A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1921 พ่อปู่ซา

ชั่วพริบตานั้นสำเภาน้อยสีโลหิตก็บรรทุกชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตหายวับไปในระยะพันลี้ในพริบตา

คาดไม่ถึงว่าจะไม่สนใจการต่อสู้ของที่นี่อีก!

“เจ้าสองคนไล่ตามมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่หนีไปอีกสองคนไป ข้าจะนำทัพเข้ายึดเมืองอี่เทียน คนสุดท้ายที่หนีกลับไปในเมืองนี้ ข้าจะจัดการเอง เขาไม่มีอสูรผสานลมหายใจ และได้รับบาดเจ็บที่ปราณแท้ ไม่อาจหนีรอดพ้นเงื้อมมือของข้าได้ ส่วนคนที่หนีไปในเมื่อใต้เท้าเซวี่ยกวงลงมือไล่ล่าด้วยตัวเอง ย่อมมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำหน้าเปลี่ยนสีเป็นดำคล้ำสลับกับเขียวคล้ำ แล้วเอ่ยกับชายหนุ่มชุดขาวและพวกทั้งสองคนอย่างแช่มช้า

“ที่นี่จะเหลือเพียงพี่ฉางก็พอแล้ว หากฝั่งมนุษย์มีเครื่องมืออันใดอีกละก็…” หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นกลับเอ่ยถามอย่างลังเล

“วางใจ! ข้ามีผู้พิทักษ์ยมโลกโลหิตอยู่ที่นี่ น่าจะต่อกรกับทุกอย่างได้” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็มอบให้พี่ฉางแล้ว น้องหญิงจะรีบไปรีบกลับ!” หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นพยักหน้า ทันใดนั้นหมอกสีชมพูก็ม้วนวนออกมาจากผิวกาย แล้วพุ่งแหวกอากาศออกไปพร้อมกับเสียงร้องแหลมสูง

ดูจากทิศทางที่นางไป นั่นก็คือทิศที่เซียนหยินกวงหนีไป

ส่วนชายหนุ่มชุดขาวก็ระงับพิษในร่างเอาไว้ พลิ้วกายโดยไม่ปริปาก กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งออกไป ทิศทางที่ไล่ตามไปย่อมเป็นทิศทางของเซียนหลินหลวน

เมื่อเห็นกองทัพเผ่ามารและผู้ที่มีตำแหน่งไม่แตกต่างกันจากไปแล้ว

ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำก็เลิกคิ้ว ร้องตะโกนขึ้นไปบนฟ้า

“อาวุโสระดับผสานอินทรีย์ของเผ่ามนุษย์หนีไปแล้ว หากไม่ยึดเมืองนี้ในยามนี้จะรออันใดอีก?”

คำนี้แฝงไว้ด้วยอานุภาพของมารมหาศาล ทำให้เผ่ามนุษย์และมารสองฝั่งที่กำลังสู้รบประมือกันได้ยินสองหูอย่างชัดเจน

เผ่ามารโห่ร้องด้วยความดีใจ การโจมตีรุนแรงกว่าก่อนหน้าหลายเท่า

ฝั่งมนุษย์เห็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองสามคนทยอยกันหนีออกไปจากสนามรบก็หน้าถอดสี ความฮึกเหิมลดฮวบ

“หึ มารอย่างเจ้าคิดว่าพวกเราไม่ได้เหลือฝีมืออันใดไว้หรือ? อยากจะทำลายเมืองอี่เทียนของพวกเรา ก็ต้องทลายหุ่นเชิดกระบี่ยักษ์ทองคำบริสุทธิ์หนึ่งร้อยแปดตัวของเมืองก่อน” ในยามคับขันฉับพลันนั้นเสียงของอรหันต์ชิงหลงก็ดังก้องไปทั่วเมืองอี่เทียน

สิ้นเสียงเสาลำแสงสีทองร้อยกว่าสายก็เปล่งแสงสว่างวาบพ่นออกไปจากมุมต่างๆ ของเมือง ลำแสงผนึกตัวรวมกันทยอยกันกลายเป็นผู้พิทักษ์ชุดเกราะสีทอง

ตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกเกราะสีทองบริสุทธิ์ห่อหุ้มเอาไว้ อ้อมอกแทบจะถูกกระบี่ยักษ์สีทองที่ขนาดเท่ากับตัวบดบังเอาไว้ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยเกราะเช่นกัน เผยออกมาแค่ดวงตาเย็นชาสีเงินอ่อนสองดวง

ส่วนผู้พิทักษ์ชุดเกราะสีทองหนึ่งร้อยแปดตัว แม้ว่าจะแค่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แต่เรือนร่างกลับแผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา คาดไม่ถึงว่าทุกตัวจะมีพลังแรงกดที่น่ากลัวของระดับหลอมสุญตา

ผู้พิทักษ์เผ่ามนุษย์ที่ไม่รู้จะทำอันใด เห็นสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีสีหน้ากระตือรือร้น กระตุ้นอาวุธโจมตีเผ่ามารด้านล่างเมืองอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง

สนามรบที่แต่เดิมเงียบสงัดไปเล็กน้อย พลันเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้น จนสั่นสะเทือนฟ้าดิน!

ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำที่อยู่กลางอากาศเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็มีสีหน้าดูแคลน โบกมือไปทางผู้พิทักษ์ยมโลกโลหิตรอบด้านแล้วเอ่ยด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม

“ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องเข้าร่วมกองทัพการโจมตีเมืองแล้ว ข้าต้องการทำลายการป้องกันของเมืองนี้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด!”

นายพลมารสองสามคนที่เป็นผู้นำได้ยินคำนี้ก็ตอบรับทันใด เผ่ามารที่ดูเหมือนไม่ใช่ร่างที่แท้จริงส่งเสียงตอบรับแล้วพุ่งลงไปด้านล่าง

ชั่วพริบตาก็เข้าร่วมสงครามเผ่ามารด้านล่าง และเริ่มโจมตีกำแพงเมืองขนาดยักษ์

ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำลอยอยู่กลางอากาศ มองนิ่งๆ ชั่วครู่

หลังจากที่ผู้พิทักษ์ยมโลกโลหิตเข้าร่วมการต่อสู้ ก็ทำให้เผ่ามารเป็นฝ่ายได้เปียบ แม้กระทั่งมีเผ่ามารบางตนที่โจมตีจนทำลายเกราะป้องกันไปได้ แล้วพุ่งเข้าที่หัวเมือง

ส่วนนักดาบชุดเกราะสีทองนับร้อยคนของเมืองอี่เทียน กลับยังคงลอยนิ่งอยู่ตามจุดต่างๆ และไม่ได้ลงมือช่วยเหลือตรงหัวเมือง ท่าทางเหมือนมีแผนการอย่างอื่น

ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำเห็นสถานการณ์นี้รูม่านตาก็หดเล็กลง แต่จากนั้นพลันนึกอันใดขึ้นมาได้ พลันหัวเราะอย่างเย็นชา ฉับพลันนั้นร่างกายก็พลิ้วไหวพุ่งไปด้านหลัง

เปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง คนก็จมหายเข้าไปในสำเภายักษ์สีดำที่ดูเหมือนภูเขาขนาดย่อม

ผู้พิทักษ์เผ่ามารในสำเภารบเห็นชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับมาก็ตกตะลึงเช่นกัน

ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับไม่อธิบายเลยสักนิด สาวเท้ายาวๆ ไปอย่างรวดเร็ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วเข้าไปในห้องลับ พลางกระตุ้นเขตอาคมที่วางเอาไว้ตั้งนานแล้ว

ชั่วขณะนั้นกำแพงห้องลับทั้งสี่พลันมีหมอกลำแสงห้าสีปรากฏขึ้น เขตอาคมขนาดเล็กสีขาวปรากฏขึ้นในห้องลับ

ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำสาวเท้าเดินรอบๆ เขตอาคม มือหนึ่งร่ายอาคม ปากร้องตะโกนเบาๆ และร่ายอาคมใส่เขตอาคมสีขาวสองสามสาย

เสียงอึกทึกดังขึ้น เขตอาคมเปล่งแสงสว่างวาบ และมีแท่นบวงสรวงหยกปรากฏขึ้นท่ามกลางเขตอาคม ด้านบนมีกระจกโบราณสัมฤทธิ์ขึ้นสนิม ดูเหมือนว่ามีอายุมาไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ววางอยู่

ชายหนุ่มชุดเกราะสีดำเห็นกระจกบานนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ปากพลันบริกรรมคาถา อ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา พลิ้วไหวกลางสายลมกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมทั่วกระจกโบราณ

กระจกโบราณที่แต่เดิมเงียบสงบ ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ และค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น

ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวกระจกบนโบราณมีชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวปรากฏขึ้น

เขามีหน้าตาใจดี เรือนผมสีเทา นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำ มือถือคัมภีร์โบราณสีออกเหลือง มองไปยังชายสวมชุดเกราะสีดำจากในกระจก

“อ๋อ ข้าก็ว่าผู้ใดเรียกหาตาเฒ่าผ่านห้วงเวลา ที่แท้ก็เป็นเจ้า ยามนี้เจ้าไม่ได้ติดตามกองทัพเข้าร่วมการบวงสรวงศักดิ์สิทธิ์หรือ ใช้กระจกแยกแดนในยามนี้หรือว่าทางนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่าเป็นแค่ชายชราธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“คารวะพ่อปู่ซา! ใต้เท้าเซวี่ยกวงลงมาจุติที่แดนวิญญาณแล้ว!” หลังจากที่ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำทำความเคารพ ก็พุ่งเป้าไปที่ประเด็นหลัก

“ลงไปจุติอีกแล้ว? อันใด เซวี่ยกวงส่งร่างแยกไปที่แดนวิญญาณหรือ แปลกประหลาดจริงๆ” แม้ว่าชายชราจะกล่าวเช่นนี้ แต่นอกจากแววตาที่เปล่งประกายแล้ว สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“ครั้งนี้เซวี่ยกวงไม่ได้ใช้เสี้ยวจิตสัมผัสลงมา ดูเหมือนว่าจะใช้เคล็ดวิชาลับชนิดหนึ่งนำจิตสัมผัสสิงร่างหยางซา หลังจากสิงร่างหยางซาแล้ว ไม่เพียงจะแปลงกายเป็นใต้เท้าเซวี่ยกวง พลังปราณยังเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ หากข้าน้อยสัมผัสไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะมีพละกำลังเท่ากับร่างเดิมของใต้เท้าเซวี่ยกวงหนึ่งในสามส่วน เขายังสามารถสำแดงอานุภาพของสมบัติหม้อคำพูดสีม่วงและหม้อลำแสงหลากสีออกมาได้เจ็ดส่วน นี่เป็นสาเหตุเพราะร่างแยกมีพลังสำแดงสมบัติทั้งสองชนิดนี้ไม่พอ อสูรผสานลมหายใจของฝั่งมนุษย์ล้วนถูกร่างแยกนี้ใช้สมบัติเก็บเข้าไปตั้งแต่ประหน้า!” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำเอ่ยด้วยสีหน้าเข้มงวด

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย น่าสนใจจริงๆ! แม้ว่าจิตสัมผัสจะไปจุติที่แดนอื่น ก็สามารถเอาพลังปราณไปด้วย แต่ก็น้อยมาก ถึงอย่างไรเสียเป็นเพราะพลังแรงกดของต่างแดน จึงทำให้พลังของเศษเสี้ยวจิตลดลงไปไม่น้อย เซวี่ยกวงส่งร่างแยกมาจุติที่แดนวิญญาณแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าแยกจิตสัมผัสไว้ที่แดนวิญญาณ และยังทำให้ร่างที่สิงอยู่มีพลังเพิ่มมากขึ้น เพื่อหลบเลี่ยงพลังแรงกดของเขตกั้นแดน หรือว่าเขามีเคล็ดวิชาลับใหม่ที่ร้ายกาจอันใด?” ในที่สุดชายชราก็หน้าเปลี่ยนสี และเอ่ยพึมพำขึ้น

“ใช่แล้ว ที่ใต้เท้าเซวี่ยกวงลงมาจุติที่แดนวิญญาณในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะมาหามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งโดยเฉพาะ” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำพลันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ พลางรีบร้อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าอธิบายมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นมาให้ละเอียด!” ชายชราเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา

“เป็นเช่นนั้น มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง แต่กลับมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจมาก  ก่อนหน้านี้ก็สังหารมือสังหารหยินหยางไป คาดไม่ถึงว่าจะ…” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำพลันตอบรับแล้วเริ่มอธิบาย

ชั่วครู่หลังจากที่เขาอธิบายอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก็ปิดปากรอคำสั่งของชายชราอย่างเงียบๆ

“อืม เจ้าทำได้ดีมาก ข่าวนี้มีประโยชน์ต่อข้า จากนี้ไปจัดการเรื่องที่เจ้าควรทำเถิด” ชายชราฟังจบก็พยักหน้า แล้วลูบเคราพลางออกคำสั่ง

“ขอรับใต้เท้า ข้าน้อยขอตัวลาก่อน!” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำพลันตอบรับ ชูมือขึ้นร่ายอาคมโจมตีกระจกโบราณ

บานกระจกเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างของชายชราหายวับไป

ชายชราชุดเกราะสีดำมีสีหน้าผ่อนคลายลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่อยู่ที่เดิม แล้วหันกายเดินออกจากห้องลับ พุ่งออกจากสำเภายักษ์แล้วกลายเป็นไอสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในสนามรบ…

ในเวลาเดียวกันในห้องไม้อีกแดนหนึ่ง

ชายชราผู้นั้นวางคัมภีร์โบราณในมือลงบนตัก หรี่ตาทั้งสองข้างลง ใช้นิ้วเคาะพลางขบคิดอันใดสักอย่าง

บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง มีกระจกโบราณที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วอีกบานวางอยู่

“เซวี่ยกวง เจ้าช่างอาจหาญไม่น้อย แม้จะไม่รู้ว่าใช้วิธีใดสำแดงพลังปราณมหาศาลลงมาที่แดนวิญญาณ แต่ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับร่างเดิมในแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ? หากเจ้าพวกนั้นรู้เรื่อง ก็คงต้องเกิดระลอกคลื่นขึ้นอีกแน่!” ชายชราเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แววตาฉายแววเย็นเยียบ

……

กลางอากาศห่างจากเมืองอี่เทียนไปแสนลี้ หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นควบคุมลำแสงหลีกหนีบินไปด้วยความรวดเร็วไปพลาง มือหนึ่งถือไข่มุกทรงกลมสีแดงโลหิตเอาไว้ หลังจากรายงานเรื่องราวกับหญิงชราคนหนึ่งที่อยู่ในแดนมารด้วยสีหน้าเข้มงวดแล้ว ก็อ้าปากออกกลืนไข่มุกทรงกลมลงไปในท้องอีกครั้ง

จากนั้นหญิงสาวผู้นี้พลันมีชีวิตชีวาขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง

ด้านหน้าของนางห่างออกไปพันลี้ เซียนหยินกวงที่กลายเป็นลำแสงสีเงินก็พุ่งแหวกอากาศออกไปเช่นกัน

ฉากเดียวกันปรากฏขึ้นที่ฝั่งของชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่อีกด้านเช่นกัน

มารตนนี้เพิ่งจะเก็บยันต์ผลึกหยกที่ใช้ไปเมื่อครู่เข้าไปในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง…

ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่กลายเป็นวิหคยักษ์สีเงินขาว พลันสยายปีกทั้งสี่ข้างออกพร้อมกัน กลายเป็นเส้นไหมลำแสงปรากฏขึ้นกลางอากาศรางๆ

เมื่อสักครู่เขายังอยู่อีกด้านของฟากฟ้า ครู่ต่อมาก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่อีกด้านของฟากฟ้าทันที

กลางอากาศห่างออกไปร้อยลี้เศษ สำเภาเล็กสีโลหิตลำหนึ่งใช้ความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่าเขา ไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset