“ยามนี้สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ จะพูดสั้นๆ ก็แล้วกัน พวกเจ้าเองก็เห็นสภาพของเมืองเมฆาในยามนี้แล้ว เรื่องมันง่ายดายมาก แค่เผ่าของเราตกหลุมพรางเผ่าแมลงมีเขา ถูกอีกฝ่ายย้ายกองกำลังหลักเข้าไปในเขตอัตรา และวางแผนล้อมเอาไว้ชั่วคราว ส่วนกองทัพใหญ่ของเผ่าแมลงมีเขาก็ถือโอกาสลงผ่านทั้งสิบสามเมืองมาโจมตีเมืองเมฆา ส่วนแผนภาพเขตอาคมป้องกันของเมืองเราก็ถูกอีกฝ่ายขโมยไป จึงไม่อาจอาศัยเขตอาคมป้องกันต้านทานกองทัพของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเมืองของเราจะทำการยอมแพ้ในอีกไม่ช้า พวกเจ้าเองก็อย่าอยู่ที่นี่นานนัก ให้อพยพไปยังเมืองมังกรวารีที่อยู่ใกล้ที่สุด” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะย่ำแย่เพียงนี้! แต่มีท่านอาวุโสอยู่ คงไม่ถึงกับต้องละทิ้งเมืองเมฆากระมัง” เซียนเย่ว์ได้ยินคำนี้ก็หน้าถอดสี
คนที่เหลือต่างทยอยกันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“หึๆ หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าชาวเผ่าแมลงมีเขาไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานหรือ? ในกองทัพเผ่าแมลงมีเขาที่เข้ามารุกรานในครั้งนี้ ก็มีอาวุโสระดับสูงสุดของเผ่าแมลงมีเขาสองคน พวกเขาได้ส่งข่าวมาให้ข้าก่อนแล้ว การศึกของสองเผ่าในครั้งนี้ หากพวกเราไม่ลงมือ พวกเขาสองคนก็ไม่ลงมือ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว ข้าไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันสองคนได้ แต่หากพวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ไม่มั่นใจว่าสังหารข้าได้ นี่ถึงจะเป็นการลูบหน้าปะจมูกที่แท้จริง” ชายหนุ่มแซ่เวิงอธิบาย
“ทว่าเมืองของเรารวบรวมสิ่งมีชีวิตระดับมหายานก็มีประมาณยี่สิบกว่าคน หากสหายเหล่านี้ลงมือ ก็เพียงพอจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้ แต่ทางที่ชนรุ่นหลังและพวกผ่านมา คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบกับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของเผ่าเราเลยสักคน หรือว่าพวกเขา…” บุรุษวัยกลางคนแซ่อี๋กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือก แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“วางใจ พวกเขาไม่เป็นไร มีภารกิจอื่นจึงไม่อยู่ในเมือง พวกเจ้าเองคงรู้แล้วว่า ในบรรดาชาวเผ่าแมลงมีเขาที่เข้ามาโจมตีเมืองไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน นี่เป็นคุณงามความดีของพวกเขา ทว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจยื้อได้นานนัก เดาว่าเผ่าแมลงมีเขาคงใกล้จะรู้ตัวแล้วส่งสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ในสถานการณ์ที่ข้าไม่อาจลงมือได้ เมืองนี้ต้องแตกอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือสาเหตุที่ข้าออกคำสั่งให้ละทิ้งเมืองนี้ พวกเจ้าออกไปโดยให้สหายปิ่งนำทางเถิด” ชายหนุ่มโบกมือแล้วออกคำสั่งโดยตรง
เซียนเย่ว์และชายวัยกลางคนมองสบตากันแวบหนึ่ง รีบร้อนตอบรับคำสั่งอย่างไม่กล้าขัดขืน
คนที่เหลือเองก็ประสานมือรับคำสั่งเช่นกัน
มีเพียงหานลี่ที่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมา
“ใช่แล้ว สหายหานอยู่ที่นี่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าตามลำพัง” ชายหนุ่มแซ่เวิงมองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
หานลี่ใจหายวาบ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนจึงตอบรับทันที
คนอื่นเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกฉงนในใจ แต่ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกขณะตามชายร่างใหญ่หน้าดำออกไปจากวิหาร
ชายหนุ่มแซ่เวิงถึงได้ใช้สายตาเปื้อนยิ้มมองมาทางหานลี่
“ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมีรับสั่งอันใด กับแดนที่ต้องการชนรุ่นหลัง ก็รับสั่งเถิด” เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่ดูเหมือนว่าจะมีความคิดอื่น หานลี่พลันขนลุกซู่ แต่ปากก็เอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“อืม ตาเฒ่ารั้งเจ้าไว้ที่นี่ เพราะมีเรื่องจะไหว้วานเจ้า สหายหานมีต้นกำเนิดมาจากเผ่ามนุษย์แห่งแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนสินะ!” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยปาก แล้วเอ่ยถามปัญหาที่ทำให้หานลี่ตกใจจนสะดุ้งโหยง
“ท่านอาวุโสทราบต้นกำเนิดของชนรุ่นหลังได้อย่างไรขอรับ หรือว่าท่านอาวุโสเองก็เคยไปที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน?” หลังจากที่หานลี่ใจเต้นระรัวแล้ว ก็ไม่อาจรักษาสีหน้าราบเรียบได้อีกขณะเอ่ยถาม
“เหอๆ มากกว่าเคยไปที่แผ่นดินเฟิงหยวนเสียอีก ตอนแรกตาเฒ่ามีสหายสองสามท่านเป็นคนของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า เคยสู้รบและแลกเปลี่ยนกัน นับว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แม้ว่าพละกำลังของเผ่ามนุษย์จะไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่ในเผ่าก็มีอิทธิฤทธิ์ที่สืบทอดกันมาซึ่งไม่อาจดูถูกได้ อานุภาพไม่น้อย แต่แค่เคล็ดวิชาเหล่านี้ฝึกฝนยากเย็น เผ่ามนุษย์ปกติไม่อาจฝึกฝนได้” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยเช่นนี้ออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา
“กล่าวไว้ก่อนนะขอรับ ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใด ชนรุ่นหลังคือชนเผ่ามนุษย์ที่มาจากแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนจริงๆ” หานลี่เองก็ทำได้เพียงยอมรับอย่างซื่อๆ
“หึๆ สหายยอมรับก็ดี! เจ้ากับเซียนวิญญาณน้ำแข็งมีความสัมพันธ์อันใดกัน คาดไม่ถึงว่าในร่างจะมีสมบัติวิญญาณสูญของสหายวิญญาณน้ำแข็ง” ชายหนุ่มแซ่เวิงพลันฉีกยิ้มแล้วเอ่ยถามประโยคที่ทำให้หานลี่ตกตะลึง
“สมบัติวิญญาณสูญ! หรือว่าท่านอาวุโสหมายถึงสมบัติชิ้นนี้?” หานลี่กะพริบตา รู้สึกตกตะลึงจริงๆ แต่ก็อ้าปาก พ่นลำแสงสีเขียวออกมากลุ่มหนึ่ง
ด้านในมีหม้อใบเล็กปรากฏอยู่รางๆ
นั่นคือหม้อนภาสูญ!
“เป็นสิ่งนี้จริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยเห็นสมบัติชิ้นนี้มาหลายปี แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นไม่เปลี่ยนแปลงจากในอดีตเลย” ชายหนุ่มแซ่เวิงหรี่ตาลง จ้องเขม็งไปที่หม้อแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“เซียนวิญญาณน้ำแข็ง ชนรุ่นหลังรู้จักจริงๆ แต่หม้อใบนี้ไม่ใช่หม้อวิญญาณสูญอันใด แต่เป็นหม้อนภาสูญ!” หานลี่กลับตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่น
“หม้อนภาสูญ!” ชายหนุ่มตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้ มือหนึ่งจึงตะปบไปทางหม้อใบเล็ก
หม้อใบเล็กที่แต่เดิมถูกควบคุม พลันส่งเสียง “สวบ” ออกมา ชั่วพริบตาก็ตัดขาดการเชื่อมโยง เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาอยู่ในมือของชายหนุ่มอย่างแปลกประหลาด
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมามีสีหน้าปกติ
ชายหนุ่มแซ่เวิงใช้มือหนึ่งถือหม้อใบเล็กเอาไว้ แล้วจ้องเขม็งไปที่สมบัติชิ้นนั้น
“พอดูให้ละเอียด ก็ไม่เหมือนกับหม้อวิญญาณสูญจริงๆ วิธีการหลอมไม่ละเอียดเท่า แต่ก็ไม่ใช่ของลอกเลียนแบบ กลับเหมือนของทดสอบก่อนที่หลอมหม้อวิญญาณสูญ” ชายหนุ่มแซ่เวิงแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ แล้วเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ของทดสอบ!” หานลี่ได้ยิน กลับอดที่จะคิดไม่ได้
“ช่างเถิด แม้ว่าจะจำผิด แต่หม้อใบนี้มาจากสหายวิญญาณน้ำแข็งจริงๆ คิดดูแล้วเจ้าคงมีความเป็นมาเดียวกันกับนางอยู่บ้าง สาเหตุที่เรียกให้เจ้าอยู่ที่นี่ ก็เพราะอยากให้เจ้าช่วยข้าตามหาเซียนวิญญาณน้ำแข็งแล้วนำสิ่งนี้และจดหมายฉบับนี้ไปให้นางหลังจากที่กลับไปเผ่ามนุษย์เท่านั้น” ชายหนุ่มแซ่เวิงคลายนิ้วทั้งห้าออกจากหม้อ แล้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจขณะเอ่ย
“ไม่ปิดท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังแค่ได้สมบัติชิ้นนี้มาด้วยความบังเอิญ ความจริงแล้วไม่ได้รู้จักกับเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรอก และไม่ทราบว่าท่านอาวุโสผู้นี้จะยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่” หานลี่รีบเก็บหม้อนภาสูญเข้าไปในร่าง แล้วรีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย
แม้ว่าเขาที่อยู่ในแดนมนุษย์จะเพิ่งรู้จักสิ่งมีชีวิตอย่างเซียนวิญญาณน้ำแข็งแต่หากสตรีผู้นี้บรรลุไปสู่แดนวิญญาณแล้ว ก็เป็นปีศาจที่ไม่ต่างอันใดกับชายหนุ่มแซ่เวิง
เขาไม่อยากดึงดูดปัญหาใหญ่เข้ามาอย่างไม่มีสาเหตุ
“ไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร จากชื่อเสียงของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง เจ้ากลับไปถึงเผ่ามนุษย์คงหาร่องรอยของนางได้ หากสหายวิญญาณน้ำแข็งไม่ได้อยู่ในแดนมนุษย์จริงๆ ก็เอาของไปมอบให้ชนรุ่นหลังของนาง” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีกล่องหยกและคัมภีร์สีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้น
สะบัดข้อมือ โยนทั้งสองชิ้นออกไป
หานลี่เห็นว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วคว้าทั้งสองชิ้นเข้ามาในมือ และกวาดตามองแวบหนึ่ง
เห็นเพียงสีหน้าของพวกมันมียันต์เปล่งแสงสีทองระยิบระยับแปะอยู่ และผนึกทั้งสองสิ่งเอาไว้แน่น
“ยันต์สองแผ่นนี้ข้าตั้งใจหลอมขึ้นโดยเฉพาะ นอกจากเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือชนรุ่นหลังที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขที่สามารถเปิดออกได้แล้ว หากคนที่อื่นฝืนฉีกมันออก จะระเบิดออกในทันที สหายจงจำเอาไว้ ผู้แซ่เวิงจะไม่ให้เจ้าทำธุระให้โดยไม่ตอบแทนแน่ ข้ามีวัตถุดิบหายากของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีอยู่ จะมอบให้เจ้าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน นอกจากนี้แม้ว่าเชียนจีจื่อและพวกตอบรับว่าจะให้เจ้าใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสูง แต่เป็นเพราะสงครามเร่งเร้า เขตอาคมส่งตัวทั้งหมดในบริเวณนี้จึงถูกปิดตายไปแล้ว ส่วนเขตอาคมส่งตัวระดับสูงก็อยู่ในวิหารหลักในเมืองมังกรพอดี และถูกปิดผนึกอยู่เช่นกัน ข้าจะออกคำสั่งให้เจ้าใช้เขตอาคมส่งตัวครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ต้องให้เจ้าสาบานกับมารแว้งกัดก่อน หลังจากที่สาบานแล้ว ข้าถึงจะออกคำสั่ง” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังยังมีที่ให้ปฏิเสธอีกหรือ!” หลังจากที่หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ก็ทำได้เพียงตอบรับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น และใช้มือหนึ่งร่ายอาคม หลังจากสาบานให้มารแว้งกัดกับตัวเองแล้ว ถึงได้เก็บทั้งสองสิ่งเข้าไปในกำไลเก็บของ
คำสาบานนี้เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์ ก็ไม่นับว่ามีผลอันใด แต่ตั้งแต่ที่เข้ามาในแดนวิญญาณ หลังจากพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับหลอมสุญตา พลังของคำสาบานก็เพียงพอที่จะทำให้มารแว้งกัดยามที่ทุกคนทะลวงจุดคอขวดได้ นี่จึงเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่น่ากลัวที่สุด
ดังนั้นคำสาบานสำหรับสิ่งมีชีวิตระดับสูงนี้ก็นับว่าเป็นการควบคุมที่สุดยอดแล้ว
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แล้วสาบานกับมารแว้งกัดของตนเองอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด รับปากว่าตนจะนำของสองสิ่งไปมอบให้เซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือไม่ก็ชนรุ่นหลังของนาง
ชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นเช่นนั้น ทันใดนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ควักกล่องหยกสามใบออกมา ด้านในมีวัตถุดิบที่เขาพูดถึงบรรจุอยู่แล้วโยนมา
ครั้งนี้หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ หลังจากหมอกสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเก็บกล่องหยกเข้าไปโดยไม่แต่จะมองสักแวบ
“เอาล่ะ ยามนี้เจ้าไปได้แล้ว” ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ออกคำสั่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หานลี่รู้สึกผ่อนคลายลง พลางตอบรับด้วยใบหน้านอบน้อม แล้วหันกายเดินออกจากตำหนักไป
ชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นเงาแผ่นหลังของหานลี่หายลับไปจากประตู แววตาพลันเปล่งประกายเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
……
ยามที่หานลี่เดินออกมาจากวิหารสะท้านฟ้าอีกครั้ง กลับมองเห็นรถเหาะขนาดยักษ์สีเงินอ่อนคันหนึ่ง กำลังหยุดอยู่ที่ประตูวิหาร
รถมีความยาวยี่สิบจั้งเศษ เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวรถมีลวดลายวิจิตรงดงาม ด้านหน้ามีอสูรประหลาดราวกับตั๊กแตนตำข้าวขนาดยักษ์หกตัว ไว้เป็นอสูรวิญญาณลากรถ
เซียนเย่ว์และยังมีหลิวสุ่ยเอ๋อร์พร้อมพวกล้วนยืนอยู่บนรถ ชายร่างใหญ่หน้าดำผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ตรงหัวรถ
เมื่อคนเหล่านี้เห็นหานลี่ออกมา ก็กวาดสายตาไป สีหน้าแปลกประหลาด คาดไม่ถึงว่ามีท่าทางรอคอย
“สหายหาน ขึ้นมาเถิด พวกเราจะออกเดินทางทันที” ชายร่างใหญ่หน้าดำฉีกยิ้มให้หานลี่ แล้วร้องเรียกคำหนึ่ง
“ขอบพระคุณท่านอาวุโส!” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ หลังจากประสานมือเอ่ยขอบคุณ ร่างกายก็พลิ้วไหว ครู่ต่อมาก็บินมาอยู่เหนือรถเหาะ แล้วเดินไปที่มุมหนึ่งพลางนั่งขัดสมาธิลงโดยไม่ได้ปริปากอันใด
หลังจากที่ชายร่างใหญ่หน้าดำหัวเราะหึๆ แล้ว ก็ผิวปากเบาๆ อสูรประหลาดหกตัวด้านหน้ารถมีปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้นทันที และพารถเหาะขนาดยักษ์พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
ชั่วพริบตาที่บินขึ้นไป ผิวของรถเหาะก็มีเกราะลำแสงสีเขียวมรกตปรากฏขึ้น กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป