องฟังตระกูลกู่ด้วย” หานลี่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขามองไปที่เซียนเสี่ยวเฟิงปราดหนึ่งด้วยแววตาฉายประกายวาบหนึ่ง

ประมุขหญิงของตระกูลกู่ผู้นี้ เมื่อดวงตาคู่งามสัมผัสกับแสงสีน้ำเงินนั้น ก็รู้สึกใจสะดุ้งขึ้นมา คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากของนางหยุดลงไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป

หานลี่อาศัยจังหวะนี้ ปล่อยแสงสีเขียวออกจากร่างกาย ก้าวออกไปหนึ่งก้าวแล้วหายวับไปกับตา

วินาทีต่อมา บนแท่นหมื่นวิญญาณก็ปรากฏเงาคน หานลี่ปรากฏตัวอยู่ห่างจากผู้อาวุโสตระกูลหล่งไกลออกไปเพียงแค่สิบกว่าจั้ง แล้วกุมมือคำนับเบาๆ พลางพูดว่า

“ผู้น้อยเพิ่งเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ไม่นาน แต่พอได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของสหายหล่งมาบ้าง หวังว่าท่านพี่หล่งจะได้โปรดช่วยชี้แนะ”

“ที่แท้สหายหานก็เป็นตัวแทนตระกูลกู่เข้าสู้จริงๆ ด้วย แต่ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ของสหายที่ชื่อว่าชี่หลิงจื่อนั้น ตอนนี้ยังสบายดีอยู่หรือไม่” ดวงตาทั้งคู่ของผู้อาวุโสตระกูลหล่งหรี่ลง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากถามถึงชี่หลิงจื่อขึ้นมา

หานลี่ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกตะลึงในใจเล็กน้อย แต่สีหน้าก็ไม่ได้เผยความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย เขาตอบกลับน้ำเสียงเรียบ

“ขอบคุณสหายที่ใส่ใจ ลูกศิษย์คนนั้นของข้าชอบก่อปัญหา ข้าได้ให้ศิษย์หาที่ลับตาผู้คนแห่งหนึ่งกักตัวเพื่อฝึกบำเพ็ญแล้ว คาดว่าในหลายสิบปีนี้คงจะไม่ปรากฏตัวออกมา”

“เช่นนั้นก็ดี ลูกศิษย์ของเจ้าคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ระวังหน่อยจะดีกว่า แต่ทว่า พี่หานเวลานี้มาท้าประลองกับข้า นับว่าเลือกคนผิดแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรคนแรกที่จะขึ้นเวทีของตระกูลหล่งพวกเรา อย่างไรก็ไม่ใช่ข้าอยู่แล้ว” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพูดเสียงทื่อ

เกือบจะพร้อมกันนั้น ข้างกายผู้อาวุโสตระกูลหล่งก็มีกระแสคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด พร้อมพูดกับหานลี่ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า

“เวทีแรก ขอผู้น้อยเป็นคนทักทายสหายแล้วกัน หากท่านสามารถเอาชนะข้าได้จริง สหายหล่งก็จะมาแข่งวัดฝีมือกับท่านด้วยตัวเอง”

คนที่ปรากฏตัวขึ้นนี้ ก็คือผู้อาวุโสแขกของผู้อาวุโสสูงสุดอีกคนหนึ่งของตระกูลหล่ง คือบุรุษในชุดสีดำระดับผสานอินทรีย์ช่วงกลางผู้นั้น

หานลี่เมื่อเห็นคนผู้นี้ ก็นึกถึงสายตามุ่งร้ายที่มองมายังตัวเองของเขาขึ้นได้ทันที เขาพยักหน้าตอบทันทีโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

“ย่อมได้ เช่นนั้นข้าก็ขอรับการสั่งสอนจากจิตรอบรู้ของท่านพี่ฮุยก่อนแล้วกัน”

ผู้อาวุโสตระกูลหล่งได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเยาะก็ดูเหมือนปรากฏขึ้นในแววตา ร่างกายเปล่งแสงสีทองขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็กลายร่างเป็นโล่แสงสีทองลูกหนึ่งพุงออกไปด้านนอกแท่นหมื่นวิญญาณ จากนั้นก็พูดออกคำสั่งเสียงดังว่า

“รีบเพิ่มอานุภาพการผนึก อย่าให้แรงต่อสู้ของสหายทั้งสองท่านนี้มาโดนลูกศิษย์สำนักของพวกเราได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในหุบเขาที่รับผิดชอบควบคุมดูแลป้องกันค่ายอาคมก็เริ่มลงมือดำเนินงานกันจ้าละหวั่น

ธงสีต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบแท่นหมื่นวิญญาณตอนแรกเหล่านั้น ชั่วพริบตาเดียวก็เปล่งแสงส่องสว่างขึ้นมาทันที!

ครอบแสงขนาดยักษ์ปกคลุมไปทั่วทั้งแท่งหิน วินาทีต่อมาก็วูบไหวเบาๆ ทันใดนั้นก็ก่อตัวหนาขึ้นอีกหลายเท่า พร้อมกันนั้นผิวภายนอกก็ปรากฏยันต์ผนึกหลากสีสันขึ้น ลอยวนเวียนไปมาอยู่บนผิวไม่หยุดนิ่ง

และไม่ว่าจะตระกูลใหญ่ทั้งห้าหรือจะลูกหลานจากตระกูลขนาดเล็กและกลางตระกูลอื่น เมื่อได้เห็นฉากเช่นนี้ก็โกลาหลกันขึ้นมา บนใบหน้าของแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าตึกเต้นอย่างห้ามมิได้

การได้เห็นการประลองอาคมของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ด้วยตาตัวเอง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็สามารถพบเห็นได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเพื่อเป็นการเปิดโลกหรือจะใช้โอกาสนี้เฝ้าสังเกตเพื่อให้บังเกิดซึ่งปัญญาณานบางอย่าง ก็ล้วนแต่เป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

ดังนั้นลูกศิษย์ชั้นหัวกะทิเหล่านี้ของตระกูลต่างๆ จึงได้พากันตื่นเต้นถึงเพียงนี้

ภายในครอบแสง สายตาของบุรุษในชุดคลุมดำกวาดมองไปรอบครอบแสงที่ขยายอานุภาพขึ้นอย่างมาก แล้วแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ แขนเสื้อหลวมสะบัดเบาๆ เสียงแหลมใสเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แสงสีดำมืดสองลูกพุ่งออกมาจากด้านใน นั่นก็คือตะขอคู่สีดำสนิทราวกับหมึกคู่หนึ่ง

ความยาวไม่ถึงสามศอก สีดำสนิท แต่มีลายดอกสีเงินหลายดอกปรากฏอยู่รำไรหมุนเคลื่อนไปมาอยู่บนผิวนอก ดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

แต่ถ้าว่าตะขอคู่พิกลสองอันนี้ กลับไม่ได้โจมตีตรงไปยังหานลี่ แต่ในขณะที่ส่งเสียงหวีดร้องก็กลายร่างเป็นรุ้งโค้งสองแถบ ลอยวนขึ้นลงโอบล้อมบุรุษชุดดำเอาไว้ ท่าทีดูเหมือนกับระมัดระวังตัวโดยยังไม่คิดจะลงมือทำอะไร

เช่นนี้ทำให้หานลี่ที่อยู่ตรงข้ามขมวดคิ้ว สีหน้าดูประหลาดใจเล็กน้อย

แต่นาทีต่อมา ในแขนเสื้อทั้งคู่ของบุรุษชุดดำก็มีแสงวิญญาณส่องกะพริบอีกครั้ง ลำแสงสีขาวคู่หนึ่งพุ่งออกมา แต่กลับเป็นกระบี่สั้นสีขาวบริสุทธิ์ความยาวราวศอกกว่าคู่หนึ่ง สะท้อนเงาปลาบ แฝงด้วยกลิ่นอายอันเยือกเย็น

เสียงแหลมใสดังขึ้นไม่ขาด แขนเสื้อทั้งคู่ของบุรุษในชุดดำสะบัดโบกไปมาไม่หยุด ดาบบินสีเงินคู่หนึ่ง ลอยพุ่งตามออกมาติดๆ…

หานลี่เห็นสมบัติวิเศษแปลกประหลาดคู่แล้วคู่เล่า บินวนไปมาบนล่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ขาดสาย หางตาก็กระตุกขึ้นมาทันทีอย่างห้ามมิได้

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset