“แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้บอกละเอียด แต่กว่าครึ่งก็คงเป็นเช่นนั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า
“เยี่ยม! คิดไม่ถึงว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้พบกับลำแสงเขียวไท่อี่ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร แม้ว่าจะไม่ได้สมบัติอันใดในการเดินทางครั้งนี้ แต่ก็ไม่สูญเปล่า” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมองไปที่หมอกสีขาวด้านล่าง แววตาเผยแววครุ่นคิดออกมา
ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือ ในมือมีสามง่ามสีแดงสดปรากฏขึ้น ชูมือข้างหนึ่งขึ้น กลายเป็นลำแสงสีแดงพุ่งออกไป
แค่กะพริบวาบ ชั่วพริบตานั้นลำแสงก็มาอยู่เหนือหมอกลำแสงสีขาว ดูเหมือนว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไป
ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นลำแสงสีแดงพลันสั่นเทา สามง่ามเปล่งเสียงร้องคำรามออกมา ชั่วครู่ก็แยกออกเป็นเจ็ดแปดท่อน
ราวกับถูกอาวุธไร้รูปร่างเจ็ดแปดเล่มสับลงมาพร้อมกัน แตกออกอย่างง่ายดาย
เศษสามง่ามหักๆ ร่อนลงมาด้านล่างอีกครั้ง แล้วถูกโจมตีอย่างหนาแน่นอีกครั้ง สุดท้ายก็กลายเป็นดวงลำแสงสีแดงระเบิดออกแล้วสลายหายไป
หานลี่มองเห็นฉากเมื่อครู่ ก็หุบยิ้มตรงมุมปาก สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อครู่ที่แผ่จิตสัมผัสมา คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสลำแสงเขียวไท่อี่ไม่ได้
แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง รูม่านตาจึงเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วพริบตาสามง่ามก็ระเบิดออก มองเห็นเงาลวงตาบางๆ ยี่สิบสามสิบสายสับลงมาด้านบน
ของเหล่านี้แม้ว่าจะจะมองเห็นรางๆ ภายใต้เนตรวิญญาณ รูปร่างโปร่งใส
ดูแล้วของเหล่านี้คงเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของลำแสงเขียวไท่อี่
“ลำแสงเขียวไท่อี่นี่แปลกประหลาดดังคาด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงลำแสงลวงตาเหล่านั้น แล้วถอนหายใจออกเบาๆ ขณะเอ่ย
หานลี่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น ลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง สิ่งนี้ก็ร่อนลงมาด้านล่าง
เป็นกระบี่บินสีเขียวยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่ง!
นั่นก็คือกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆา
กระบี่เล่มนี้สับลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาอยู่ในระดับความสูงที่ห่างจากหมอกสีขาวไปไม่ถึงสิบกว่าจั้ง
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ จ้องเขม็งมองไปด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
ผลคือเห็นเงาลวงตารูปทรงเหมือนเส้นไหมบางๆ ยี่สิบสามสิบเล่ม ก็ปรากฏตัวรอบๆ กระบี่บิน จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาที่กระบี่บิน
เสียงร้องแหลมๆ เสียดแก้วหูดังขึ้น!
กระบี่บินเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง อาศัยความแหลมคมของตัวมันทำให้ปลอดภัยไร้อันตราย แต่ก็ยังคงร่อนลงมาด้านล่าง
มองเห็นว่าจะสัมผัสกับหมอกลำแสงสีขาว เงาลวงตาที่ปรากฏรอบด้านกระบี่บินพลันพุ่งเข้าไปหากระบี่บินพร้อมกันนับร้อยนับพันดวง
ในที่สุดกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาก็ไม่อาจต้านทานเสียงร้องต่ำๆ ได้ จากนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งแล้วระเบิดออก
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็ตะปบมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศโดยไม่ได้พูดอันใด
ลำแสงสีเขียวในมือมารวมตัวกันอยู่จุดๆ เดียว กระบี่บินอันสมบูรณ์แบบเล่มหนึ่งรวมตัวกันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น แววตาแปลกประหลาดพลันฉายแวบผ่าน
ส่วนหานลี่กลับสั่นศีรษะ โบกสะบัดมือข้างหนึ่ง กระบี่บินในมือพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้ว่าในมือของเขาจะมีพลังป้องกันเหนือกว่าสมบัติอื่นๆ อย่างกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆา แต่หากถูกทำลายก็ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเสี่ยงเอาออกมาทดสอบกับเขตอาคมนี้ได้
ทว่าแม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ หานลี่กลับรู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
ลำแสงเขียวไท่อี่ คือลำแสงประหลาดที่เป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมห้าภูเขาผสานปราณอย่าง ‘ภูเขาเขียวไท่อี่’
แม้ว่าในโลกนี้จะมีสมบัติของลำแสงเขียวไท่อี่ แต่ก็ไม่ได้มีเพียงภูเขาเขียวไท่อี่ที่มีรูปทรงเป็นยอดเขา
แต่ในเมื่อเขตอาคมนี้อาจจะเป็นที่พำนักของเซียนเที่ยงแท้ และยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาอานุภาพเอาไว้ได้มาตั้งแต่ในอดีตกาล ดูเหมือนว่าจะมีเพียงลำแสงเขียวไท่อี่ที่ส่งออกมาจากภูเขาเขียวไท่อี่อย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่ทำได้
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ หากเขาได้ภูเขาลูกนี้มา ภูเขาลูกที่สองก็เป็นสิ่งที่เฝ้ารอได้เลย
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น กลับเอ่ยกับหญิงสาวอย่างราบเรียบ
“ลำแสงเขียวไท่อี่แหลมคมดังคาด ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าและข้าสองคนจะทำลายได้ รอให้สหายสือคุนมาถึง ทั้งสามคนค่อยร่วมมือกันทลายจะดีกว่า”
“น้องหญิงก็คิดเช่นนั้น พวกเราหาที่พักพักผ่อนให้กระปรี้กระเปร่าแถวๆ นี้ก่อนเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยสนับสนุนอย่างเต็มปากเต็มคำ
ดังนั้นทั้งสองคนจึงปรึกษากันเล็กน้อย แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่งอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศที่ห่างออกไปพันลี้
แม้ว่าที่นี่จะมีพายุทรายไม่น้อย แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ชูมือข้างหนึ่งขึ้น สำแดงไข่มุกทรงกลมสีเหลืองออกมา
ไข่มุกนี้หมุนติ้วๆ ปล่อยแสงสีเหลืองออกมา ห่อหุ้มหานลี่และหญิงสาวผู้นี้เอาไว้
พายุทรายรอบๆ ถูกลำแสงสีเหลืองกวาดออกไป ชั่วขณะนั้นพลันหายไปจนเกลี้ยง
หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันร่อนลงมาอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ร่อนลงตรงจุดที่พังทลายไปกว่าครึ่ง เหลือเอาไว้เพียงวิหารที่ผุพังไปกว่าครึ่ง
……
ครึ่งเดือนต่อมาขอบฟ้าพลันมีลำแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นสายหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้ามา
หลังจากกะพริบวาบสองสามครา ก็หม่นแสงลงและเผยเงาร่างสูงใหญ่ออกมาตรงหน้าวิหารที่หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่
นั่นก็คือสือคุนของเผ่ารังไหมศิลา
ทว่าชายร่างใหญ่ในยามนี้มีสีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างหม่นแสง ดูเหมือนว่าจะสูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย
สือคุนร่อนลงมาด้านล่างท่ามกลางพายุทรายอย่างไม่รีบร้อน แต่ก็มองไปรอบๆ ด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีความผิดปกติใดนั้น ถึงได้พลิกฝ่ามือ ในมือมีจานอาคมปรากฏขึ้น
เขาจ้องมองจานอาคมเขม็ง ผิวเปล่งแสงสีเหลืองออกมา ร่อนลงมาด้านล่างอย่างเงียบๆ
เม็ดทรายสีเหลืองด้านล่างโจมตีไปบนลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มชายร่างใหญ่ เปล่งเสียงเอี๊ยดๆ ราวกับทองคำกระทบกันออกมา แต่กลับไม่อาจทำอันใดได้เลยสักนิด
แต่เมื่อสือคุนร่อนลงมาถึงวิหาร หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับรออยู่ที่ทางเข้าตั้งนานแล้ว
“พี่สือ สีหน้าท่านแย่ขนาดนี้ หรือว่าพบกับความยุ่งยากอันใด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นท่าทางของสือคุนชัดเจน ก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงเล็กๆ
“ไม่ใช่แค่ยุ่งยาก ผู้แซ่สือเกือบจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้” สือคุนเห็นหานลี่และพวกทั้งสอง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงจากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ร่างกายของเขาพลิ้วไหว ลงมาอยู่ตรงหน้าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์
“หรือว่าสหายสือไม่ได้สลัดแมลงเหี้ยมออกไปตั้งแต่แรก?” หานลี่เอ่ยถามอย่างแช่มช้า
เขาจำได้ดี ผู้ที่ไล่ตามชายร่างใหญ่ไปเหมือนกับผู้ที่ไล่ตามเขานั่นก็คือแมลงคลื่นสีเงิน
หากไม่ใช่เพราะเขาสังหารมันไปจนเกลี้ยง ก็คงสลัดออกยาก
“แม้ว่าแมลงเหล่านั้นจะรับมือได้ยาก แต่ข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับที่ได้รับถ่ายทอดมาจากท่านอาจารย์ พวกมันก็ไม่ได้ทำให้ข้าจนตรอก ข้าพบกับคนของเผ่าอัสนีคำรามระหว่างทาง ถูกพวกมันไล่สังหารมานานครึ่งเดือน ในที่สุดถึงได้หนีเอาชีวิตรอดมาได้” ชายร่างใหญ่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันขณะเอ่ย
“เผ่าอัสนีคำราม! คือกลุ่มที่สำแดงได้เพียงอิทธิฤทธิ์ธาตุน้ำแข็ง และคิดว่าธาตุน้ำแข็งเป็นต้นกำเนิดของทุกอิทธิฤทธิ์ และมองผู้ที่ฝึกฝนธาตุอื่นเป็นศัตรูน่ะหรือ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว เจ้าบ้าพวกนั้นแหละ อย่ามองว่าเผ่านี้มีพละกำลังแค่ระดับกลาง และยิ่งไปกว่านั้นทุกคนยังไม่มีเหตุผล แต่จากพลังในการต่อสู้ก็ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าระดับกลางและสูงอย่างระดับราชามหาสมุทรและระดับเขาเดียว ก่อนหน้านี้เผ่านี้มีชีวิตอยู่แค่ทางเหนือสุดของแผ่นดินเสียงเพรียกอัสนี เป็นเพราะมันโดดเดี่ยวเกินไป จึงไม่ค่อยได้รับแผ่นป้ายกว้างเย็น เข้ามาในแดนกว้างเย็น คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่เพียงจะเข้ามาในแดนนี้ ข้ายังโชคร้ายไปพบเข้าอีก” สือคุนเอ่ยอย่างโมโห
เป็นเพราะหานลี่เคยอ่านมาจากในตำรา แน่นอนว่าจึงรู้จักชื่อเสียงของเผ่าอัสนีคำราม เมื่อได้ยินก็มองสบตากับหลิวสุ่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วทำได้เพียงถอนหายใจกับความโชคร้ายของชายหนุ่ม
จากสถานการณ์ของชายร่างใหญ่ในยามนี้ แน่นอนว่าไม่เหมาะสมที่จะทลายเขตอาคมกับพวกเขาสองคนในครานี้
ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันเล็กน้อย ก็เตรียมตัวว่าจะรออีกสักห้าหกวัน ให้สือคุนฟื้นฟูพลังปราณ แล้วเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
แน่นอนว่าหานลี่เองก็เล่าเรื่องคนของเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปสองสามหมื่นลี้ให้สือคุนฟัง
ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันแบะปาก และมีท่าทีหมดคำพูด
วันเวลาห้าหกวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ระยะเวลานี้หุ่นเชิดของหานลี่และอสูรวิญญาณของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ล้วนไม่เห็นชนเผ่าแมลงมีเขาวางเคล็ดวิชาลวงตา หรือมีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ราวกับว่าหลังจากที่ชาวเผ่าแมลงมีเขาวางเขตอาคมลวงตาไว้ จะมีเพิ่มหรือไม่มีเพิ่มก็เท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
แม้ว่าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าคนเผ่านี้มีความคิดอันใด แต่แน่นอนว่าก็ต้องเฝ้าภาวนาให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อจนถึงยามสุดท้าย ให้พวกเขาทำลายเขตอาคมได้อย่างราบรื่น แล้วจากไปอีกครั้ง
ดังนั้นวันนี้ทั้งสามคนจึงบินออกมาจากพื้นดินอย่างเงียบเชียบ แล้วแอบเข้าไปในเขตอาคม
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีสามสายก็มาปรากฏตัวขึ้นใกล้กับหมอกลำแสงสีขาวกลุ่มนั้นอีกครั้ง เงาร่างของหานลี่และพวกทั้งสามปรากฏออกมา จากนั้นร่างกายก็เลือนรางไป แล้วแยกย้ายกันไป ปรากฏตัวขึ้นตรงมุมของเขตอาคมเป็นรูปสามเหลี่ยม
“หากอยากทลาย สหายทั้งสามจะต้องจำมันให้ขึ้นใจก่อน เขตอาคมด้านล่างสร้างขึ้นจากลำแสงเขียวไท่อี่ แบ่งออกเป็นสามชั้นใหญ่ สิบเอ็ดระดับ แต่ละระดับร้ายกาจขึ้นทีละสามส่วน จำต้องทลายทั้งหมดในคราวเดียว มิเช่นนั้นขอแค่พบกับอุปสรรคในระดับของเขตอาคมต้องห้าม แล้วเคลื่อนไหวเชื่องช้า การทลายเขตอาคมก่อนหน้าก็จะกลับเป็นดังเดิม ทำให้ทุกอย่างล้มเหลว! วันนั้นท่านอาวุโสต้วนยังไม่ได้อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ก็อาศัยสมบัติป้องกันตัวที่น่าตกตะลึงและกายเนื้อที่แข็งแกร่งทลายระดับของเขตอาคมต้องห้ามไปทีเดียวเจ็ดระดับ แต่หากพวกเราสามคนร่วมมือกัน และยิ่งไปกว่านั้นมีลำแสงเทวะดูดปราณคอยควบคุมลำแสงเขียวไท่อี่ ตามทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำลายได้ทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น ทว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของท่านอาจารย์เท่านั้น ความจริงเป็นอย่างไร มีเพียงถึงครานั้นถึงจะรู้ ดังนั้นสหายทั้งสองยังคงต้องระมัดระวังให้มาก!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองหานลี่และสือคุนแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นได้ชัดว่าเรื่องทลายเขตอาคมนั้น มีหญิงสาวผู้นี้เป็นหัวหน้า
หานลี่ได้ฟังคำพูดของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็อดที่จะฉีกยิ้มไม่ได้ และเอ่ยถามย้อนกลับ
“ข้าและสหายสือล้วนเสียแรงไปตั้งมากกว่าจะมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าย่อมต้องออกแรงเต็มที่ ไม่มีทางปล่อยให้ล้มเหลวแน่ แต่ข้อตกลงที่ข้าทำกับท่านอาวุโสทั้งสอง เซียนหลิวและสหายสือน่าจะรู้ดีสินะ?”
“พี่หานโปรดวางใจ ข้าสองคนสัญญากับท่านอาจารย์เอาไว้แล้ว นอกจากของที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการสองสามชิ้น สมบัติที่เหลือก็ต้องดูตามพรสวรรค์ของแต่ละคน ไม่มีทางขออันใดเพิ่มแน่”
สือคุนที่อยู่ด้านข้างได้ยิน ก็หัวเราะร่าแล้วพยักหน้าเช่นกัน
หานลี่ได้ฟังคำนี้ ก็พยักหน้าพร้อมเผยใบหน้าพึงพอใจ