เห็นลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แมลงกลืนทองกระโจนเข้าไปในหมอกลำแสงตรงหน้าราวกับมองไม่เห็น ครู่ต่อมาก็กัดทิ้งกับแมลงสีเงินพันตัว
จำนวนแมลงกลืนทองแค่หนึ่งในสิบส่วนของแมลงสีเงินเท่านั้น แต่ขนาดกลับใหญ่กว่าอีกฝ่ายสองสามเท่า และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายหรือว่าพลังการกลืนกิน ล้วนเหนือกว่าคู่ต่อสู้
ไม่ว่าขาหน้าของแมลงสีเงิน หรือว่าเขี้ยวก็กัดไปบนกระดองของแมลงสีทองอย่างแน่น แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยสักนิด
ส่วนแมลงเกราะสีทองฉีกทึ้งไปสองสามครั้งก็ฉีกคู่ต่อสู้ออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย และกลืนลงท้องไปจนเกลี้ยง
แทบจะในเวลาเดียวกันที่แมลงสีเงินสองสามตัวโจมตีแมลงกลืนทองตัวหนึ่ง ชั่วพริบตานั้นแมลงสีเงินกว่าครึ่งพลันสลายหายไป
ในที่สุดแมลงกลืนสีเงินที่ร่อยหรอก็หันกายกระโดดไปอีกครั้ง แต่ภายใต้ลำแสงเทวะดูดปราณที่ห่อหุ้มลงมา จะหนีไปไหนได้ ต่างทยอยกันถูกแมลงกลืนทองไล่ตาม แล้วกลืนกินไปจนเกลี้ยง
ยามที่ถึงแมลงสีเงินตัวสุดท้าย แมลงตัวนั้นพลันเปล่งแสงเจิดจ้า แล้วระเบิดออกโดยอัตโนมัติ
เห็นเพียงลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตารางๆ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป พลางบินหายไปอย่างเงียบเชียบ
หากเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ กว่าครึ่งล้วนไม่อาจพบร่องรอยของเงาลวงตาประหลาดเช่นนี้ได้
แต่ในแววตาของหานลี่เปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ จึงยื่นมือมือหนึ่งออกไปด้านล่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
นิ้วทั้งห้าที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกกางออก เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีพุ่งลงมา ม้วนวนอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มเงาลวงตาที่หนีออกไปสิบกว่าจั้งเอาไว้
ร่างของเงาลวงตาสั่นเทา ชั่วขณะนั้นพลันปรากฏตัวขึ้นที่เดิม แต่ไม่อาจขยับตัวได้ในเปลวเพลิงเย็นเยียบ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงหน้าคนที่มีเงาสีเงินอ่อนจางๆ พยายามดิ้นรนอยู่ในเปลวเพลิงเย็นเยียบสุดชีวิต ท่าทางโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ
หานลี่เห็นฉากนี้ พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วทั้งห้าเหมือนจะหงิกงอไปตามอำเภอใจ
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงเย็นเยียบด้านล่างก็กลายเป็นเส้นไหมลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งไปยังใจกลาง
เงาแมลงหน้าคนตัวนั้นไม่อาจขยับตัวได้ ชั่วพริบตาก็ถูกเส้นไหมลำแสงม้วนวนเข้าไปข้างใน
จากนั้นเส้นไหมลำแสงเหล่านั้นก็ตึงเปรี๊ยะ เปล่งแสงเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะห่อหุ้มเงาแมลงที่เป็นชิ้นๆ เอาไว้ข้างใน
หานลี่ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วสะบัดแขนข้างหนึ่ง
เส้นไหมลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันสลายหายไป
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ฝูงแมลงกลืนทองด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นแมลงเกราะสีทองก็กลายเป็นลูกไฟสีทองนับร้อยดวง แล้วพุ่งมาหาเขา
หลังจากกะพริบวาบสองสามครา พวกมันก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบไปด้านล่าง ยอดเขาสีดำหดเล็กลงแล้วบินเข้าไปด้านใน ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ตั้งแต่ที่ปล่อยแมลงกลืนทอง จนถึงตอนที่กลืนแมลงเหี้ยมไปจนเกลี้ยงแล้วเก็บกลับมาทันทีนั้นเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
ดังนั้นแม้ว่าการปล่อยแมลงกลืนทองออกมาครั้งนี้จะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็เสียจิตสัมผัสไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อหานลี่
แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันที่ปล่อยแมลงกลืนทองออกมานั้น เขาพลันตัดสินใจได้ตั้งนานแล้ว หากไม่อาจสังหารแมลงเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเอาพวกมันกลับมาได้ ไม่อาจปล่อยให้จิตสัมผัสเสียหายไปมากนักได้
มิเช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสีย
ทว่าเหมือนกับที่คาดเดาไว้ก่อนหน้า แมลงกลืนทองเป็นอาวุธในการต่อกรกับแมลงเหี้ยมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชั่วพริบตาก็สังหารทั้งหมดได้จนเกลี้ยง
หากใช้สมบัติอื่นๆ ล่ะก็ อาจจะไม่มั่นใจว่าจะกำจัดได้จนเกลี้ยงเช่นนี้
หานลี่เงยหน้าขึ้นมองไปทางการต่อสู้ของแมลงสองชนิดแวบหนึ่ง ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ก็หายวับไปที่ขอบฟ้า
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ตรงใจกลางคลื่นสีเงินที่ห่างออกไปแสนลี้ แมลงยักษ์ตัวใหญ่กว่าแมลงสีเงินธรรมดาๆ ตัวหนึ่งพลันก้มหน้าลงแล้วเงยขึ้น มองไปทางตำแหน่งที่หานลี่ยืนอยู่แวบหนึ่ง
ภายใต้ลำแสงสีเงินอ่อนนั้น เหนือหัวของแมลงสีเงินมีบุรุษหน้าตาแก่ชราคนหนึ่ง
เขาขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
ใบหน้าของบุรุษจ้องเขม็งไปยังตำแหน่งที่หานลี่อยู่ชั่วครู่ แล้วเลื่อนสายตาไปยังคลื่นสีเงินตรงหน้า
ห่างออกไปสองสามลี้ แมลงสีเงินจำนวนมากที่ก่อตัวกันจนเป็นคลื่นน้ำพลันหมุนวนสลับตัดกันไปมากับไอสีเขียว ยามนั้นย่อมไม่อาจแยกออกได้ว่าใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะ
หลังจากที่แมลงสีเงินหน้าคนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่งเสียงร้องแหลมๆ ยาวๆ ออกมา
ชั่วขณะนั้นแมลงสีเงินรอบๆ ก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ อย่างบ้าคลั่งออกมาแล้วหมุนวนกระโจนเข้ามา ชั่วพริบตานั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นแมลงยักษ์สีเงินโดยมีแมลงตัวนี้เป็นจุดศูนย์กลาง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็กวาดแมลงสีเงินในระยะสองสามลี้ไปจนเกลี้ยง แมลงยักษ์ขนาดเกินร้อยจั้งตัวหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
แมลงยักษ์ตัวนี้กระพือปีกครั้งหนึ่ง ชั่วขณะนั้นพายุหมุนสองกลุ่มใต้ร่างก็เปล่งเสียงหวีดร้องออกมา ร่างกายอันใหญ่โตของมันม้วนวนพุ่งไปกลางอากาศ แล้วบินไปตรงหน้า
……
แม้ว่าหานลี่จะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สังหารไปนั้นมีที่มาอย่างไร แต่แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
หลังจากออกจากที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนทิศทางไปหลายครั้งระหว่างที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี และใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์อำพรางกายอยู่ระยะหนึ่ง แล้วถึงได้เดินทางต่ออย่างวางใจ
แม้ในยามนี้จะเหลือหานลี่เพียงคนเดียว แต่ก็มั่นใจว่าต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นในยามนี้ ก็มีแรงสู้ ไม่ได้หวาดกลัวอันใดนัก
ลำแสงหลีกหนีเลือกเส้นทางอีกครั้ง แล้วบินไปยังแดนกว้างเย็นต่อ
……
สองเดือนต่อมาทุกแห่งในแดนกว้างเย็นล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นทรายสีเหลืองลอยฟุ้งทั่วอากาศ ฉับพลันนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ รถศึกสีเขียวรูปทรงแปลกประหลาดสามคัน ตามมาด้วยประจุไฟฟ้าสีเขียวเป็นสายๆ พุ่งออกมาจากจุดที่ไกลออกไป
หลังจากที่กะพริบวาบสองสามครั้ง รถศึกสีเขียวสามคันก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ตรงหน้า และหยุดอยู่สูงเหนือพายุทรายไปร้อยจั้งเศษ
ยามนี้ถึงได้มองเห็นรูปร่างของรถศึกเหล่านั้นอย่างชัดเจน
เห็นเพียงรถศึกสามคันนั้นมีรูปทรงโบราณ แต่ลวดลายวิจิตรงดงาม และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ อักขระสีเขียวจำนวนน้อยใหญ่ไม่เท่ากันเปล่งแสงสว่างวาบบนผิวรถศึกไม่หยุด
ตรงหน้ารถศึกมีอสูรประหลาดคล้ายควายสวมชุดเกราะสีเขียวสองตัว ดวงตาขนาดใหญ่ เป็นสีแดงสดราวกับโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งยังพ่นควันสีเขียวออกมาเป็นกลุ่มๆ
หลังจากควันสีเขียวแผ่ออกไป คาดไม่ถึงว่าจะทำให้อุณหภูมิของบรรยากาศโดยรอบเพิ่มขึ้นทันที คาดไม่ถึงว่าจะให้ความรู้สึกร้อนฉ่า
บนรถศึกสามคันกลับมีเงาร่างคนเตี้ยๆ สองสายและหุ่นเชิดร่างกายสูงใหญ่ที่มีเกราะสงครามสีเขียวปกคลุมอยู่เช่นกันยืนอยู่
หุ่นเชิดตัวนี้สูงกว่าสองจั้ง เหน็บดาบไว้ที่บั้นเอว แผ่นหลังมีทวนสั้นเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับสองเล่ม สองมือจับเชือกที่เชื่อมกับอสูรรูปร่างคล้ายควายเอาไว้ ดวงตาโผล่ออกมาจากหน้ากากสีเขียว เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ
ส่วนเงาร่างคนแคระบนรถก็สวมชุดเกราะสงครามเช่นกัน ต่างแบกกรงล้อยักษ์เปล่งแสงเย็นยะเยือกเอาไว้ แต่ใบหน้าพลันมีลวดลายสีเทา ปากมีเขี้ยวเผยออกมา ท่าทางอัปลักษณ์
ยามนี้เงาร่างคนแคระหกคนในรถพลันหยุดอยู่ตรงนี้ พลางกวาดตามองพายุทรายด้านล่างไม่หยุด และบางครั้งก็ส่งเสียงปรึกษาอะไรกันเบาๆ ออกมา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าทุกคนจะปรึกษากันเสร็จแล้ว หนึ่งในนั้นพลันยกมือขึ้น ฉับพลันนั้นพลันมีกระจกสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้น และโยนไปยังทะเลทรายด้านล่าง
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของพายุทราย กระจกสัมฤทธิ์พลันหมุนติ้วๆ ลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นบนกระจก และแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว
ด้านล่างดูเหมือนจะเป็นพายุทรายที่บ้าระห่ำ หลังจากลำแสงสีเขียวกวาดผ่านไป คาดไม่ถึงว่าฝุ่นทรายจะหยุดลงในทันที เผยภาพวาดที่ชัดเจนออกมา
ในภาพวาดมีซากปรักหักพังของวิหารขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เมื่อมองปราดไปก็ไม่อาจมองเห็นปลายทางของซากปรักหักพังได้
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นสองสามคนก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา ร้องทักทายพร้อมกัน ทันใดนั้นก็กระตุ้นรถศึกใต้ฝ่าเท้าพุ่งลงไป
แต่ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นอีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า ก็มีเสียงฟ้าร้องดังมา
จากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังสนั่นขึ้น ดวงแสงอัสนีสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า จากนั้นดวงแสงอัสนีพลันดีดตัวออกมา แค่ส่งเสียงอึกทึก ลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ก็มาถึงข้างรถศึกสามคัน
ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นหกคนพลันตกตะลึง แต่ก็มองเห็นของที่อยู่ในแววตาสีเขียวทันที
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดวิหคยักษ์ขนสีเขียวหัวสีเงินตัวสีทองความยาวมากกว่ายี่สิบจั้ง ดูจากท่าทางแล้ว กลับเป็นวิหคอัสนีที่มีชื่อเสียงเช่นกัน!
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็คือผิวของหุ่นเชิดตัวนี้มีรอยบาก ขนหายไปกว่าครึ่ง แม้กระทั่งกรงเล็บทั้งสองก็ยังหายไปข้างหนึ่ง
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นผิวของวิหคตัวนี้ก็ยังมีประจุไฟฟ้าสีเขียวเจิดจ้าชั้นหนึ่ง ยังคงทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกตกตะลึง ไม่กล้าดูแคลนได้เลยสักนิด
ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกย่อมรู้สึกใจหายวาบเช่นกัน
ทันใดนั้นหลังจากที่คนหนึ่งเปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ชั่วขณะนั้นรถศึกสามคันก็เปล่งเสียงร้องคำราม กลายเป็นลำแสงสีเขียวสามสายพร้อมกัน แล้วพุ่งตรงไปหาหุ่นเชิดยักษ์
ยังไม่รอให้สัมผัสกับวิหคอัสนีจริงๆ หุ่นเชิดเกราะสีเขียวสูงใหญ่สามตัวก็สะบัดเชือกในมือพร้อมกัน
อสูรประหลาดรูปร่างคล้ายควายหกตัว ร้องคำรามออกมาพร้อมกัน อ้าปากออกพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมา กลายเป็นทะเลเพลิงหมุนวนไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นหกคนพลันร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา สะบัดหัวไหล่ แผ่นหลังมีกรงล้อสีเงินบินออกมา
สมบัติเหล่านี้ถูกร่ายอาคมอีกครั้ง มันจึงขยายขนาดขึ้น กลายเป็นจันทร์ทรงกลดหกดวง สับลงมาที่หุ่นเชิดวิหคอัสนีกลางอากาศ ราวกับว่าไร้เทียมทานอย่างไรอย่างนั้น
หุ่นเชิดวิหคอัสนีเห็นเช่นนั้น แววตาทั้งสองพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีเขียวบนร่างพลันขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า กรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งที่ยังสมบูรณ์แบบของมันตะปบไปกลางอากาศ
เงาลวงตากรงเล็บยักษ์สีเขียวข้างหนึ่ง ปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับสายฟ้า และตะปบลงมาที่รถม้าสัมฤทธิ์ทั้งสามคัน
คาดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดจะทำท่าเหมือนมองไม่เห็นจันทร์ทรงกลมสีเงินและทะเลเพลิงสีเขียวที่ม้วนวนมาอย่างไรอย่างนั้น
ครานี้ทำให้ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกพลันตกตะลึง แล้วทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
โชคดีหกคนร่วมมือกันจนคุ้นเคยแล้ว จึงประสานกันได้ภายในพริบตา คนหนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้ง หกคนร่ายอาคมอย่างร้อนรน และชี้ไปอย่างกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง
ชั่วขณะนั้นจันทร์ทรงกลดหกดวงก็เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ในเวลาเดียวกันนั้นก็ตรงไปที่กรงเล็บยักษ์สีเขียว คาดไม่ถึงว่าจะรวมร่างกันในพริบตา กลายเป็นจานกลมๆ ยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง แล้วโจมตีไปกลางอากาศอย่างไม่เผยท่าทีอ่อนแอออกมาเลยสักนิด
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
เงากรงเล็บยักษ์ลวงตาและจานทรงกลมปะทะเข้าด้วยกัน และระเบิดออกเป็นลำแสงสีเขียว เงินเจิดจ้าจนแสบตา
ยามนี้เปลวเพลิงสีเขียวพลันม้วนวนออกมา ห่อหุ้มหุ่นเชิดวิหคอัสนีเอาไว้ข้างใน และตัดสลับกันไปมากับประจุไฟฟ้าอัสนีที่ห่อหุ้มร่าง บางครั้งก็มีเสียงฟ้าร้องต่ำๆ ดังออกมา