“ในเมื่อมีเหตุผล ย่อมมิโทษท่านอาวุโส เช่นนั้นชนรุ่นหลังขอรอก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ไม่ทราบว่าจะมีข่าวเมื่อใดหรือ!” หานลี่ย่อมรู้ว่าชิงหยวนจื่อกล่าวเช่นนี้ นับว่าให้เกียรติเขาแล้ว พอครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตอบรับอย่างนอบน้อม
“ไปเยี่ยมเจ้าพวกนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่อาจใช้ทารกวิญญาณที่สองของข้าได้ ต้องให้ข้าไปเยี่ยมด้วยตนเอง และเดาว่าอย่างน้อยก็สองสามเดือน มากหน่อยก็ครึ่งปีร่างของข้าถึงจะออกจากการกักตน ช่วงเวลานี้ สหายหานรอได้สินะ” ชิงหยวนจื่อตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว แม้ว่าชนรุ่นหลังจะร้อนใจแต่ก็รอได้” เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ หานลี่ก็อดที่จะยิ้มแฉ่งไม่ได้
“หึๆ ไม่ทราบว่าคาถากระบี่มรกตดั้งเดิมของสหายหานฝึกฝนไปอย่างไรแล้ว กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาน่าจะหลอมใหม่ไปแล้วสินะ?” ชิงหยวนจื่อพลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ชนรุ่นหลังทำตามที่ท่านอาวุโสชี้แนะ หลอมกระบี่ทั้งหมดอีกครั้งแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังหลอมจนมาถึงเขตอาคมกระบี่ม้วนมรกตขั้นสุดท้ายแล้ว แต่คาถาการถ่ายกระบี่ที่ท่านอาวุโสถ่ายทอดมามันลึกซึ้งจริงๆ ชนรุ่นหลังเรียนรู้ได้แค่คร่าวๆ เท่านั้น” ได้ยินชายชราเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา หานลี่ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จะยอมให้ตาเฒ่าชี้แนะคาถากระบี่กับเจ้าหรือไม่ สำหรับคาถากระบี่นั้นตาเฒ่าได้ความรู้ใหม่มาเมื่อสองสามปีก่อน เชื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อสหายแน่ นอกจากนี้สหายในยามนี้ยังมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว คิดดูแล้วคงจะได้พบกับจุดคอขวดของระดับขั้นปลายในอีกไม่ช้าก็เร็ว ประสบการณ์ที่ตาเฒ่าได้เรียนรู้มา ก็จะชี้แนะให้เช่นกัน” ชิงหยวนจื่อเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ทั้งตกตะลึงระคนดีใจออกมา
“ขอบพระคุณความเมตตาของท่านอาวุโส ได้รับการชี้แนะจากท่านอาวุโสย่อมเป็นวาสนาของชนรุ่นหลังแล้ว!” หานลี่รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม
เขารู้ดี ชิงหยวนจื่อทำเช่นนี้ แน่นอนว่าเห็นแก่วัตถุดิบที่เขารวบรวมมาได้เกือบครบ
“เยี่ยม ในเมื่อสหายหานไม่มีข้อคิดเห็น ก็พักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ตาเฒ่าจะไปจัดการวัตถุดิบเหล่านี้ พรุ่งนี้สหายก็มาหาข้าที่ห้องลับ หยวนเอ๋อร์ เหยียนลี่ เจ้าสองคนเป็นตัวแทนข้าดูแลสหายหานให้ดี” ชิงหยวนจื่อเห็นว่าพูดคุยกันเสร็จแล้ว ก็เผยรอยยิ้มออกมา แล้วหันหน้าไปออกคำสั่งกับหยวนเหยา
“เจ้าค่ะ พ่อบุญธรรม! ท่านโปรดวางใจ ลูกจะดูแลสหายหานให้ดี”
“ชนรุ่นหลังรับคำบัญชา!”
หยวนเหยาและเหยียนลี่ย่อมค้อมตัวลงตอบรับอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ชิงหยวนจื่อพยักหน้า ก็ทักทายหานลี่อีกครั้ง แล้วออกไปจากห้องโถง
ชั่วขณะนั้นในห้องโถงจึงเหลือเพียงหานลี่และหญิงงามทั้งสองคน
“พี่หาน คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่ได้พบกันแค่สองสามร้อยปี คาดไม่ถึงว่าท่านจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว ความเร็วระดับนี้ช่างทำให้ข้าและคนอื่นๆ ละอายเลยจริงๆ” หยวนเหยาหน้าแดงระเรื่อ ยามที่ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดกับหานลี่นั้น เหยียนลี่ก็ใช้สายตาสนอกสนใจพิจารณาหานลี่ และยิ่งไปกว่านั้นยังเอ่ยปากชมว่าสุดยอด
นี่เป็นเพราะสตรีผู้นี้นับว่าสนิทสนมกับหานลี่ในระดับหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังเคยคบค้ากันยามที่อยู่ในระดับเดียวกัน มิเช่นนั้นคงไม่อาจกล้าหาญเช่นนี้ได้
“เซียนเหยียนอยู่ข้างกายท่านอาวุโสเจียงได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังพัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับหลอมสุญตาภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ก็มีสหายตั้งมากมายอิจฉาเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นช่วงที่ไม่ได้พบกัน ไอหยินในร่างของสหายทั้งสองก็ลดลงไปไม่น้อยแล้ว ดูแล้วน่าจะหาวิธีรักษาได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง” หานลี่พิจารณาเหยียนลี่ขึ้นลงเช่นกัน แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“พี่หานมีอิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศยากจะคาดเดา การเปลี่ยนแปลงของข้าและศิษย์น้องหญิงคงปิดบังสหายไม่ได้ ใช่แล้ว ท่านอาวุโสหาวิธีที่ทำให้เราหลุดพ้นจากร่างครึ่งภูติได้แล้ว ทว่าวิธีนี้เห็นผลช้ามาก จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะเปลี่ยนแปลงได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น หากอยากจะรักษาให้ได้จริงๆ เดาว่าคงต้องใช้เวลาสองสามพันปีถึงจะสำเร็จ” เหยียนลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกยินดียิ่ง
“เซียนทั้งสองไม่เพียงมาจากแดนมนุษย์เหมือนกับผู้แซ่หาน และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสหายสนิทที่ข้าน้อยมีไม่มากในแดนวิญญาณ เมื่อเห็นว่าทั้งสองอยู่กับท่านอาวุโสสุขสบายดี ผู้แซ่หานก็รู้สึกยินดียิ่ง” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“พี่หาน หากสะดวกได้โปรดอธิบายประสบการณ์ของท่านให้เราฟังได้หรือไม่ เรื่องที่เป็นความลับก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ข้าและศิษย์น้องหญิงขึ้นมาแดนวิญญาณก็ถูกกักตัวอยู่ที่นี่ จึงสนใจประสบการณ์ของพี่หานเป็นอย่างมาก” ในที่สุดหยวนเหยาก็เอ่ยปากขึ้น
“ใช่แล้ว ข้าเองก็สนใจประสบการณ์ของพี่หานเช่นเดียวกัน” เหยียนลี่เองก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น
“ช่วงที่ผ่านมาข้าน้อยได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่น้อยเลยจริงๆ แม้กระทั่งไปยังแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น หากทั้งสองอยากรู้ ข้าน้อยก็จะเล่าให้ฟัง” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาและไม่ได้ปฏิเสธอันใด
“ตอนนั้นหลังจากที่ผู้แซ่หานจากไป ก็กลับไปกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่บนเกาะและโชคดีบังเอิญทะลุระดับหลอมสุญตา…”
เช่นนั้นหานลี่จึงเริ่มเล่าประสบการณ์หลังจากที่ตนออกจากแม่น้ำยมโลกให้กับสตรีทั้งสองฝั่งอย่างช้าๆ
ส่วนประสบการณ์ของเขาแม้ว่าจะปิดบังเรื่องสำคัญเอาไว้ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วก็ยังคงเป็นการเดินทางที่ยอดเยี่ยมมาก
ทำให้หยวนเหยาได้ฟังแล้วแววตาเปล่งประกายไม่หยุด ส่วนเหยียนลี่ก็ส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงออกมาเป็นระยะๆ!
ผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่หานลี่เล่าเรื่องราวของตนเสร็จ ย่อมซักถามถึงการฝึกฝนของสตรีทั้งสอง
หยวนเหยาและพวกทั้งสองย่อมบอกอย่างตรงไปตรงมา
แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจของหานลี่ ประสบการณ์ของสตรีทั้งสองจึงเรียบง่ายมาก
นอกจากการฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว บางครั้งก็ออกจากถ้ำพำนักไปเก็บสมุนไพรในแม่น้ำยมโลกที่ไม่ใหญ่นักให้ชิงหยวนจื่อแล้ว ก็แทบจะไม่มีประสบการณ์ใดๆ อีก
เช่นนั้นเวลาที่หานลี่และสตรีทั้งสองคุยเล่นกันจึงผ่านพ้นไป
ทว่าสุดท้ายเมื่อทั้งสามคุยกันเสร็จ สตรีทั้งสองก็พาหานลี่ออกจากห้องโถง และหาที่พักเงียบๆ ที่อยู่ลำพังให้หานลี่ได้พักผ่อนห้องหนึ่ง
เช่นนั้น หานลี่ก็จึงพักผ่อนไปหนึ่งคืน วันที่สองก็มาที่ห้องลับของชิงหยวนจื่อโดยมีสตรีทั้งสองเป็นผู้นำทาง….
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เวลาสามเดือนผ่านไปภายในพริบตา
วันนี้ชิงหยวนจื่อลอยอยู่เหนือถ้ำพำนักของตน ฉับพลันนั้นลำแสงสีทองและสายรุ้งสีเขียวก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากกะพริบวาบๆ ก็พุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี แบ่งออกเป็นชายชราชุดสีเทาและชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ อายุประมาณยี่สิบปีเศษ
นั่นก็คือชิงหยวนจื่อและหานลี่
ทว่าการบินครั้งนี้ชิงหยวนจื่อกลับไม่ได้ใช้ร่างแยกของทารกวิญญาณ แต่เป็นร่างเดิมของชิงหยวนจื่อ
ในที่สุดเมื่อวานเขาก็ออกมาจากการกักตนแล้ว
ในระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ภายใต้การชี้แนะของทารกวิญญาณของเขา แน่นอนว่าย่อมได้ประโยชน์ในการฝึกฝนไม่น้อย
ส่วนร่างเดิมของชิงหยวนจื่อก็เตรียมจะเยี่ยมเยียนคนลึกลับในแม่น้ำยมโลกทันทีในเช้าวันที่สอง
สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจก็คือ ชิงหยวนจื่อไม่บอกกับเขาก่อนออกเดินทาง
นี่จึงทำให้เขารู้สึกฉงนเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสจะไปเยี่ยมเยียนผู้ใด มีประวัติความเป็นมาอย่างไร บอกข้าน้อยก่อนได้หรือไม่” พอเดินทางมาได้ครึ่งทางอย่างไม่ยอมหยุดพัก หานลี่ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“ในเมื่อข้าพาเจ้าไปพบกับคนผู้นั้น แน่นอนว่าต้องคิดว่าคนผู้นี้น่าคบหาแน่ เทียบกับคนอื่นๆ แล้วก็มั่นใจได้ว่าจะเอานมวิญญาณมาได้ ส่วนประวัติความเป็นมาของเขา ตาเฒ่าก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ใช่คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินและเผ่าแมลงเม่าแน่นอน ดูเหมือนจะเป็นอสูรประหลาดที่ฝึกฝนสำเร็จ จากประสบการณ์และระยะเวลาในการดำรงอยู่ ตาเฒ่าเองก็ประจบสอพลอได้ยาก แม้ว่าคนผู้นี้จะคุยง่ายกว่าคนอื่น แต่นิสัยก็แปลกประหลาดเช่นกัน อีกเดี๋ยวพอได้พบ สหายหานก็ระวังหน่อย” ชิงหยวนจื่อตอบแล้วกำชับอย่างเคร่งขรึม
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่เตือน ชนรุ่นหลังจะระมัดระวังคำพูด” หานลี่ใจหายวาบ ปากก็ตอบรับ
“ฮ่าๆ ทว่าเจ้าเองก็วางใจ คนผู้นี้เคยสนิทสนมกับข้า หากไม่มีอันใดเกิดขึ้น การเดินทางครั้งนี้น่าจะได้ประโยชน์กลับมา” ชิงหยวนจื่อเองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หากเป็นเช่นที่ท่านอาวุโสกล่าว ชนรุ่นหลังก็วางใจ” หานลี่แววตาเปล่งประกาย แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ฮ่าๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็เดินทางเต็มอัตราเถิด ที่พักของคนผู้นั้นอยู่ในมุมที่ค่อนข้างรกร้างในแม่น้ำยมโลก แม้ว่าจากความเร็วของพวกเราก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าวันถึงจะไปถึง” ชิงหยวนจื่อหัวเราะร่า จากนั้นก็เปล่งแสงสีทอง ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้าหลายเท่า กลายเป็นเส้นไหมสีทองพุ่งแหวกอากาศไป
หานลี่เห็นเช่นนั้นย่อมปล่อยพลังปราณออกมา เร่งความเร็วเต็มอัตราเช่นกัน พลางกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวไล่ตามไปติดๆ
……
สิบวันต่อมาลำแสงหลีกหนีของหานลี่และพวกทั้งสองก็ถูกหมอกสีเทาบางๆ เหนือทะเลสาบสีเขียวประหลาดห่อหุ้มเอาไว้
ทะเลสาบนี้ไม่เพียงจะมีม่านหมอกปกคลุมอยู่ ยังมีท่าทีกว้างใหญ่ไพศาล วารีในทะเลสาบเป็นสีเขียวมรกต
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีแผ่จิตสัมผัสเข้าไปในวารีในทะเลสาบ คาดไม่ถึงว่าจะพบกลิ่นอายวิญญาณที่น่าตกตะลึง มัจฉาประหลาดขนาดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายไปมาไม่หยุด
กลิ่นอายของมัจฉาเหล่านี้น่าตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพลังปราณที่มีแค่มัจฉาปีศาจถึงจะมี
ทว่ามัจฉายักษ์เหล่านี้ดูเหมือนจะถูกควบคุมอยู่ ไม่เพียงจะไม่เห็นตัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำ แม้แต่ยามที่หานลี่และชิงหยวนจื่อบินผ่านก็แหวกว่ายอยู่ในสายธารอย่างไม่สนใจไยดี ท่าทางไม่คิดจะเข้ามาตรวจสอบเลยสักนิด
หานลี่รู้สึกตื่นตะลึง แต่หลังจากที่บินไปได้สองสามหมื่นลี้ เกาะที่สะดุดตาก็ปรากฏขึ้นกลางผิวน้ำ
สาเหตุที่กล่าวว่าสะดุดตาก็เพราะว่าทั้งเกาะเป็นสีทองเรืองรอง และยิ่งไปกว่านั้นด้านบนยังมีตำหนักขนาดยักษ์สีทองเรืองรอง แทบจะกินพื้นที่สองในสามส่วนของเกาะ
ส่วนที่เหลือก็ปลูกผลไม้และบุปผาประหลาดๆ เอาไว้เต็มไปหมด เป็นสถานที่ที่งดงามดุจแดนเซียน
ทว่าทั้งเกาะล้วนถูกม่านลำแสงสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ และยังสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นเขตต้องห้ามรางๆ
“ที่นี่คือที่พักของคนผู้นั้น! สหายน้อยหาน ตามตาเฒ่ามาเถิด” ชิงหยวนจื่อเห็นเกาะ ก็หยุดลำแสงหลีกหนี และหันหน้าไปเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้ม