ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและหญิงสาวร่างน้อยมีสีหน้าตึงเครียด แทบจะมองสบตากันแวบหนึ่งตามความรู้สึก
เดิมชายหนุ่มชุดขาวมีสีหน้าแข็งทื่อ และเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“การเตือนของท่านจอมมารจิงเหยียนดูเหมือนจะเป็นไปได้เล็กน้อย นับเวลาดูแล้วมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีอัตราการพบกับท่านลี่และพวกอยู่ไม่น้อย หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ คนผู้นี้ก็ร้ายกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้หลายส่วน อย่างน้อยภายใต้การช่วยเหลือของท่านจอมมารคนหนึ่ง ผู้แซ่ฉังจะทำร้ายท่านลี่และพวกทั้งสามคนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากจะสังหารพวกเขาคาที่กลับไม่อาจทำได้” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับเอ่ยอย่างใช้ความคิด
“หากเป็นเช่นนี้ หากมองว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ และหากเขาคือฆาตกรที่สังหารท่านลี่และพวกทั้งสามจริงๆ แม้ว่าจะมีสองมือสังหารหยินหยางช่วยเหลือ หากจะจบชีวิตคนผู้นี้ในสนามรบก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย จากพละกำลังของเขาหากคิดจะหนี นอกเสียจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จะลงมือเองหรือไม่ก็ต้องกักขังเขาเอาไว้จนไม่มีทางหนี มิเช่นนั้นคงไม่อาจจับคนผู้นี้ได้” หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นกลับเอ่ยพึมพำ สีหน้าเผยความลำบากใจออกมา
“อืม เป็นเช่นนั้นจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นเมืองอี่เทียนมีคนผู้นี้คอยป้องกันเมือง เกรงว่าคงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำแววตาเปล่งประกาย สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ยามนั้นในห้องโถงพลันเงียบสงัด คนอื่นๆ ทยอยกันขมวดคิ้วจมเข้าสู่ภวังค์ความครุ่นคิด
“หึ หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็ใช้เครื่องมือนั้นต่อกรกับคนผู้นี้ ขอแค่ล่อเขาเข้ามา ต่อให้เขาติดปีกก็หนีได้ยาก ครั้งที่แล้วมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนนั้นก็ถูกพวกเราสังหารด้วยสิ่งนี้มิใช่หรือ?” หญิงสาวร่างน้อยพลันเสนอขึ้น
“ยังจะใช้วิธีนั้นอีก ไม่ได้ ครั้งที่แล้วที่ใช้วิธีนี้ก็เสียอาชามารไปเกือบพันตนและมารสงครามอีกสิบกว่าคน หากใช้อีกล่ะก็ความเสียหายจะมากกว่าครั้งที่แล้ว พวกนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราตั้งใจชุบเลี้ยงมา ไม่อาจปล่อยให้พลีชีพง่ายๆ ได้” มนุษย์ยักษ์ชุดเกราะสีเพลิงพลันตกตะลึง เอ่ยแย้งอย่างไม่ต้องขบคิด
“หึ ไม่ใช้วิธีนี้ หากคนผู้นี้หนีไปได้ ไม่แน่ว่าคนที่ต้องตายด้วยน้ำมือของเขาอาจจะมากกว่าความเสียหายนี้ และยิ่งไปกว่านั้นหากเขาเป็นคนที่ใต้เท้าเซวี่ยกวงตามหาจริงๆ การปล่อยให้เขาหนีหลุดมือไป ผู้ใดจะเป็นฝ่ายรับอารมณ์โกรธของใต้เท้าบรรพศักดิ์สิทธิ์” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วโต้แย้งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“เมื่อครู่เป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ไหนเลยจะบังเอิญเกี่ยวข้องกับท่านลี่เช่นนั้น” แววตาของมนุษย์ยักษ์เกราะเพลิงมีเปลวเพลิงลุกโชน อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นมิได้
“ใช่หรือไม่ พวกเราก็ต้องตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ไม่ว่าจะว่างอย่างไร พวกเราล้วนต้องเตรียมการรับผลลัพธ์นี้ ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการนั้น” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำเอ่ยพร้อมกับครุ่นคิดเล็กน้อย
“พี่ฉัง หมายความว่าอย่างไร? เมื่อครู่ยังบอกว่าต้องใช้วิธีนี้ถึงจะต่อกรกับคนผู้นั้นได้ ยามนี้มากล่าวว่าไม่แน่” หญิงสาวร่างน้อยเลิกคิ้วดำขลับ ท่าทางไม่ดีใจนัก
“เซียนอวี่ไม่ต้องโกรธเกรี้ยว แม้ว่าอิทธิฤทธิ์ของสองมือสังหารหยินหยางจะไม่อ่อนแอ แต่ภายใต้การร่วมมือกันมากสุดก็ไม่ต่างอันใดกับตาเฒ่านัก ในเมื่อใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ส่งพวกเขามาสืบหาฆาตกรที่สังหารท่านพี่และพวกทั้งสามก็ต้องเตรียมวิธีต่อกรกับคนผู้นั้นมาให้พวกเขา มิเช่นนั้นในเมื่อคนผู้นั้นสังหารท่านลี่ได้ก็คงต่อกรกับสองมือสังหารหยินหยางได้ไม่ยาก” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำอธิบายอย่างไม่โกรธขึ้ง
“อือ พี่ฉังพูดมีเหตุผล จากวิธีของใต้เท้าเซวี่ยกวงพวกเราก็ไม่ต้องกังวลนัก เช่นนั้นวิธีที่พวกเราพูดถึงเมื่อครู่ก็เอาไว้เป็นแผนสำรองก็แล้วกัน” มนุษย์ยักษ์เกราะเพลิงหัวเราะร่าดูเหมือนว่าจะวางใจลงแล้ว
“พี่เหลิ่งท่านคิดเช่นไร?” หญิงสาวร่างน้อยได้ยินหว่างคิ้วกลับไม่ผ่อนคลายลงเท่าใดนัก กลับหันหน้าไปเอ่ยถามชายหนุ่มชุดขาว
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเตรียมวิธีใดมาต่อกรกับมนุษย์ ชีวิตของเจ้านั่นจะต้องตกอยู่ในมือของข้า คนผู้นั้นมีพลังเย็นเยียบมีประโยชน์ต่อข้า” แววตาชายหนุ่มฉายแสงสีเขียววาววับเอ่ยด้วยความเย็นเยียบจนเข้ากระดูก
“วางใจ น้องหญิงไม่แย่งเรื่องนี้กับพี่เหลิ่งแน่ ไม่ทราบว่าพี่ฉังคิดเห็นเช่นไร?” หญิงสาวร่างน้อยพลันตกตะลึงแต่จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ออกมา
“ในเมื่อน้องเหลิ่งตัดสินใจเช่นนี้ผู้แซ่ฉังย่อมทำตามประสงค์ แต่สมบัติในร่างของคนผู้นี้ข้าขอแบ่งสักครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งก็แบ่งให้กับเซียนอี่และพี่เยียนก็แล้วกัน คิดดูแล้วน้องเหลิ่งคงไม่มีข้อคิดเห็นอันใด” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำลังเลเล็กน้อยกลอกตาไปมาขณะเอ่ย
“ขอแค่ข้าได้พลังเย็นเยียบของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นมา สมบัติอื่นๆ พวกเจ้าก็แบ่งกันเถิด” ชายหนุ่มชุดขาวตอบอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“น้องหญิงและสหายเยียนเองก็ไม่มีข้อคิดเห็น!” หญิงสาวร่างน้อยกะพริบตาคู่งามเบะปากเอ่ยเห็นด้วย
มนุษย์ยักษ์เกราะเพลิงได้ยินหญิงสาวผู้นี้แสดงเจตนาของตนออกมากลับไม่ขัดขืนเลยสักนิด
“ได้งั้นก็เอาเช่นนั้นเถิด ส่งคนจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบเรื่องที่พี่ลี่และพวกเพลี่ยงพล้ำก่อนแล้วค่อยว่ากัน จากนั้นรอให้มือสังหารหยินหยางมาถึง คิดดูแล้วก่อนวันที่ห้าดวงอาทิตย์จะกลายเป็นจันทราคงจะทำให้พวกเรารู้ว่าพี่ลี่และพวกทั้งสามเพลี่ยงพล้ำด้วยมือของผู้ใด หากเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรของเมืองอี่เทียนผู้นั้นจริงก็จัดการตามที่เราปรึกษากันไว้ หากไม่ใช่พวกเราก็ทำตามแผนเดิม” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะดำประกาศข้อสรุปในการถกปัญหาออกมา
……
ภายในเมืองอี่เทียนหานลี่ที่นั่งอยู่ในห้องลับในหอคอยที่วิจิตรงดงามกลางป่าที่เงียบสงบวางเขตอาคมแน่นหนาไว้รอบด้าน ในมือกลับควงกล่องไม้สีขาวโพลนเล่นอยู่ใบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
กล่องไม้ใบนี้คือสินสงครามที่ได้มาจากการสังหารจอมมารหัวโล้นผู้นั้นแต่แค่ของสิ่งนี้ถูกผนึกด้วยเขตอาคมประหลาดเอาไว้ระหว่างทางจึงไม่มีเวลาทำลาย ยามนี้เข้ามาอยู่ในเมืองอี่เทียน ในที่สุดก็มีเวลาศึกษาแล้ว
ในกล่องไม้บางครั้งก็แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบและร้อนระอุสองกลุ่มออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถตัดการตรวจสอบด้วยจิตสัมผัสทั้งหมดได้ ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง
หานลี่พิจารณากล่องไม้อย่างละเอียดชั่วครู่ ส่วนลึกในแววตาระเบิดลำแสงสีฟ้าสองกลุ่มพลางมองไปที่กล่องไม้ใบนั้น
เห็นเพียงแววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปมา คาดไม่ถึงว่าจะไม่ดึงเนตรวิญญาณกลับมาทันที
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปหานลี่ยังคงจับจ้องกล่องไม้ไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่ากลายเป็นหุ่นกระบอกไม้ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เวลาสามวันสามคืนผ่านไปภายในพริบตา หานลี่หน้าซีดเผือด ลำแสงสีฟ้าในแววตาจืดจางกว่าก่อนหน้าหลายส่วน!
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชาหานลี่ก็มีสีหน้าประหลาดใจ มือหนึ่งร่ายอาคมลำแสงสีฟ้าในแววตาสลายหายไป
“น่าสนใจดีนี่ กล่องนี้เป็นของเขาพระสุเมรุ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้เขตอาคมโบราณสิบสามชนิดผนึกเอาไว้ หากไม่มีเนตรวิญญาณวารีกระจ่างก็คงไม่อาจมองทะลุผ่านเขตอาคมโบราณนี้ได้”
“ทว่าเขตอาคมเหล่านี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง หากไม่เสียเวลาสองสามร้อยปีเพื่อทลายมันก็ไม่อาจเปิดได้ ทว่าดูท่าทางแล้วเขตอาคมเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมมารหัวโล้นผู้นั้นร่ายไว้แน่ ไม่รู้ว่าด้านในมีสิ่งใดอยู่กันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะระมัดระวังเช่นนี้” หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ใช้น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำขึ้น
จากนั้นเขาพลันวางกล่องไม้ลงบนพื้นด้านหน้ามองไปที่ของสิ่งนั้นด้วยความเคร่งขรึม
หลังจากเวลาผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารหานลี่พลันแววตาเปล่งประกายดูเหมือนจะนึกอะไรออก
“แม้ว่าจะไม่อาจทำลายอาคมนี้ได้แต่หากจะใช้เคล็ดวิชาลับของชนต่างเผ่าก็ไม่ใช่ว่าจะดูของด้านในไม่ได้ ทว่าหากของด้านในเป็นสิ่งที่ร้ายกาจก็ยุ่งยากแล้ว!” หานลี่ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจไม่ถูก ดวงตาหรี่ลงพลางขบคิดอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ผ่านไปแค่ชั่วครู่ เขาก็หัวเราะด้วยเสียงแหบแห้ง
“ต่อให้พบกับสิ่งชั่วร้ายจริงๆ มากสุดก็คงแค่สูญเสียจิตสัมผัสไปเล็กน้อยเท่านั้น ขอแค่นั่งสมาธิสักครึ่งเดือนก็ฟื้นฟูกลับมาได้ ในเมื่อของสิ่งนี้ถูกลงอาคมไว้อย่างแน่นหนาก็คุ้มค่าที่จะตรวจสอบ”
คาดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจในพริบตาและสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเลอีก
ลำแสงสว่างวาบ ไข่มุกทรงกลมห้าสีสิบกว่าเม็ดบินออกมาหลังจากวนโคจรล้อมรอบเขาก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณลอยนิ่งอยู่ ท่ามกลางลำแสงวิญญาณเหล่านี้มีดวงตาห้าสีที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ข้างในปรากฏขึ้นรางๆ และกำลังเปล่งแสงระยิบระยับ
หานลี่พลิกฝ่ามือไข่มุกทรงกลมห้าสีอีกเม็ดพลันปรากฏขึ้นถืออยู่ตรงหน้าอกบริกรรมคาถาประหลาดของชนต่างเผ่าทันที
อีกมือหนึ่งกลับตบไปที่หน้าผาก
หมอกลำแสงสีทองม้วนวนทารกวิญญาณสีทองร่างกายเปลือยเปล่าปรากฏออกมา
สองมือของเขาร่ายอาคมประหลาดปากก็บริกรรมคาถาเช่นกัน
ดวงตาห้าสีในลำแสงรอบด้านเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา คาดไม่ถึงว่าจะพ่นเสาลำแสงห้าสีขนาดเท่านิ้วมือออกมาเป็นสายๆ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในทารกวิญญาณ
ในเวลาเดียวกันทารกวิญญาณสีทองก็ร้องตะโกนต่ำๆ ออกมาอาคมในมือชี้ไปที่ไข่มุกที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทรวงอก
เงาลวงตาสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างของทารกวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในไข่มุกกลม
ในไข่มุกกลมเงาร่างทารกวิญญาณรางๆ ซ่อนอยู่ในนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
ทารกวิญญาณสีทองเห็นสถานการณ์เช่นนั้นปากเล็กๆ ก็เบะออก มือเล็กๆ ข้างหนึ่งก็กวักเรียกไข่มุกทรงกลมอย่างไม่ลังเลยสักนิด
ผิวของไข่มุกทรงกลมมีลำแสงไหลวนโคจรไปมากะพริบวาบๆ เสียง “สวบ” ดังขึ้นกลายเป็นลำแสงจมหายเข้าไปในกล่องไม้บนพื้นดิน
……
กลางอากาศสีเทาขมุกขมัวลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด
จากนั้นลำแสงพลันเปลี่ยนรูปกลายเป็นเงาร่างคนที่เลือนรางไม่ชัดเจน
แม้ว่าใบหน้าจะไม่ชัดเจนแต่ดูจากอาภรณ์แล้วนั่นก็คือหานลี่อย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อเขาปรากฏตัวก็เงยหน้าขึ้นพิจารณาไปรอบด้าน แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ
“เอ๋ ไม่เหมือนกับห้วงมิติเขาพระสุเมรุเลย กลับเหมือนกับเขตอาคมลวงตาเสียมากกว่าหรือว่าเสี้ยวจิตสัมผัสไม่ได้ทะลวงผ่านกล่องไม้ไป แต่กลับถูกกักอยู่ในเขตอาคมแห่งหนึ่ง” เงาลวงตาของหานลี่เอ่ยพึมพำดูเหมือนจะเหลือเชื่อเล็กน้อย