อรหันต์เฮยอวี่ประสบกับสถานการณ์นี้ย่อมตกตะลึง แต่ใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าร้อนรน มือหนึ่งร่ายอาคมอย่างรวดเร็วอ้าปากออกพ่นระฆังสีเงินออกไป
หลังจากเสียงเคร้งดังขึ้นระฆังกลายเป็นระฆังลวงตาสีเงินขนาดร้อยจั้งเศษห่อหุ้มร่างของชายชราเอาไว้ข้างใน
ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นสีเงินก็ม้วนวนลงไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ศิลาที่ร่วงลงมาสัมผัสกับระลอกคลื่นนี้ก็กลายเป็นผุยผงในพริบตา
ส่วนผิวของภูเขาทั้งสองลูกก็เปล่งแสงสีเทาและขาวสว่างวาบฉับพลันนั้นก็มีมือยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนสองมือยื่นออกมาจากตัวภูเขา นิ้วทั้งห้ากางออกมีขนาดใหญ่ยักษ์สองสามร้อยจั้งราวกับว่าผสมไปด้วยพลังที่ไร้ขีดจำกัด
เสียง “ปังๆ” ดังสะเทือนเลื่อนลั่น!
ฝ่ามือยักษ์สองข้างโจมตีไปที่ภาพลวงตาอย่างแรงราวกับตบแมลงวัน
แม้ว่าระฆังสีเงินนั้นจะเป็นสมบัติวิเศษที่ร้ายกาจแต่ภายใต้การโจมตีด้วยพลังมหาศาลนี้ก็ทำได้เพียงส่งเสียงคร่ำครวญแล้วสลายหายไป
ในที่สุดอรหันต์เฮยอวี่ที่อยู่ด้านในก็เผยสีหน้าร้อนรนออกมาทันใดนั้นพลันร้องตะโกนชูแขนเสื้อขึ้นลำแสงสีเงินบินออกมา
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นเส้นไหมสายฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกันกลายเป็นตาข่ายเส้นไหมแล้วคลี่ตัวออก
นั่นก็คือตาข่ายอัสนีเมฆาสีเงินที่มีชื่อเสียงในรายการหมื่นวิญญาณหุ้นตุ้น!
จากอิทธิฤทธิ์อันลึกลับของตาข่ายนี้แค่สำแดงออกมาย่อมสามารถรับมือกับการโจมตีนี้ได้
ชายชราพลันผ่อนคลายลงปากพลันบริกรรมคาถาและยิ่งไปกว่านั้นมือหนึ่งยังตะปบไปกลางอากาศลำแสงวิญญาณสองสามลูกปรากฏขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือ
เขาหมายจะเรียกสมบัติชิ้นอื่นมาต่อกรกับศัตรูทันใด
แต่ในช่วงเวลาสำคัญนั้นฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
บรรยากาศรอบด้านมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นนิ้วเรียวยาวสีขาวบริสุทธิ์ยื่นออกมาดูเหมือนจะตะปบออกไปตามอำเภอใจ คาดไม่ถึงว่าจะคว้าตาข่ายอัสนีที่ยังคลี่ตัวไม่เสร็จเอาไว้ในมือ
จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็ออกแรงกำมือชายชรารู้สึกเพียงว่าเจ็บปวดราวกับถูกฉีกครึ่งวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะถูกตัดขาดการเชื่อมต่อกับตาข่ายอัสนีสีเงินไปทำให้เขาอดที่จะร้องอุทานออกมาไม่ได้ ร่างกายร่วงลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
และในช่วงเวลาที่ล่าช้านั้น ฝ่ามือยักษ์สองข้างที่อยู่ด้านข้างก็ประกบเข้าหากันโจมตีอย่างรุนแรง
แม้ว่าชายชราจะปล่อยพลังปราณทั่วร่างออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวและกระตุ้นเกราะสีครามสีเขียวทันที
แต่พลังของฝ่ามือทั้งสองก็มหาศาลเกินไป!
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น!
ลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างกายของชายชราและเกราะสงครามสีเขียวพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กายเนื้อกลายเป็นหมอกโลหิตระเบิดออกแล้วสลายหายไป
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากหมอกโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงหัวเราะเบาๆ อันไพเราะเสนาะหูดังขึ้น!
มือเรียวที่คว้าตาข่ายอัสนีสีเงินเอาไว้พลิกฝ่ามือแล้วยื่นนิ้วชี้ออกมาร่ายไปทางจุดที่ลำแสงสีดำสลายหายไปเบาๆ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินดีดตัวออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเสียงอึกทึกพลันดังขึ้นกลางอากาศพลันห่างออกไปร้อยจั้งเศษพลันสั่นเทาลำแสงสีดำปรากฏขึ้นอย่างโซซัดโซเซอีกครั้ง แต่หลังจากที่พลิ้วไหวก็พุ่งออกไปอีกครั้งราวกับลูกธนู
ในลำแสงสีดำคือทารกวิญญาณสีม่วงสูงสองสามชุ่นใบหน้าเหมือนกับอรหันต์เฮยอวี่แต่มีสีหน้าซีดขาวและตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวมุมปากมีคราบเลือดเปื้อนอยู่
“คิดจะไปยามนี้ไม่คิดว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาหรือ!” เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของสตรีดังขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นก็เห็นมือเรียวพลิ้วไหวตาข่ายอัสนีที่อยู่ในมือหายวับไปกลายเป็นกระจกโบราณสีดำสนิทบานหนึ่งและโบกไปทางทารกวิญญาณของชายชราเบาๆ
เสาลำแสงสีดำพ่นออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วห่อหุ้มทารกวิญญาณเอาไว้ข้างใน
ทารกวิญญาณที่เดิมกำลังบินหนีรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านแข็งตึง จากนั้นพลังแรงดูดมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้ก็ดึงลำแสงหลีกหนีเอาไว้จนต้องถอยหลังไป
ครานี้อรหันต์เฮยอวี่ตกใจจนขวัญกระเจิง ภายใต้อารามร้อนใจทารกวิญญาณพลันร้องคำรามพ่นแผ่นป้ายสามเหลี่ยมออกมา จากนั้นก็อ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากลายเป็นหมอกโลหิตจมหายเข้าไปในแผ่นป้าย
ในเมื่อแผ่นป้ายสามเหลี่ยมสามารถเป็นของปกป้องทารกวิญญาณของอรหันต์เฮยอวี่ได้แน่นอนว่าย่อมเป็นสมบัติวิเศษที่หายาก ทันใดนั้นพลันส่งเสียงร้องกังวานกลายเป็นหมอกลำแสงสีเขียวกระโจนไปหาทารกวิญญาณ
ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีเขียวมาประชิดทารกวิญญาณร่างกายที่กำลังพุ่งไปด้านหลังก็หยุดชะงักแม้กระทั่งลำแสงวิญญาณยังเปล่งแสงสว่างวาบปกป้องทารกวิญญาณแล้วบินไปด้านหน้าอีกครั้ง
“เอ๋! น่าสนใจ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแผ่นป้ายยมโลกนิลของเผ่ามนุษย์ ดูท่าทางแล้วไม่ออกแรงหน่อยคงต้องปล่อยให้เจ้านั่นหนีไป” เสียงไพเราะของสตรีดังขึ้นอีกครั้ง แต่แค่ครั้งนี้ดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อย
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นกลางอากาศเจ้าของมือเรียวคือหญิงสาวสวมชุดชาววังสีฟ้าคนหนึ่งปรากฏตัวออกมากลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
สตรีผู้นี้มีร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าขาวดุจหยก ดูงดงามมากแต่ในแววตาที่งดงามนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกคุกคามที่อธิบายได้ยาก
ชั่วพริบตาที่สตรีผู้นี้ปรากฏกายมองไปทางทารกวิญญาณแวบหนึ่งใบหน้างดงามก็มีสีหน้าเคร่งขรึมมือเรียวตั้งขึ้นอยู่ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ประหลาดๆ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นเบาๆ!
มารเงาสีดำสามเศียรหกกรปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของสตรีผู้นี้ ผิวมีผลึกลำแสงไหลวนโคจร ฉับพลันนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นมารหน้าตาโหดเหี้ยมสวมชุดเกราะสีดำตนหนึ่ง
เกราะสงครามวิจิตรงดงามมากสลักเขตอาคมซับซ้อนเอาไว้ ส่วนใบหน้าของเศียรทั้งสามกลับถูกหน้ากากสีดำบดบังเอาไว้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
ชั่วพริบตาที่มารตนนี้ปรากฏขึ้นด้านหลังสตรี เศียรทั้งสามก็เงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ดวงตาทั้งหกเปล่งประกายมองเห็นเปลวเพลิงสีเขียวอยู่รางๆ จากนั้นกรทั้งหกก็ตะปบไปทางทารกวิญญาณ
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
จุดที่ฝ่ามือทั้งหกกดลงไปพลันเกิดเสียงระเบิดเสียดแก้วหูระลอกคลื่นสีดำหกลูกปรากฏขึ้นพร้อมกันและระเบิดออก
เสียงอึกทึกพลันดังสนั่นขึ้น!
กลางอากาศราวกับมีหลุมอากาศปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาระลอกคลื่นขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าสตรี หลังจากพลิ้วไหวเล็กน้อย อักขระยันต์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลักออกมาจากระลอกคลื่นและทยอยกันกลายเป็นลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนจมหายไปกลางอากาศ
ทารกวิญญาณที่กำลังพุ่งตัวหนีซึ่งอยู่ไกลออกไปพลันสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบจนขนลุกซู่ยามนั้น ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เหนือศีรษะของเขาก็มีระลอกคลื่นสีดำที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วปรากฏขึ้น กรงเล็บมารสีดำที่มีเปลวเพลิงมารห่อหุ้มอยู่ยื่นออกมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ทารกวิญญาณทำได้แค่ร้องอุทาน ร่างและลำแสงวิญญาณสีเขียวที่ห่อหุ้มร่างก็ถูกกรงเล็บมารตะปบเข้าให้แล้วหดเล็กลงท่ามกลางระลอกคลื่นอย่างรวดเร็ว
ยามนั้นระลอกคลื่นพลันเปล่งแสงสว่างวาบสลายหายไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อีกด้านด้านหน้าสตรีสวมชุดชาววังสีฟ้ากลับไม่ได้หายไปไหนยังคงหมุนวนอยู่ที่เดิม
สตรีกลับฉีกยิ้มเบิกบานยกมือเรียวข้างหนึ่งขึ้นตะปบไปทางระลอกคลื่น
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เงาสีดำส่งออกมาจากระลอกคลื่น นั่นก็คือทารกวิญญาณของอรหันต์เฮยอวี่
แต่แค่เขาในยามนี้หลับตาทั้งสองข้างสนิทหน้าเขียวคล้ำรอบกายถูกเส้นไหมสีดำห่อหุ้มเอาไว้แน่น คาดไม่ถึงว่าจะถูกจับเป็นกลับมา
สตรีผู้นี้กวาดสายตามองทารกวิญญาณแวบหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ชั่วขณะนั้นหมอกสีดำพลันม้วนวนออกมาหลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินด้านล่างมาอยู่ในมือของนาง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกำไลเก็บของที่เปล่งแสงสีเหลืองจางๆ ออกมา
สตรีผู้นี้ยื่นนิ้วชี้ไปที่กำไลเก็บของเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็หลับตาทั้งสองข้างลง
“ศิลาวิญญาณหวงเหลียน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งนี้ น่าสนใจ ดูแล้วคนผู้นี้คงมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ มิน่าล่ะลิ่วจี๋ถึงได้เชิญข้ามาด้วยตนเอง ดูแล้วเผ่ามนุษย์คงมีแผนการอันใดจริงๆ ไม่อาจไม่ป้องกันได้” หลังจากผ่านไปชั่วครู่สตรีก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“หากอยากรู้เรื่องนี้ก็มีเพียงต้องค้นหาจิตสัมผัสของคนผู้นี้ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของเผ่ามนุษย์มักจะผนึกจิตสัมผัสเอาไว้ด้วยเคล็ดวิชาลับ แม้ว่าจะอาศัยเคล็ดวิชามารและพลังมหาศาลฝืนทำลายก็ตรวจสอบได้แค่เล็กน้อยเท่านั้นและไม่รู้ว่าจะบังเอิญจะหาสิ่งที่ต้องการพบหรือไม่” สตรีชาววังครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยพึมพำ
แต่ในเมื่อสตรีผู้นี้ตัดสินใจแล้วทันใดนั้นมือหนึ่งก็โบกไปทางระลอกคลื่นอย่างไม่ลังเลอีก
มารสามเศียรหกกรที่อยู่ด้านหลังและระลอกคลื่นหายวับไปเหลือเพียงทารกวิญญาณของอรหันต์เฮยอวี่ที่รออยู่ที่เดิม
หญิงสาวพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งกระจกโบราณสีดำปรากฏขึ้นอีกครั้งและสะบัดไปทางชายชรา
ชั่วขณะนั้นพลันพ่นหมอกลำแสงสีดำออกมาม้วนทารกวิญญาณเข้าไปในกระจกโบราณแล้วหายวับไป
“ไปกันเถิด หาที่รกร้างสักที่ ถ้าอยากค้นหาวิญญาณของมนุษย์ผู้นี้จากพลังปราณของร่างแยกของข้าในยามนี้เดาว่าคงต้องใช้เวลาสองสามวัน” สตรีสวมชุดชาววังสะบัดแขนเสื้อเก็บกระจกโบราณแล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนราวกับว่ากำลังออกคำสั่งกับอีกคนหนึ่ง
“น้อมรับคำสั่งใต้เท้าหยวนซา!”
เสียงอู้อี้สองเสียงดังขึ้น ฉับพลันนั้นก็ดังออกมาจากยอดเขายักษ์สองลูกที่พังทลายไปครึ่งหนึ่ง
จากนั้นฝ่ามือยักษ์ที่ยื่นออกมาจากยอดเขาทั้งสองก็เก็บกลับไป ยอดเขาที่ไม่สมบูรณ์เปล่งแสงสีเทาและขาวสว่างวาบพลางขยับไปมา
ช่วงสองสามลมหายใจมนุษย์ยักษ์สูงพันจั้งสองตนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าสตรี
ทั่วเรือนกายของมนุษย์ยักษ์ทั้งสองเต็มไปด้วยศิลาสีเทา มีสี่แขนสูงพันจั้งดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
“ขอบพระคุณอาวุโสทั้งสองที่ลงมือกำจัดกายเนื้อของคนผู้นี้ มิเช่นนั้นแม้ว่าข้าจะจับเป็นคนผู้นี้ได้ก็ต้องใช้หลายวิธี” สตรีสวมชุดชาววังดูเกรงอกเกรงใจมนุษย์ศิลายักษ์สองตนมากปากก็เอ่ยขอบคุณออกมา
“มิกล้า ได้ช่วยใต้เท้าหยวนซาอีกแรงก็เป็นโชคดีของพวกเราแล้ว!” มนุษย์ศิลายักษ์ตนหนึ่งเบะปากขณะเอ่ยดูจากใบหน้าแข็งทื่อก็พอจะเห็นรอยยิ้มฝืนๆ ได้บ้าง