“ไปจากแดนนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าหมายถึง…” หานลี่รู้สึกตาพร่ามัวเอ่ยถามอย่างตกตะลึงระคนสงสัย
“นายท่านเดาไม่ผิด! หลังจากที่กลืนกินจิตวิญญาณของมารเหนือฟ้าไปในเทือกเขามารสีทอง ในร่างของข้าก็เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างและสัมผัสได้ถึงการดึงดูดจากอีกแดนหนึ่งรางๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงนอนหลับอย่างยาวนานในกำไลเก็บอสูรวิญญาณเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจเก็บกวาดได้ และเมื่อครู่ข้าถูกอสูรอัสนีที่กลายเป็นวิหคยักษ์ปลุกก็ไม่อาจควบคุมการดูดซับพลังอัสนีสวรรค์ในร่างได้ ร่างกายจึงถูกพลังฟ้าดินของแดนนี้กำจัด เกรงว่าอีกเดี๋ยวก็ต้องไปแดนเทพเซียนในตำนานแล้ว” วิญญาณครวญเอ่ยพึมพำสีหน้าตระหนักรู้ขึ้นมา
“แดนเทพเซียน! เจ้ามั่นใจว่าเจ้าเรียกพลังของแดนนี้จริงๆ หรือ?” หานลี่ตะลึงงันไปชั่วครู่ขยับมุมปากอดที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้
เขายอมเสี่ยงอันตรายฝึกฝนจนมาถึงยามนี้ก็เพราะอยากบรรลุขึ้นไปแดนเซียนให้ได้สักวันหนึ่ง จะมีอายุขัยเหมือนกับฟ้าดินจริงๆ หรือ?
แต่ยามนี้ตนซึ่งเป็นเจ้านายกลับยังห่างจากเป้าหมายอีกอย่างไกล วิญญาณครวญกลับทำได้โดยไม่เปลืองแรง
นี่จึงทำให้ในหัวของเขาเกิดความคิดวุ่นวาย และอยากจะกระอักเลือดหลายส่วน แน่นอนว่าในส่วนลึกของจิตใจ ย่อมเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก
“แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเรื่องอันใดกันแน่ ข้าก็มั่นใจว่าสัมผัสได้ถึงพลังของแดนเซียนกำลังเรียกหาข้า เรื่องราวมากมายในหัวมีที่เกี่ยวข้องกับแดนเซียนไม่น้อย” วิญญาณครวญตอบกลับอย่างซื่อตรง
“เจ้ารู้เรื่องแดนเซียน! บอกข้าได้หรือไม่?” หานลี่ได้ยิน ก็ตกตะลึงใจเต้นไปเล็กน้อย
“ในเมื่อนายท่านอยากรู้ ข้าอธิบายสักหน่อยย่อมไม่เป็นไร…แย่แล้ว ไม่ทันแล้ว!” วิญญาณครวญพลันตกลง แต่ครู่ต่อมากลับร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
สิ้นเสียงกลางอากาศก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น หมอกสีขาวแบ่งออก เผยหมอกลำแสงห้าสีออกมา ลำแสงเจิดจ้าจนแสบตา และหมุนคว้างกลายเป็นดวงตาลำแสงขนาดเท่าบ้านดวงหนึ่ง
แต่รูม่านตากลับแวววาวดุจโลหิต เปล่งแสงประหลาดออกมา
กลอกตาเล็กน้อย แล้วจ้องเขม็งไปที่อสูรวิญญาณครวญด้านล่าง
กลิ่นอายที่น่ากลัวราวกับจะทำลายล้างโลกแผ่ลงมาทันที
หานลี่สัมผัสได้เพียงกายเย็นเยียบร่างกายเป็นเหน็บชา แม้แต่นิ้วก็ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้
นี่ไม่ใช่พลังปราณ แต่เป็นพลังแรงกดของแดนเบื้องบนชนิดหนึ่ง
ดวงตาประหลาดนี้ดูเหมือนขอแค่ใช้ความคิดก็เพียงพอจะทำให้วิญญาณของเขาแหลกสลายแล้ว
หานลี่มีสีหน้าปั้นยาก
เขาไม่เคยรู้สึกถึงความรู้สึกที่ชีวิตตกอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นมานานมาแล้ว ทำให้เขาดูเหมือนจะกลับไปยามเป็นเด็กทารกอีกครั้ง เผชิญหน้ากับความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงยามที่เผชิญหน้ากับท่านหมอมั่ว
ภายใต้การจับตาของอสูรวิญญาณครวญ กล้ามเนื้อบนใบหน้าพลันกระตุก แล้วค่อยๆ มีเหงื่อผุดขึ้นมา แขนข้างหนึ่งสั่นเทาเบาๆ ดูเหมือนอยากจะยกขึ้น แต่สุดท้ายก็ยกได้แค่ครึ่งหนึ่งแล้วก็ตกลงมาอย่างอ่อนแรง
ดวงตายักษ์เห็นฉากนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเผยรอยยิ้มเยาะราวกับมนุษย์ออกมา เสียงราวกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตลอยมา
จากนั้นดวงตาก็ดูเหมือนจะกะพริบ พ่นเสาลำแสงสีโลหิตหนาๆ ออกมาทันที!
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!
อสูรวิญญาณครวญถูกเสาลำแสงสีโลหิตเข้ามาประชิดร่าง ร่างกายก็พลิ้วไหวถูกดูดห่างออกไป ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างออกไปพันจั้งเศษ
แม้ว่าหานลี่ที่อยู่ด้านล่างจะไม่อาจขยับตัวได้ แต่ก็ยังคงมองเห็นวิญญาณครวญที่อยู่ในเสาลำแสงพยายามหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง สายตาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกสับสน สุดท้ายก็เปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในแววตาใหญ่ยักษ์ห้าสีดวงนั้น
เสียงสวดมนต์หยุดลง ดวงตายักษ์หลับตาลงอีกครั้ง เสียงอึกทึกดังขึ้น แล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ
หมอกสีขาวทะลักออกมาอีกครั้ง ทั้งท้องฟ้ากลับคืนสู่ภาวะปกติ!
ในเวลาเดียวกันกับที่ดวงตาห้าสีสลายหายไป กลิ่นอายที่ทำให้คนตกใจจนขวัญผวาพลันสลายหายไป
หานลี่ที่ได้อิสระคืนมา พลันนิ่งงันอยู่ที่เดิม มองท้องฟ้าด้วยสีหน้าตะลึงงัน
หลังจากที่ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เสียงถอนหายใจพลันดังขึ้น
หานลี่ก้มหน้าลงอีกครั้ง ใบหน้าเผยสีหน้าหงอยเหงาออกมา
วิญญาณครวญติดตามเขามาตั้งแต่ที่ทะเลสาบดาวคลั่ง จนมาถึงแดนวิญญาณ และเคยช่วยชีวิตเขามาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ยามนี้จากเขาไป จะเป็นตายร้ายดีก็ไม่รู้ หากจะกล่าวว่าไม่กังวลเลยย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่เห็นได้ชัดว่าดวงตายักษ์ข้างนั้นเป็นสิ่งที่มาจากแดนเซียน เมื่อเขาไปอยู่ตรงหน้ามันก็ราวกับมดตัวหนึ่ง ไม่มีแรงจะต่อต้าน ทำได้เพียงมองทุกอย่างตาปริบๆ
โชคดีที่เห็นท่าทางเยือกเย็นยามที่วิญญาณครวญจากไป กว่าครึ่งคงไม่มีอันตรายมากนัก หากวันข้างหน้าเขาได้บินขึ้นไปจริงๆ จะได้เป็นวิญญาณครวญอีกครั้งหรือไม่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่รู้สึกเสียดายก็คือ อสูรตัวนี้บรรลุขึ้นไปเร็วเกินไปหน่อย ทำให้เขาไม่ทันได้สอบถามเรื่องของแดนเซียน
มิเช่นนั้นอาจจะมีประโยชน์ต่อการบรรลุเขตแดนของเขาในอนาคตก็เป็นได้
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี เงยหน้าขึ้นมองกลางอากาศอีกจุดหนึ่ง
เห็นเพียงท้องฟ้ามีลำแสงสีทองสว่างวาบ สายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมา ความเร็วของมันแค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็มาอยู่ตรงหน้าหานลี่
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง มองเห็นแขกที่มาในลำแสงหลีกหนีชัดเจน ก็อดที่จะเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาไม่ได้
ลำแสงหม่นลง ตรงหน้าเผยร่างสตรีผิวขาวผ่องร่างกายอรชนอ้อนแอ้นคนหนึ่งออกมา
“แม่หญิงหยวน ไม่ได้พบกันหลายปี สบายดีหรือ!” หานลี่ใช้สองมือประสานเข้าหากันพลางเอ่ยถาม
“พี่หาน เป็นท่านจริงๆ ด้วย!” หยวนเหยาสวมชุดชาววังสีเขียว เมื่อเห็นหานลี่ก็อดที่จะมีสีหน้ายินดีไม่ได้
หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของสตรีผู้นี้ เมื่อเห็นพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายแล้ว แววตาก็อดที่จะฉายแววตกตะลึงออกมาไม่ได้
“แม่หญิงหยวนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายแล้ว ดูแล้วท่านอาวุโสชิงหยวนจื่อคงเลี้ยงดูสหายเป็นอย่างดี”
“หึ ยามนี้หยวนเอ๋อร์ไม่เพียงเป็นศิษย์ของตาเฒ่า และไม่นานมานี้ตาแก่อย่างข้ายังกลายเป็นพ่อบุญธรรมอีกด้วย! ผู้แซ่ชิงจะไม่ดูแลเป็นอย่างดีได้อย่างไร” เสียงบุรุษอีกเสียงหนึ่ง พลันแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
จากนั้นลำแสงสีเขียวก็บินออกมาจากแขนเสื้อของหยวนเหยา หมุนวนรอบหนึ่ง แล้วกลายเป็นคนตัวน้อยสีเขียวคนหนึ่ง
คนตัวน้อยสวมชุดคลุมสีเทา สะพายกระบี่เล่มเล็กสีเขียว ความสูงสองสามฉื่อ ใบหน้าธรรมดาๆ แต่กลับไว้เครายาว นั่นก็คือชิงหยวนจื่อที่ตัวหดเล็กลงกว่าเดิมสิบเท่า
“ทารกวิญญาณร่างแข็ง!” หานลี่เห็นคนตัวน้อย กลับอดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงไม่ได้
“อันใด ทารกวิญญาณของตาเฒ่าออกจากร่างทำให้เจ้าตกใจขนาดนี้เชียวหรือ อ๋อ เกือบลืมไป พลังยุทธ์ยังไม่ถึงระดับมหายาน ทารกวิญญาณออกจากร่างเป็นเวลานานย่อมเป็นเรื่องอันตราย ทว่าตาเฒ่าเข้าสู่ระดับมหายานตั้งนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทารกวิญญาณย่อมฝึกฝนจนถึงขั้นร่างแข็งดุจร่างเดิม กายเนื้อย่อมไม่จำเป็นสำหรับตาเฒ่าแล้ว จุดนี้รอเจ้าพัฒนามาอยู่ระดับมหายานแล้วย่อมเข้าใจเอง และยิ่งไปกว่านั้นที่ตามหยวนเอ๋อร์มาที่นี่ เป็นแค่ร่างแยกของทารกวิญญาณที่สามของข้าเท่านั้น” ชิงหยวนจื่อหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“ท่านอาวุโสมีพลังปราณเหนือฟ้า ชนรุ่นหลังนับถือเป็นอย่างยิ่ง!” หานลี่ค้อมตัวลง แล้วเอ่ยออกมาจากใจจริง
“จุดนี้ไม่มีอันใดหรอก กลับเป็นเจ้าเด็กแซ่หาน ไม่ได้พบกันแค่สองสามร้อยปี เจ้าบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว ความเร็วในการพัฒนาระดับเร็วกว่าตาเฒ่าในยามนั้นเสียอีก ดูแล้วที่ผ่านมาเจ้าคงมีวาสนาไม่น้อยสินะ” คนตัวเล็กสีเขียวหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วกลับเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“ท่านอาวุโสชมเกินไปแล้ว นี่เป็นเพราะชนรุ่นหลังมีวาสนาเล็กน้อย ไหนเลยจะกล้าเทียบกับท่านอาวุโสในปีนั้น!” หานลี่ย่อมเอ่ยอย่างถ่อมตน
“ชมเกินไปหรือไม่ ตาเฒ่าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าก่อนหน้านี้ที่ยังมาไม่ถึง เจ้าได้สู้กับผู้ใดหรือไม่? และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ก็ดูเหมือนจะแปลกประหลาดมาก!” ชิงหยวนจื่อกวาดตามองรอบๆ แล้วขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
หานลี่ได้ยินคำนี้ กลับรู้สึกใจเต้นและประหลาดใจเล็กน้อย
กลิ่นอายความน่ากลัวของดวงตายักษ์ห้าสีเมื่อครู่ ตามหลักการแล้วแม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน จากอิทธิฤทธิ์ของชิงหยวนจื่อก็น่าจะสัมผัสได้ แต่ยามนี้หากพูดออกไป หรือว่ากลิ่นอายของเนตรยักษ์สำแดงอิทธิฤทธิ์อันใดกักกลิ่นอายไว้ในละแวกนี้ ไม่ได้เผยออกไปข้างนอก
หากเป็นเช่นนี้อิทธิฤทธิ์เนตรยักษ์ห้าสีก็น่ากลัวว่าที่เขาคิดเอาไว้หลายส่วน
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น แต่ปากกลับตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ไม่มีอันใด แค่เมื่อครู่ที่ส่งตัวมานั้น มีศัตรูคนหนึ่งแอบเข้ามาด้วย ทว่าเมื่อครู่ถูกข้าจัดการแล้ว ศัตรูผู้นี้มีต้นกำเนิดค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่จึงไม่ปกติ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง กลับเป็นตาเฒ่าที่กังวลมากเกินไป เอาละ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุยกัน สหายหานตามข้ากับหยวนเอ๋อร์กลับที่พักเถิด การที่เจ้าเข้ามาในครั้งนี้มันผิดพลาดเล็กน้อย ห่างจากที่พักของข้าไปครึ่งวัน หากไม่ใช่เพราะข้ากับหยวนเอ๋อร์ออกมาทดสอบเคล็ดวิชาลับเข้าพอดี ก็ไม่อาจมาหาเจ้าได้เร็วเพียงนี้” ชิงหยวนจื่อใช้สายตามีเลศนัยมองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
จากนั้นเขาก็ไม่รอให้หานลี่ตอบรับ ลำแสงสีเขียวพลันเปล่งประกาย กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศออกไป
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ยกมุมปาก ทำได้เพียงตอบรับ แล้วขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีตามไป
ส่วนหยวนเหยาก็หัวเราะหึๆ กลายเป็นสายรุ้งสีทองบินเคียงบ่าเคียงไหล่ของหานลี่ไป
“พี่หาน ข้ายังนึกว่าเจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้งน่าจะต้องรออีกสองสามปี ถึงอย่างไรเสียที่พ่อบุญธรรมให้ท่านรวบรวมวัตถุดิบก็มีแต่สิ่งที่หายาก” หยวนเหยาพุ่งตัวไปข้างหน้าไปพลาง ถ่ายทอดเสียงไปพลาง
“ผู้อื่นไม่รู้ แต่นิสัยของพี่หาน น้องหญิงเข้าใจดี หากไม่มีผลประโยชน์เพียงพอ พี่หานย่อมไม่มีทางกลับมาที่นี่อีก และที่นี่ทำให้สหายให้ความสำคัญได้ กว่าครึ่งก็เพราะยามนี้มีนมเทวะแม่น้ำยมโลกที่มีประโยชน์ต่อพี่หาน” หยวนเหยายิ้มร่า ใบหน้างดงามเพริศพริ้ง
“เซียนรู้จักนิสัยผู้แซ่หานไม่น้อย ครั้งนี้ข้าน้อยมาเพื่อนมเทวะแม่น้ำยมโลก” หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น