คลื่นเสียงจำนวนมากถึงเพียงนี้โจมตีไปยังความว่างเปล่า ปะทุออกราวกับลูกคลื่นอันน่าสะพรึงกลัว ท้องฟ้าที่บิดเบี้ยวในตอนแรกทันใดนั้นก็ส่งเสียงกระหึ่มสนั่นก้องขึ้นมา
เหนือริ้วมารนั้นเพียงชั่วเวลาเดียว ก็เกิดรอยขาวยาวเป็นทางขึ้นหลายรอย จากนั้นท่ามกลางคลื่นเสียงที่กระหน่ำพัด ก็มีเสียงแตกร้าวราวกับเสียงกระจกแว่วออกมา
รอยขาวเหล่านี้กลายสภาพเป็นเส้นสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าก็ปริแยกออก
ไอมารสีดำราวกับกระแสคลื่นน้ำจากเขื่อนที่พังทลาย โหมกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้า พริบตาเดียวก็กลายเป็นทะเลมารสีดำทะมึน จากนั้นก็แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศอย่างคลุ้มคลั่งด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ค้างคาวมารยักษ์ที่เบียดเสียดกันแน่นหนาก็พุ่งลงมาท่ามกลางไอมารเหล่านั้น ต่างส่งเสียงหวีดร้องแหลมออกมา
แสงสีแดงดั่งเลือดบ่นผิวกายของพวกมันส่องกะพริบไม่หยุด ราวกับว่าเปลวเพลิงสีแดงดั่งเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากกลางทะเลมารนั้น และบินพุ่งไปทั่วทุกทิศเช่นกัน
และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ ลึกลงไปในริ้วมารซึ่งได้กลายเป็นหลุมดำขนาดมหึมานั้น มีเสียงโหยหวนที่ชวนสะพรึงกลัวแว่วออกมารำไร มีอสูรมารจำนวนมากขึ้นแตกฝูงออกเข้ามาสู่แดนวิญญาณ
“ไม่ได้การแล้ว เผ่ามารตัดสินใจบุกเข้าแดนวิญญาณแล้ว ภารกิจของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว รีบทำการเคลื่อนกลับเสีย!” ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีทองที่ไกลออกไปในที่สุดก็ได้สติกลับคืนหลังจากริ้วมารแตกออก แล้วพูดกับชายชราด้วยความตื่นตระหนก
เขากดเสียงต่ำอย่างถึงที่สุดโดยไม่รู้ตัว
“รีบไปกระจายคำสั่ง เคลื่อนย้ายกลับโดยด่วน!” ชายชราตัวเล็กเตี้ยคนนั้นถึงแม้จะรู้สึกสะพรึงกลัวเช่นกัน แต่ก็ออกคำสั่งทันทีโดยไม่ลังเลแม้สักนิด จากนั้นก็เริ่มใช้มือทั้งสองข้างร่ายยันเวททันที ร่ายเวทใส่เขตอาคมขนาดเล็กที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
องครักษ์ในชุดสีดำสองสามคนที่อยู่ด้านหลังเขา ก็รีบขยับตัวด้วยความลนลานมาข้างกายชายชรา และใช้พลังยุทธเข้าช่วยด้วยเช่นกัน
ชั่วพริบตาเดียวทันใดนั้นเรือบินสีทองก็ส่งเสียงดังเบาๆ พร้อมกันนั้นยันต์เวทหลายร้อยแถบก็ปรากฏขึ้นด้านบนและหมุนวนไปมา กลายเป็นแสงสีขาวนวลดั่งน้ำนม
เรือบินอีกลำนั้นได้ขยับเคลื่อนก่อนหน้าแล้ว
เรือบินทั่วทั้งลำเปล่งแสงและเริ่มสาดส่องแสงสีทองแสบตาออกมา อยู่ในสภาพที่พร้อมจะเคลื่อนย้ายกลับ
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีทองที่ยืนอยู่บนเรือทองคำเมื่อได้เห็นเช่นนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลงในที่สุด
แต่ในเวลานั้นเอง เสียงหวีดแหลมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ดังแว่วออกมาจากป่าทึบที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่
“ดูท่าโชคชะตาจะดีทีเดียว ทันทีที่เข้าสู่แดนวิญญาณ ก็ได้พบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองคนเข้า ข้าจะได้ขยับเนื้อขยับตัวแก้เมื่อย”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ชายฉกรรจ์และชายชราต่างๆ สะดุ้งตกใจ มองตามเสียงนั้นไปพร้อมกัน สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าห่างจากเรือทองคำทั้งสองลำเพียงไม่ถึงสามสิบจั้ง มีชายหนุ่มอัปลักษณ์ที่มีปีกค้างคาวงอกอยู่บนหลัง รูปร่างแคระแกร็นผอมเตี้ยผู้หนึ่งปรากฏขึ้นยังไม่รู้ที่มา
ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ดูโหดเหี้ยม ดวงตาสีเขียวมรกต ปีกค้างคาวบนหลังคู่นั้น ใหญ่กว่าร่างกายสามส่วน ดูเหมือนกับค้างคาวสีแดงเลือดเหล่านั้นอยู่เจ็ดแปดส่วน แต่ลมปราณที่แผ่ออกมานั้นกลับแข็งแกร่งกว่านับร้อยนับพันเท่า
“ไม่ได้การ นี่คือเผ่าพันธุ์มารระดับสูง!”
ชายฉกรรจ์และชายชราองครักษ์สวรรค์ทั้งสองเพียงครู่เดียวก็มองตัวตนของชายหนุ่มอัปลักษณ์นั้นออก ต่างหน้าถอดสีด้วยความตกตะลึง
คนทั้งสองเมื่อครู่เอาแต่จดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่น่าสะพรึงของริ้วมาร แต่อีกฝ่ายแอบเล็ดลอดมาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าเหนือพวกเขาเมื่อไหร่นั้น กลับไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้เพียงสักนิด
แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองเป็นถึงระดับหลอมสุญตา แทบจะพร้อมกันกับในขณะที่ตกตะลึง ก็เริ่มลงมือขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
คนหนึ่งตบไปที่ท้ายทอยอย่างแรง ชั่วพริบตาเดียวกระบี่เล็กสีเงินสิบกว่าเล่มก็พุ่งออกไป ชั่ววินาทีเดียว ก็กลายสภาพเป็นรุ้งเงินสิบกว่าสายฟาดฟันออกไป
อีกคนหนึ่งก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น วงแหวนห้าสีวงหนึ่งก็ส่งเสียงร้อง ชั่วพริบตาเดียว ก็กลายร่างเป็นห่วงเงาวงกลมสีจำนวนนับไม่ถ้วน คุ้มกันเรือทองคำทั้งสองลำเอาไว้ภายใน
ทันทีที่ทั้งสองเริ่มลงมือ คนหนึ่งจู่โจม คนหนึ่งป้องกัน ร่วมมือกันได้อย่างดี เห็นได้ชัดว่าการร่วมมือกันรับมือกับศัตรูของพวกเขาไม่ใช่ครั้งแรก
สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ได้คิดที่จะจู่โจมเอาชนะเผ่าพันธุ์มารระดับสูงที่อยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการสกัดรั้งการโจมตีของอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย
แต่ชายหนุ่มที่มีปีกค้างคาวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอบยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เผยให้เห็นฟันแหลมคมเรียวเล็กเรียงซี่อยู่เต็มปาก เผชิญหน้ากับรุ้งเงินแสงวิญญาณน่าเกรงกลัวนับสิบกว่าเส้นนั้นกลับไม่ได้หลบ เพียงแต่อ้าปากขึ้น
คลื่นเสียงลูกหนึ่งก็พุ่งออกมา เมื่อแผ่พุ่งออกไป ก็ม้วนเอากระบี่แสงนับสิบลำนั้นเอาไว้
สภาพการณ์อันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นแล้ว!
กระบี่แสงนับสิบนั้นส่งเสียงหวีดแหลม แสงสว่างที่ผิวภายนอกก็ดับลง แล้วกลับคืนสู่สภาพกระบี่เล็กดังเดิม จากนั้นก็ร่วงหล่นกระจัดกระจายลงมาจากท้องฟ้าท่ามกลางคลื่นเสียงที่พัดหมุน
ชายฉกรรจ์ในเกราะทองเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ซีดเผือดลงมาทันที
เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็เสียการเชื่อมประสานกับสมบัติวิเศษเจ้าชะตาที่ทุ่มเทฝึกบำเพ็ญมานับพันปี ไม่ทันที่จะใช้พลังยุทธคืนสภาพให้กับการควบคุมกระบี่บินเจ้าชะตาอีกครั้ง ชายหนุ่มอัปลักษณ์ด้านบนก็กระพือปีกค้างคาวบนหลังอย่างแรง
เสียงสายลมอสนีบาตก็เกิดขึ้น!
ร่างกายของชายหนุ่มเลือนรางลงเล็กน้อย แล้วหายวับจากที่เดิมไปอย่างน่าประหลาด แต่วินาทีถัดมา ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือท้องฟ้าระยะประชิดกับเรือทองคำทั้งสองลำนั้น จากนั้นก็ปล่อยหมัดทั้งสองโจมตีไปยังห่วงเงาที่อยู่ทั่วบนท้องฟ้า
เสียงดัง “โครมๆ” สองที กำปั้นทั้งสองข้างเพียงแต่ส่องแสงสีเลือดจางๆ ห่วงเงาที่เรียงกันแน่นหนานั้นก็สลายไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ปีกค้างคาวบนหลังชายหนุ่มกระพือขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์ราวกับสายฟ้าแลบ มือที่เลือนรางข้างหนึ่งก็แทงทะลุเข้าไปอย่างน่าประหลาดใจ
เกราะรบสีทองซึ่งเดิมทีน่าจะทนทานแข็งแกร่งนั้นกลับไม่สามารถป้องกันได้เลยแม้แต่น้อย
“อา”
องครักษ์เกราะดำคนอื่นๆ ที่อยู่บนเรือลำเดียวกันเห็นเช่นนั้น ก็ตื่นตระหนกการขึ้นมาทันที ต่างเปล่งแสงออกมาโดยไม่สนใจอะไรอีกทั้งสิ้น เตรียมที่จะแยกย้ายหนีไปจากเรือลำนี้
…
แต่ชายหนุ่มอัปลักษณ์เพียงแต่สะบัดปีกข้างหนึ่งที่อยู่บนหลังหนึ่งทีโดยไม่ได้หันไปมอง คมดาบแสงสีดำยาวร้อยจั้งหนึ่งก็ฟันออกไป
ด้วยความเร็วนั้น ชั่วพริบตาก็หายไป!
องครักษ์ชุดเกราะสีดำเหล่านั้นต่างหวีดร้องขึ้นมาพร้อมกัน กลายเป็นฝนเลือดโปรยปรายลงมา แม้แต่ปราณก่อกำเนิดที่อยู่ในกายก็ถูกฟันจนแหลกสลายไปพร้อมกัน
จากนั้นเงาร่างของชายหนุ่มก็เคลื่อนไหว กลายร่างเป็นแสงสีเลือดลูกหนึ่งพุ่งไปยังผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นบนเรือทองคำอีกลำ
ยังไม่ทันร่อนลง กลิ่นคาวเลือดก็ปะทะเข้ามา
ชายชราร่างเตี้ยไม่ทันที่จะตั้งตัวรับมือแม้แต่น้อย สีหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่าบังเอิญประการใด เขตอาคมส่งตัวที่อยู่ด้านล่างทันใดนั้นก็ส่องแสงสีขาว เรือทองคำทั้งลำก็ถูกส่งกลับไปในวินาทีนั้นเอง
แสงสีเลือดที่แปลงร่างมาจากชายหนุ่มอัปลักษณ์พุ่งไปยังความว่างเปล่า แต่เมื่อแสงดับลง ก็กลับคืนสู่สภาพร่างกายมนุษย์อีกครั้ง
เขามองไปยังเขตอาคมทรงตัวอันว่างเปล่าที่เหลืออยู่ ความหงุดหงิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างห้ามมิได้ ปีกค้างคาวข้างหนึ่งกระพือตี ทันใดนั้นสายลมมันคลุ้มคลั่งลูกหนึ่งก็พัดเอาแสงสว่างที่เหลือนั้นหายวับไปเหลือเพียงความว่างเปล่า
“ฮ่าๆ ฝูเลี่ย เจ้าแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ระดับหลอมสุญตาเพียงสองคนก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่ เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์อดใจรอดูฉากสนุกอยู่ข้างๆ เสียจริง!” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น แว่วมาจากด้านหลังต้นไม้ขนาดยักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ เต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เหมิงหมาน เจ้าเองหรือ! เข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไรกัน เผ่าพันธุ์โคอสุนีบาตไม่ใช่ว่าต้องเข้ามาแดนวิญญาณเป็นขบวนที่สองหรอกหรือ ฮึ หากไม่ใช่เพราะว่าเครื่องมือวิญญาณของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นสามารถทำการเคลื่อนย้ายไปได้ มีหรือจะหลุดพ้นจากน้ำมือของข้าได้” ชายหนุ่มอัปลักษณ์ได้ยินก็โกรธจัด ตวัดสายตามองไปยังต้นไม้ยักษ์ต้นนั้น
เห็นเพียงต้นไม้ยักษ์ต้นนั้นยังคงเหมือนดั่งปกติ ทันใดนั้นก็บิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย กลายสภาพเป็นมนุษย์ยักษ์ชายซึ่งทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสีเขียวมรกตตัวสูงห้าถึงหกจั้งผู้หนึ่ง
บนหัวยักษ์ตัวนี้มีเขาโค้งสีดำคู่หนึ่ง ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยขนสีเหลือง บนร่างกายยักษ์ห่มด้วยเกราะหนังสีดำชุดหนึ่ง บนหลังยังมีขวานสั้นสีทองคู่หนึ่งดูสะดุดตา กำลังใช้สายตาเย้ยหยันมองไปยังชายหนุ่ม
แต่ทว่าในวินาทีที่ได้เห็นสายตาจ้องทะมึนถึงด้วยความดุดันของชายหนุ่ม ก็ยิ้มร้ายขึ้นมา พูดตอบกลับโดยไม่ร้อนรนว่า
“เผ่าพันธุ์โคอสุนีบาตของพวกข้าก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะได้รับบัญชาจากท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นเผ่าพันธุ์ในขบวนแรกที่เข้ามายังแดนมารพร้อมกับเผ่าพันธุ์ค้างคาวมารของพวกเจ้า”
ทันทีที่พูดจบ อสูรเขาวัวก็ใช้มือข้างหนึ่งชี้ไปบนท้องฟ้าไกลออกไปอย่างใจเย็นหนึ่งที
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” ชายหนุ่มปีกค้างคาวอึ้งงัน แล้วรีบหันกายมองตามทิศทางนั้นไป
ก็เห็นกลางไอ้มารที่ลอยม้วนลงมาจากหลุมดำขนาดยักษ์ที่แยกออกนั้น นอกจากแสงเพลิงสีแดงดั่งเลือดมากมายรายล้อมอยู่อย่างมหาศาลแล้ว ยังมีวัวยักษ์สีครามตัวยาวนับสิบจั้งอีกหลายตัว
วัวยักษ์เหล่านี้นอกจากจะมีรูปร่างที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว บนผิวกายยังเต็มไปด้วยลวดลายสีเงินประหลาดมากมาย ทำให้รู้สึกน่าพิศวงอย่างถึงที่สุด
“ฮึ ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ แต่ข้าจะไม่ร่วมมือกับพวกวัวเถื่อนที่อุ้ยอ้ายเชื่องช้าอย่างพวกเจ้าหรอกนะ ด้วยความเร็วของเผ่าพันธุ์ค้างคาวโลหิตอย่างพวกข้า เพียงเวลาไม่กี่วัน ก็จะกำราบผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าพันธุ์มนุษย์ในละแวกนี้จนเรียบเตียนให้ท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้ จะได้สร้างเมืองปราการมารขึ้น” ชายหนุ่มแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชิงชัง
“อ๋อ คำพูดของท่านค้างคาวคือสิ่งที่ข้าอยากจะพูดพอดี อาศัยพลังของเผ่าพันธุ์ค้างคาวโลหิตของพวกเจ้า เมื่อเผชิญกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ระดับต่ำเหล่านั้น ย่อมสามารถพิชิตได้อย่างแน่นอน แต่หากเจอเข้ากับที่มั่นเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งใหญ่โตขึ้นมาหน่อย เผ่าพันธุ์ค้างคาวโลหิตของพวกเจ้าก็เป็นได้เพียงเข้าทางเท่านั้น แล้วจะมาเทียบกับเผ่าพันธุ์โคอสุนีบาตของพวกข้าได้อย่างไรเล่า” ยักษ์หัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น
“อย่างนั้นหรือ ในเมื่อเช่นนี้ สามวันให้หลัง พวกเรามาดูกันว่าเผ่าพันธุ์ไหนจะสามารถกำจัดผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ได้มากกว่ากัน!” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“ได้ ข้ารับคำท้า เผ่าพันธุ์ที่แพ้หลังจากนี้ไปต้องมอบสิ่งที่ได้ทั้งหมดจากแดนวิญญาณสามส่วนให้กับอีกฝ่าย” ยักษ์หัววัวพูดขึ้นแววตาเยือกเย็น
“มาตบมือสาบานกัน!” คิ้วของชายหนุ่มอัปลักษณ์ตั้งขึ้น พูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
วัวยักษ์ยิ้มร้ายหนึ่งที เมื่อปล่อยมือที่ที่กอดอกอยู่ข้างหนึ่งซึ่งใหญ่ราวกับพัด แล้วตบออกไปเช่นกัน
เสียงดังขึ้นสามครั้งดัง “แปะๆๆ”
เสี้ยววินาทีที่มือเล็กข้างใหญ่ข้างทั้งสองปะทะกัน ก็เกิดแสงประหลาดสีครามและแดงปะทุออกมา เงาร่างของทั้งสองวูบไหวอยู่คู่หนึ่ง แล้วดีดแยกออกจากกันราวกับเจอเข้ากับอสรพิษ
“ค้างคาวทั้งห้าอยู่ที่ไหน!” เงาร่างของชายหนุ่มเพิ่งจะชัดเจนขึ้นตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่เกรี้ยวกราด
“ไปเข้าร่วมกับผู้บังคับบัญชาซะ!”
ทันทีที่พูดจบ ความว่างเปล่าที่อยู่ใกล้ๆ ก็ขับเคลื่อนไหว ร่างของค้างคาวยักษ์ที่ร่างกายใหญ่โตมากกว่าค้างคาวโลหิตทั่วไปห้าตัว ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับลมพายุ
ค้างคาวยักษ์เหล่านี้สยายปีกทั้งสองออก ยาวถึงสิบกว่าจั้ง ความใหญ่โตของร่างกายนั้นน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“ไป ไปจับคนปกติของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาสักสองสามคน!” ชายหนุ่มออกคำสั่ง