A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1899 รวมตัว

ภายในสายรุ้งสองสายแรงกดที่มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ถึงจะมีได้สองกลุ่มแผ่ออกมาหาจอมมารเผ่ามารทั้งสอง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นและขั้นกลาง

ชายร่างใหญ่เผ่ามารเห็นเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี มองไปยังจุดที่ไกลออกไปสองแวบ ทันใดนั้นก็เอ่ยกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไป”

สิ้นเสียงเขาก็ชูมือขึ้น รถศึกสีดำสนิทความยาวสองสามจั้งคันหนึ่งพุ่งออกมาจากมือ ร่างกายพลิ้วไหวแล้วยืนอยู่บนนั้น

ชายหนุ่มที่ดูเย็นชาผู้นั้นมีสีหน้าไร้ความรู้สึกแต่ร่างกายก็รางเลือนเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไปจากที่เดิม

ครู่ต่อมาชายหนุ่มชุดขาวก็ปรากฏห่างออกไปสองสามร้อยจั้งแล้วสาวเท้ายาวๆ พร้อมกับชุดคลุมที่ปลิวไสว เงาร่างหายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

คาดไม่ถึงว่ามารตนนี้ก้าวเท้าเพียงสองสามก้าวก็ไปอยู่ที่ขอบฟ้าราวกับไร้รูปร่าง

ส่วนชายร่างใหญ่เผ่ามารนั้นก็หัวเราะร่า รถศึกสีดำใต้ฝ่าเท้าเปล่งแสงสว่างวาบคาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นและกลายเป็นสายฟ้าสีดำพุ่งออกไปหลังจากกะพริบวาบก็กลายเป็นลำแสงสีดำดวงเล็กๆ และหายวับไปจากท้องฟ้าเหมือนกับชายหนุ่ม

เมื่อเห็นฉากนี้แววตาของหานลี่พลันเปล่งประกายแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะไล่ตามไป

เซียนหยินกวงที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงกับอิทธิฤทธิ์ของชายร่างใหญ่เผ่ามาร จึงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าดูไม่ได้

พละกำลังของผู้นำเผ่ามารเหล่านี้เหนือกว่าที่สตรีผู้นี้คาดคิดเอาไว้มากและยิ่งไปกว่านั้นเป็นไปได้ว่าจะยังมีท่านจอมมารตนอื่นๆ อยู่ในนั้นด้วย

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่ามีพวกของตัวเองทั้งสองคอยช่วยเหลือสี่พรรคใหญ่ของเมืองอี่เทียน แต่เมืองนี้ก็ดูเหมือนว่าจะปกป้องเอาไว้ได้ยาก

หานลี่กลับฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติและพิจารณาสายรุ้งสองสายที่พุ่งเข้ามาอย่างละเอียด มุมปากกระตุกรอยยิ้มออกมา

ลำแสงหม่นแสงลง สายรุ้งที่พุ่งออกมาจากเมืองอี่เทียนหยุดอยู่ไม่ห่างจากทั้งสองและเผยเงาร่างของบุรุษและสตรีออกมา

บุรุษอายุสี่สิบปีเศษหน้าตาเคร่งขรึมสวมชุดนักปราชญ์สีเหลือง ในมือถือคัมภีร์หยกสีขาวเอาไว้ แผ่นหลังมีพู่กันสีทองและเงินขนาดใหญ่สองด้ามไขว้กันอยู่

สตรีท่าทางอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมงดงามไม่ธรรมดา สวมชุดชาววังสีเขียวเข้มมือหนึ่งถือตะกร้าดอกไม้สีม่วง

“พี่หญิงหลิน ท่านไม่เป็นไรนะ ครั้งนี้น้องหญิงได้รับคำสั่งให้มาช่วยสนับสนุนพรรคของท่าน” เซียนหยินกวงเห็นหญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวเข้ม แววตางดงามก็ฉายแววดีใจ และร้องทักด้วยเสียงอันดัง

“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นน้องหญิงหยินกวงที่มาช่วยสนับสนุนเมืองของข้า เยี่ยมจริงๆ ดูแล้วเมืองของท่านคงได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากพรรคข้า แต่สหายแปลกหน้าผู้นี้ ไม่ทราบว่า?” หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวเข้มเห็นเซียนหยินกวง ใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา แต่เมื่อสายตาตกอยู่บนเรือนร่างของหานลี่ กลับตกตะลึงไปเล็กน้อย

“หึๆ ผู้นี้คือสหายหานลี่ ในอดีตที่ภูเขาเก้าเซียนผู้แซ่ชิงเคยมีวาสนาได้พบกับสหายหานสองสามครั้ง” หลังจากที่นักปราชญ์สวมชุดคลุมสีเหลืองกวาดตามองหานลี่แวบหนึ่ง กลับไม่รอให้หยินกวงแนะนำพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ออกมา

คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ดูเหมือนจะรู้จักหานลี่

“ที่แท้ก็อรหันต์ชิงหลงของพรรคนพดารา ผู้แซ่หานขอคารวะ” หานลี่ได้ยินเดิมที่รู้สึกว่านักปราชญ์หน้าตาคุ้นเคยมาก ก็ขบคิดเล็กน้อยย้อนนึกถึงประวัติของอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็ประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้มบางๆ

อรหันต์ชิงหลงของพรรคนพดาราผู้นี้คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ท่านหนึ่งที่เขาเคยพบหน้าสองสามครั้งยามที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนที่ภูเขาเก้าเซียน แต่ไม่ได้รู้จักอันใดมาก

“ครั้งที่แล้วที่พบกัน เห็นพี่หานมีพลังยุทธ์แค่ระดับขั้นต้น ยามนี้ผ่านไปสองสามร้อยปีคาดไม่ถึงว่าจะพัฒนามาอยู่ในระดับขั้นกลาง ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง!” นักปราชญ์เห็นอีกฝ่ายจำตนเองได้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่หลังจากที่แผ่จิตสัมผัสไปที่พลังยุทธ์ของหานลี่ในยามนี้ ก็อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้

“ข้าน้อยแค่บังเอิญถึงได้โชคดีพัฒนาระดับขั้นได้เท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มาพบกับพี่หลินอีกครั้ง ส่วนเซียนผู้นี้คิดดูแล้วคงเป็นสหายหลินหลวนที่เซียนหยินกวงเอ่ยถึงสินะ!” หานลี่ใช้ข้ออ้างแบบเดิม เอ่ยถึงเรื่องที่พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นจึงพอกล้อมแกล้มไปได้ และกลับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปอีกหญิงสาวสวมชุดชาววังอีกคนหนึ่ง

“ที่แท้ก็เป็นสหายหานที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในช่วงนี้ พี่หานพูดถูกแล้ว ข้าก็คือหลินหลวน ครั้งนี้ขอบคุณสหายและน้องหญิงหยินกวงที่มาช่วยเหลือ หากไม่มีสหายระดับเดียวกันมาช่วยเหลือ เกรงว่าอีกสองเดือนให้หลังเมืองอี่เทียนคงไม่อาจต้านทานได้อีกแน่” อาวุโสของพรรคจักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปาก น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูเหนือความคาดหมาย และยิ่งไปกว่านั้นคำพูดยังเผยความซาบซึ้งใจออกมา

“พี่หญิงหลิน พูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าและพี่หานมองการโจมตีของเผ่ามารอยู่ไกลๆ แม้ว่าอาชามารว่านเซี่ยงเหล่านั้นจะรับมือยาก แต่เมืองของท่านก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เปรียบอันใดนัก”

เซียนหยินกวงได้ยินคำนี้ก็ใจหายวาบ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ทั้งสองท่านไม่รู้อันใด ที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของกองทัพเผ่ามารเท่านั้น กองทัพที่แท้จริงปักหลักอยู่ในชีพจรภูเขาจงเจียนที่อยู่ห่างออกไปหมื่นลี้ และยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่ผู้ที่มีฝีมือของเผ่ามารไม่กล้าโจมตีเมืองของข้าเต็มอัตราก็เพราะรอเวลาเท่านั้น” หลิวหลวนตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะขมขื่น

“รอเวลา?” เซียนหยินกวงตกตะลึงระคนสงสัย

“เซียนหลินพูดไม่ผิด ทว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะพูดคุยกัน ตามข้าสองคนกลับไปคุยในเมืองเถิด เผ่ามารเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก! มารสองตนเมื่อครู่อาจจะพามารอีกสองคนกลับมาก็เป็นได้” อรหันต์ชิงหลงกลับเอ่ยเตือน

“จอมมารสี่ตน! เช่นนั้น พวกเรากลับไปในเมืองก่อนเถิด” เซียนหยินกวงได้ยินก็ตกตะลึง ตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

หานลี่ย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น

ดังนั้นทั้งสี่คนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งแหวกอากาศไปยังเมืองอี่เทียน

ชั่วพริบตาทั้งสี่คนก็มาอยู่บนกำแพงยักษ์ของเมืองอี่เทียน ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์เหล่านี้และหุ่นเชิดสัมฤทธิ์จำนวนมากยังคงไม่ได้ถอยออกไป

นี่จึงทำให้หานลี่อดที่จะเหลือบมองสองสามแวบไม่ได้

เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ แทบไม่ต้องพูดถึงพลังยุทธ์ว่าจะสูงเพียงไหน แต่ทุกคนล้วนเผยท่าทีเหนื่อยล้า แม้กระทั่งมีคนหน้าซีดขาว คาดไม่ถึงว่าจะสูญเสียพลังปราณแท้ไปไม่น้อย

ส่วนหุ่นเชิดสำริดเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีรอยบุบบนเรือนร่าง แม้กระทั่งบางส่วนก็แขนขาขาด ส่วนใหญ่ล้วนไม่สมประกอบ

หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกแต่ลึกๆ กลับขมวดคิ้ว

ดูแล้วที่ผ่านมาเมืองอี่เทียนคงประสบกับความยากลำบากจริงๆ

เซียนหยินกวงเห็นทุกอย่างสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

หลินหลวนและพวกทั้งสองเห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นไม่พูดจา

ทว่ายามนี้พลันมีผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดคลุมห้าสีอีกกลุ่มหนึ่งขับเคลื่อนอาวุธบินมาที่หัวเมืองอย่างรวดเร็วและเริ่มซ่อมแซมกำแพงเมืองที่พังทลายผนึกเขตอาคมลึกลับซับซ้อนลงไปที่กำแพงเมืองอีกครั้ง

มนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาบนกำแพงเมืองและเปลี่ยนกับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น มนุษย์เหล่านี้ล้วนสวมอาวุธครบมือท่าทางพร้อมรบ

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้หานลี่ถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง

ดังนั้นเขาและเซียนหยินกวงจึงบินผ่านหัวเมืองและเขตอาคมป้องกันในเมืองไปโดยมีนักปราชญ์และพวกทั้งสองเป็นผู้นำ ในที่สุดก็เข้ามาในตำหนักที่อยู่มุมหนึ่งของเมืองอี่เทียน

ที่นี่ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาอีกสองสามคนกำลังรอคอยอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลาย แต่เมื่อเห็นหานลี่และพวกทั้งสี่ก็ทยอยกันเข้ามาทำความเคารพสีหน้ากระตือรือร้น

“พวกเขาคือสหายที่รับหน้าที่ดูแล้วการป้องกันเมือง หากมีพวกเขาอยู่ก็น่าจะแนะนำเรื่องราวต่างๆ กับสหายทั้งสองได้”

เมื่อเห็นหานลี่และเซียนหยินกวงเผยแววตาสงสัยออกมา อรหันต์ชิงหลงก็เอ่ยปากอธิบายทันที

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” หานลี่พยักหน้านั่งลงบนเก้าอี้ในตำหนักหลังจากคนเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจ

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองสามคนเหล่านั้นกลับยืนประสานมืออย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง

“พี่หญิงหลิน สหายชิงหลงน่าจะเล่ารายละเอียดของเมืองอี่เทียนให้ฟังได้แล้วสินะ เรื่องที่สหายอีกสองคนเพลี่ยงพล้ำไปก็หวังว่าจะเล่ารายละเอียดได้ จะได้ให้ข้าและพี่หานช่วยเตรียมการป้องกัน” เซียนหยินกวงนั่งลงอย่างแช่มช้าแล้วเอ่ยปากขึ้น

เมื่อได้ยินเซียนหยินกวงเอ่ยถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่เพลี่ยงพล้ำไปสองคน คนอื่นๆ ในตำหนักก็หน้าเปลี่ยนสี

สีหน้าของอรหันต์ชิงหลงดูไม่ได้เล็กน้อย

กลับเป็นเซียนหลินหลวนที่ขมวดคิ้วดำขลับตอบกลับอย่างจนปัญญา

“ที่สหายอีกสองท่านเพลี่ยงพล้ำไปนั้นความจริงแล้วไม่มีอันใดให้พูดถึง สิ่งที่พูดได้ก็ได้เอ่ยไปในจดหมายขอความช่วยเหลือแล้ว จอมมารที่ดูแลการโจมตีเมืองของข้ามันเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก ยามแรกเหมือนจะโจมตีธรรมดาๆ พาแค่อาชามารว่านเซี่ยงกลุ่มเล็กๆ มาเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยังมีแค่จอมมารระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นสองคนที่ปรากฏตัว ผลคือสหายทั้งสองจึงถูกจอมมารล่อออกไปนอกเมืองและถูกอีกฝ่ายลอบโจมตีด้วยการร่วมมือกันของจอมมารสี่ตนนี่ถึงได้เพลี่ยงพล้ำไปโดยแม้แต่ทารกวิญญาณก็ยังหนีออกมาไม่ได้”

“เช่นนี้เผ่ามารเหล่านั้นก็เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก มิน่าล่ะสหายทั้งสองถึงได้โชคร้ายเช่นนี้” เซียนหยินกวงถอนหายใจออกมา

“อืม ข้าสองคนก็ต้องระมัดระวัง หากเป็นไปได้ทางที่ดีที่สุดสหายทั้งสองก็ควรจะเล่าอิทธิฤทธิ์ของจอมมารทั้งสี่ให้ข้าน้อยฟัง” หานลี่ได้ยินคำนี้แววตาพลันเปล่งประกายสายตาเลื่อนไปที่ใบหน้าของสตรีและอรหันต์ชิงหลงพลางพยักหน้าและฉีกยิ้มบางๆ

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว จากนี้จะปกป้องเมืองได้หรือไม่ก็ต้องพึ่งพี่หานและสหายหยินกวงแล้ว ข้อมูลของจอมมารสี่ตนนั้นข้าจะให้คนจัดการเป็นสองชุดมอบให้ทั้งสองท่าน” อรหันต์ชิงหลงตอบรับ

“เช่นนั้นยิ่งดีเลย แล้วที่พี่ชิงบอกว่าเผ่ามารเหล่านั้นบอกรอเวลาช่วยแถลงไขให้ข้าน้อยฟังได้หรือไม่? เวลาที่พูดถึงมันหมายถึงอันใด?” หานลี่เผยสีหน้าพึงพอใจออกมาแต่พอครุ่นคิดก็เอ่ยถามขึ้น

เซียนหยินกวงได้ยินคำนี้ก็พยักหน้ารัวๆ

“เวลาที่พูดถึงก็คือวันที่ดวงอาทิตย์ทั้งห้ากลายเป็นดวงจันทร์อีกสองเดือนให้หลัง วันนั้นเป็นวันที่เขตอาคมประจำเมืองของเมืองเราจะไร้ประสิทธิภาพ” ใบหน้างดงามของหลินหลวนหม่นแสงพลางเอ่ยอย่างจนปัญญา

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset