บรรพชนตระกุลหล่งเก็บฝ่ามือของตนเอง เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะมองไปยังแขนสีเขียวที่ยื่นออกมาจากกลางอากาศ
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างคนผิวสีเขียวมรกตเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
ร่างสูงประหลาดขนาดสองจั้ง เรือนกายมีลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีใบหน้าคล้ายคลึงกับหานลี่ และยิ่งไปกว่านั้นดวงตาทั้งสองยังมีลำแสงสีเขียวไหลวนโคจรไปมา
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก เงาสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นด้านข้างเขาอย่างแปลกประหลาด
“ร่างแยกที่สอง! เยี่ยม เยี่ยมมาก สหายหานไม่ทำให้ผู้แซ่หล่งผิดหวังดังคาด มากระบวนท่าที่สามกันเถิด!”
ดวงตาทั้งสองข้างของบรรพชนตระกูลหล่งหรี่ลง เอ่ยพึมพำกับตนเองด้วยเสียงแผ่วเบา แต่กลับหัวเราะอย่างเย็นชา แขนข้างหนึ่งยกขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะตะปบไปทางหานลี่อีกครั้ง
แม้ว่าการเคลื่อนไหวนี้จะคล้ายคลึงกับก่อนหน้า แต่อานุภาพกลับแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
แขนสีทองเพิ่งจะยื่นออกมาได้ครึ่งหนึ่ง บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนแท่นหมื่นวิญญาณ
ครู่ต่อมาพลังปราณฟ้าดินเหล่านี้ก็กลายเป็นดวงแสงรวมตัวกันที่แขนของบรรพชนตระกูลหล่งอย่างบ้าคลั่ง และทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมเข้าไปข้างใน
แขนที่มีเกล็ดมังกรสีทองเต็มไปหมดเปลี่ยนเป็นสีสันระยิบระยับ ลำแสงห้าสีปรากฏขึ้น และค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ผู้คนไม่อาจสบตาตรงๆ ได้ราวกับดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
ในเวลาเดียวกันพลังแรงกดดันแข็งแกร่งก็แผ่ออกมาจากแขน
ลำแสงห้าสีที่แผ่ออกมาจากแขน คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ด้วยตนเอง กลิ่นอายแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายอย่างบรรพชนตระกูลหล่งหลายส่วน
หานลี่เห็นอีกฝ่ายตะปบลงมา คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางน่าตกตะลึง ในที่สุดก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
มองฝ่ามือตรงหน้าแขนของอีกฝ่าย มันบิดเบี้ยวเลือนรางเล็กน้อย หมายจะตะปบลงมา เขาขบคิดอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นสองแขนพลันโค้งเข้าหากันเล็กน้อย และเอ่ยปากหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“สหายพลังปราณเหนือชั้น ผู้แซ่หานรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ กระบวนท่าที่สามคงไม่ต้องแล้ว ข้าน้อยขอยอมแพ้”
เพิ่งเอ่ยจบ หานลี่ไม่รอให้บรรพชนตระกูลหล่งฝั่งตรงข้ามเผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมา แขนที่ยื่นออกมาชะงักเล็กน้อยยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ผิวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปนอกม่านลำแสง
เปล่งแสงสว่างวาบ กำแพงหนาๆ ถูกสายรุ้งสีเขียวแหวกผ่านไปราวกับกระดาษ!
หานลี่พุ่งออกมานอกแท่นหมื่นวิญญาณในรวดเดียว และลำแสงหลีกหนีพลันหมุนวนพลางร่อนลงมาในกลุ่มของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่
ส่วนเงาสีเขียวประหลาดสายนั้น ก็ดูราวกับเงาของเขาไล่ตามไปติดๆ และร่างกายพลันพลิ้วไหวร่อนลงมาที่แผ่นหลังของเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่ที่อยู่รอบๆ ย่อมทยอยกันล่าถอยไปสองสามก้าว ใช้สายตาประหลาดใจพิจารณาเขาไม่หยุด
หานลี่กลับกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ยกมือขึ้นร่ายอาคม
เงาสีเขียวบนผิวเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีม่วง จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่อย่างไร้เงา
เซียนเสี่ยวเฟิงและอาวุโสเซียวที่อยู่ด้านข้างมองการเคลื่อนไหวของหานลี่ กลับมีสีหน้าประหลาดใจและสลับซับซ้อน
ไม่แปลกที่ทั้งสองจะมีสีหน้าเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น คาดไม่ถึงว่าจะกล้าสั่นสะเทือนผู้บำเพ็ญเพียรขั้นปลาย และเผยอิทธิฤทธิ์ที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรขั้นกลางออกมา แต่กลับขอยอมแพ้เองในกระบวนท่าสุดท้าย
มองอย่างไรก็ไม่ปกติ
ทว่าพละกำลังที่หานลี่แสดงออกมาเมื่อครู่ เขาย่อมไม่กล้าซักถามอันใดต่อ ทำได้เพียงมองสบตากันแวบหนึ่งแล้วหัวเราะขมขื่นออกมาเท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกจนปัญญา แต่ความกังวลที่มีอยู่แต่เดิมในยามนี้กลับหายไปแล้ว
ในสายตาของทั้งสอง พละกำลังที่หานลี่เผยออกมาเมื่อครู่ไม่ด้อยไปกว่าอาวุโสของตระกูลเยี่ย “เซียนเทียนหลี” ของพวกเขาเลยสักนิด และยิ่งไปกว่านั้นยังเหมือนจะเหนือกว่าอีกด้วย
เช่นนั้นการปกป้องตำแหน่งห้าตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ยิ่งใหญ่คงไม่ใช่ปัญหาแล้ว
“หึๆ น่าสนใจ!” ในที่สุดบรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่ท่ามกลางลำแสงพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง มองหานลี่ที่อยู่ด้านนอกม่านลำแสง แล้วกลับเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นแขนของเขาก็มีหมอกห้าสีไหลเวียน พลังปราณฟ้าดินทะลักออกมา และหายไปจากกลางอากาศ ในเวลาเดียวกันเกล็ดมังกรสีทองที่ปรากฏขึ้นบนร่างก็เริ่มเลือนหายไป ร่างครึ่งปีศาจหายวับไป
“พวกเราล้มเลิกแผนการเถิด!” ท่ามกลางตระกูลเฟิง บุรุษสวมหน้ากากสัมฤทธิ์สีเขียวเองก็เอ่ยปากอย่างราบเรียบ
“พี่กล่าวเช่นนี้มีเจตนาอันใดหรือ? ต่อให้คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นธรรมดาๆ มากสุดก็คงไม่ต่างอันใดกับแม่หญิงเทียนหลี หากข้ากับท่านร่วมมือกัน ยังจะต้องหวาดกลัวเขาหรือ?” บุรุษสวมชุดหัวฝูกลับขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
“หึ ไม่แตกต่างกับเทียนหลีงั้นหรือ? เจ้าสอง ข้าว่าเจ้าควรจะเช็ดตาแล้วดูเสียใหม่ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น ร่างแยกที่สองของคนผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว แค่กำปั้นเดียวก็โจมตีตัวประหลาดเฒ่าเฟยหล่งได้แล้ว อย่างน้อยเจ้ากับข้าก็ทำไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังเผชิญหน้ากับตัวประหลาดเฒ่าหล่งโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัว จะต้องมีวิธีที่ร้ายกาจยิ่งกว่าแน่ ต่อให้เจ้ากับข้าร่วมมือกันก็ทำให้เขาพ่ายแพ้ไม่ได้ง่ายๆ ข้าไม่อยากให้ตระกูลเฟิงไปล่วงเกินเจ้าผู้ที่มีพละกำลังลึกล้ำยากจะคาดเดา” บุรุษสวมหน้ากากแววตาเปล่งประกาย ขณะเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“แต่พวกตระกูลเหลาจะทำอย่างไร พวกเราได้รับประโยชน์แล้ว” บุรุษสวมชุดหัวฝูกลับยังคงมีท่าทีลังเล
“ตอนแรกที่ข้าตอบรับ ก็แค่พยายามทำให้ความแข็งแกร่งของเซียนเทียนหลีลดน้อยลง ในเมื่อยามนี้ผู้ที่ออกโรงของตระกูลกู่ไม่ใช่แม่หญิงผู้นี้ แต่เปลี่ยนเป็นอีกคน พวกเราเปลี่ยนใจก็เป็นเรื่องปกติ มากหน่อยก็เอาของคืนพวกเขาเก้าสิบหกชิ้น ตระกูลเหลาจะกล้าเยิ่นเย้ออันใด? อีกเดี๋ยวยามที่พวกเราขึ้นเวทีไปประลองกับเขา ก็แค่ใช้วิธีธรรมดาๆ ก็พอแล้ว” บุรุษสวมหน้ากากตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“ในเมื่อพี่ตัดสินใจแล้ว น้องเล็กก็จะทำเช่นนั้น ทว่าน่าเสียดายจริงๆ เดิมคิดว่าจะบีบตระกูลกู่ออกจากหนึ่งในห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ได้แล้วแท้ๆ ดูแล้วคงต้องรอครั้งต่อไป!” บุรุษสวมชุดหัวฝูถอนหายใจแล้วตอบตกลง แต่แค่มีท่าทีไม่ยินยอมเท่านั้น
“ไม่นานเคราะห์มารก็จะปะทุแล้ว พิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งหน้า ยังไม่รู้ว่าจะมีตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้เท่าไหร่ที่ต้องหายตัวไป ข้ากับเจ้าจะคิดไปไกลทำไม” บุรุษสวมหน้ากากกลับมองออก แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา
ครั้งนี้บุรุษสวมชุดหัวฝูเองก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ยามนี้กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลเหลาที่อยู่ไม่ไกลนัก อาวุโสที่เป็นผู้นำสองสามคนมาล้อมผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นคนหนึ่งเอาไว้ พลางกำลังปรึกษาอันใดกันอยู่ในเขตอาคม
แม้ว่าจะไม่ได้ยินเนื้อหาที่พวกเขาสนทนากัน แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีสีหน้าปั้นยาก
ส่วนนักปราชญ์วัยกลางคนสวมชุดสีขาวผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของตระกูลเหลาก็กำลังขมวดคิ้วเข้าหากัน
เห็นได้ชัดว่าพละกำลังที่หานลี่สำแดงออกมาบนแท่นหมื่นวิญญาณเมื่อครู่ ทำให้ตระกูลกู่มีโอกาสเข้าสู่หนึ่งในห้าอันดับตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ยามนั้นจึงเกิดความวุ่นวายขึ้น
“จากนี้ก็ให้ตระกูลเฟิงและตระกูลกู่มาทำการตัดสินแพ้ชนะ แย่งชิงอันดับที่สี่และห้า สหายหาน สหายเฟิง พวกเจ้าจะขึ้นเวทีมาประลองกันหรือไม่” บรรพชนตระกูลหล่งประกาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนของตระกูลเฟิงกวาดสายตามองไปทางฝั่งตระกูลกู่
เซียนเสี่ยวเฟิงและอาวุโสเซียวเองก็อดที่จะหันมามองหานลี่ไม่ได้
“ไม่ต้องประลองแล้ว ครั้งนี้ข้าน้อยขอยอมแพ้!” อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้อื่น หานลี่มุมปากกระตุก คาดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยยอมแพ้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นผู้ที่ห้อมล้อมอยู่ทั้งสี่ด้านพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
“ท่านอาวุโสหาน การประลองครั้งนี้…” ชั่วขณะนั้นเซียนเสี่ยวเฟิงพลันนั่งไม่ติด รีบร้อนเอ่ยปากซักถาม
“ตระกูลเฟิงเองก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคน และยิ่งไปกว่านั้นยังเชี่ยวชาญในการร่วมมือกัน ข้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แน่นอนว่าต้องพักฟื้นพลังเพื่อใช้ต่อกรกับการประลองครั้งต่อไป ขอแค่รักษาอันดับหนึ่งในห้าของตระกูลกู่ได้ ข้าว่าน่าจะไม่ขัดต่อคำสัญญากับสหายสินะ” หานลี่กวาดตามองสตรีผู้นี้แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“แน่นอนว่าท่านอาวุโสย่อมไม่ได้ขัดต่อสัญญา แต่แค่ทุกครั้งที่ตำแหน่งเพิ่มขึ้น ก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เป็นเพราะชนรุ่นหลังละโมบเกินไป” เซียนเสี่ยวเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปสองหน สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับเจตนาของหานลี่
ครานี้บรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่บนเวทีพลันประกาศผล จากนั้นก็เรียกที่เหลืออีกสามตระกูลขึ้นมาจับฉลากการตัดสินอีกครั้ง
ครั้งนี้ตระกูลหล่งกลับจับได้ฉลากเปล่า
ตระกูลเยี่ยและตระกูลหลินต้องต่อสู้กันก่อน
แน่นอนว่าตระกูลเยี่ยย่อมเป็นหญิงสาวสวมชุดขนนกผู้นั้น ส่วนตระกูลหลินก็คือบุรุษผมยุ่งเหยิงสวมกำไลสีเงิน
ทั้งสองดูเหมือนจะมีความแค้นต่อกันเล็กๆ ดังนั้นเมื่อขึ้นไปบนเวทีก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ทันที ยามนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดมน ดูจากท่าทางดูเหมือนว่าจะน่าตกตะลึงเสียยิ่งกว่าที่บรรพชนตระกูลหล่งและหานลี่ลงมือเสียอีก
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง แต่เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของหญิงสาวสวมชุดขนนกเหนือกว่าบุรุษผมยุ่งเหยิงอยู่ขั้นหนึ่ง แม้ว่าบุรุษจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่ฝึกฝนมาใหม่ออกไปสองสามชนิด แต่สุดท้ายก็ถูกหญิงสาวบีบให้ออกไปนอกม่านลำแสง ทำได้เพียงยอมพ่ายแพ้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทว่าจากนี้ยามที่ตระกูลเยี่ยเผชิญหน้ากับตระกูลหล่ง หญิงสาวสวมชุดขนนกย่อมรู้ตัวว่าไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับบรรพชนตระกูลหล่งได้จึงขอเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเสียเลย
ส่วนตระกูลเฟิงเองก็ชาญฉลาด มิได้กระโดดออกมาขอประลองกับทั้งสามตระกูล
เช่นนั้นอันดับของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งห้าจึงแทบจะเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ตระกูลกู่ยังคงจัดอยู่ในอันดับท้ายสุด
ทว่าเป็นเพราะหานลี่เพิ่งสำแดงพละกำลังไปเมื่อครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลกู่จึงไม่ได้เผยสีหน้ากังวลใจอันใดออกมา
แต่เมื่อบรรพชนตระกูลหล่งประกาศ ตระกูลอื่นๆ ก็เริ่มท้าประลองกันอย่างอิสระ ตระกูลเหลาที่จัดอยู่ในอันดับที่รองลงมาจากตระกูลกู่ นักปราชญ์ชุดขาวผู้นั้นยืนขึ้นอย่างช้าๆ และเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ข้าน้อยเหลาอัยเป็นตัวแทนตระกูลเหลา อยากขอท้าประลองกับตระกูลเยี่ย หวังว่าสหายหานจะยอมชี้แนะ!”
เพิ่งเอ่ยจบ ร่างของนักปราชญ์ก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ คนยืนอยู่ในม่านลำแสง ท่าทางรอคอยให้หานลี่ขึ้นเวทีอย่างเงียบๆ
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่เอ่ยอันใด หลังจากเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบเช่นเดียวกัน ก็มาปรากฏตัวตรงข้ามกับนักปราชญ์
เหลาอัยมีสีหน้าเคร่งขรึม ปากก็พ่นคำว่า “เชิญออกมา” สองมือพลันพลิกฝ่ามือ
มือหนึ่งมีไม้บรรทัดสีดำปรากฏขึ้น อีกมือหนึ่งกลับเปล่งแสงสีทองเรืองรอง พู่กันยักษ์สีทองเรืองรองปรากฏขึ้น ความยาวสองสามฉื่อ ปลายแหลมมีลำแสงห้าสีที่สวยสดงดงาม
ไม้บรรทัดพลิ้วไหวเล็กน้อย หมอกลำแสงสาดส่องลงมา ชั่วครู่บุปผาวิญญาณสีดำนิรนามจำนวนยี่สิบถึงสามสิบดอกพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า และปกป้องร่างกายของเขาเอาไว้
ส่วนพู่กันยักษ์สีทองที่อยู่อีกมือพลันชี้ไปกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ปีศาจผีเสื้อยักษ์ลายห้าสีทยอยกันปรากฏขึ้นกลางอากาศ