อสูรลับจำนวนมากขนาดนี้ ทุกตัวแทบจะมีอิทธิฤทธิ์อันน่ากลัวไม่ด้อยไปกว่าระดับหลอมสุญตา มารวมตัวกันในเวลาชั่วครู่ ต่อให้หานลี่และพวกทั้งสามไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ก็ยังรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
หานลี่ยังพอว่ายังมีไพ่ตายอยู่อีกจำนวนมาก หากยอมจ่ายในราคาที่แน่นอนล่ะก็ ไม่ว่าฝูงแมลงกลืนทองหรือผลสวรรค์ทมิฬ ก็สังหารอสูรลับกลุ่มนี้ได้อย่างไม่เป็นปัญหา
แน่นอนว่าย่อมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเห็นอสูรลับจำนวนมากเช่นนี้ ก็รู้ตัวเองว่าทั้งสองไม่อาจต่อกรได้
มิเช่นนั้นแม้ว่าจะเอาชนะได้ ก็รู้ว่าไม่อาจกลับไปอย่างครบสามสิบสองประการได้ หากสูญเสียพลังปราณแท้มากเกินไป นั่นก็เพียงพอจะทำให้เส้นทางในอนาคตของพวกเขาลำบากยากเข็ญ จะไปพูดถึงซากปรักหักพังการทำลายเขตอาคมอันใดนั้นได้อย่างไร
โชคดีที่แม้ว่าอสูรลับเหล่านี้จะมาขวางหานลี่และพวกเอาไว้ แต่เป็นเพราะรู้จุดจบของสหายกลุ่มก่อนๆ แล้ว ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวจึงไม่ได้มีเจตนาจะลงมือ ราวกับเพียงเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
จึงคิดแค่ว่าจะขวางพวกเขาเอาไว้ชั่วคราว เพื่อรอให้อสูรลับมาที่นี่มากขึ้น
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ขบคิดเล็กน้อย คิ้วดำขลับเลิกขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากขยับเบาๆ
ชั่วขณะนั้นข้างหูของหานลี่และสือคุนมีเสียงของหญิงสาวผู้นี้ดังขึ้น
“สหายทั้งสองยามนี้พวกเราอยู่ห่างจากปากทางเข้าของป่าอสูรลับไม่ไกลแล้ว อสูรลับจำนวนมากขนาดนี้ไม่อาจฝ่าออกไปได้ พวกเราแยกกันชั่วคราวเถิด รอจนถึงนอกป่าแล้วค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง”
“ตกลง เอาตามที่เซียนว่า” สือคุนเองก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน จึงเอ่ยปากเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
แววตาของหานลี่เปล่งประกายสว่างวาบ แล้วพยักหน้าอย่างราบเรียบ
ดูเหมือนว่าจะมองท่าทีของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสามออก ปีศาจอสูรสามตาหัวหน้าที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าพวกเดียวกันร้องคำรามต่ำๆ ออกมา
อสูรลับตนอื่นๆ เปล่งเสียงอื้ออึง ฉับพลันนั้นก็อ้าปากพร้อมกันอย่างดุดัน เสาลำแสงสีดำยี่สิบสามสิบสายพุ่งออกมา กรงเล็บลำแสงจำนวนมากปรากฏขึ้นกลางอากาศในชั่วพริบตา ห่อหุ้มร่างของหานลี่และพวกทั้งสามเอาไว้
อสูรลับยี่สิบสามสิบตัวร่วมมือกันโจมตีออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่าท่าทางย่อมน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
แต่หานลี่และพวกทั้งสามนั้นเคยสังหารอสูรลับไปจำนวนมากแล้ว จึงมั่นใจกับการรับมือกับการโจมตีนี้ได้หลายส่วน
ผิวของทั้งสามเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันสำแดงลำแสงหลีกหนีออกมา
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม แผ่นหลังมีปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
แค่กระพือเบาๆ!
เขาพลันกลายเป็นเส้นไหมบางสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป และยิ่งไปกว่านั้นยังกะพริบวาบๆ ระหว่างทาง เส้นไหมลำแสงบิดเบี้ยว แล้วเปล่งแสงสว่างวาบผ่านเสาลำแสงและกรงเล็บลำแสงไป ปรากฏตัวอยู่เหนือแผ่นหลังของฝูงอสูร จมหายไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์นั้นง่ายดายกว่ามาก อ้าปากออกพ่นดวงแสงผลึกสีฟ้าออกไป ในเวลาเดียวกันลำแสงสีขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบใต้ฝ่าเท้า หนูหยกสีแวววาวตัวนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองเปล่งแสงออกมาพร้อมกัน หญิงสาวผู้นี้กลายเป็นลำแสงสีฟ้าขาวพุ่งออกไป
เสาลำแสงสีดำเหล่านั้นโจมตีไปบนดวงลำแสง คาดไม่ถึงว่าจมหายไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
จากนั้นเสียงแหวกอากาศ “ฟิ้ว” ก็ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าขาวแค่เลือนรางไป แล้วพุ่งออกไปร้อยจั้งเศษ หนีไปยังขอบฟ้าอีกด้าน
ส่วนอิทธิฤทธิ์ของสือคุนนั้นก็บ้าคลั่งกว่ามาก
เขาแค่แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา เกราะสงครามบนร่างพลันเปล่งแสงเจิดจ้า สองมือโจมตีไปที่ทรวงอก
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ร่างของเขาก็มีดวงลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้นรอบด้าน
จากนั้นดวงลำแสงก็ขยายใหญ่ขึ้นแล้วรวมตัวกัน กลายเป็นม่านลำแสงประหลาดชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มชายร่างใหญ่เอาไว้
สาเหตุที่ม่านลำแสงนี้แปลกประหลาด ก็เพราะว่าผิวของม่านลำแสงมีอักขระเป็นเกลียวปรากฏขึ้นเต็มไปหมด เมื่อเสาลำแสงสีดำเหล่านั้นโจมตีไปบนม่านลำแสง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงอึกทึกออกมา จากนั้นอักขระก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกดีดออก
สือคุนถือโอกาสนี้บิดร่างกาย ลำแสงสีเหลืองห่อหุ้มเขาเอาไว้พลางจมหายลงไปใต้ดิน และหนีออกไปใต้ดินสิบกว่าจั้ง ดูเหมือนว่าความเร็วจะจะไม่ต่างกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์เท่าใดนัก
อสูรลับเหล่านั้นย่อมไม่อาจปล่อยให้ทั้งสามหนีไปได้ง่ายๆ
อสูรลับสามตาที่เป็นหัวหน้าร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา ฝูงอสูรแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แยกกันไล่ตามกลิ่นอายของหานลี่และพวกทั้งสามไป
จากความเร็วเต็มอัตราและไม่สนใจสิ่งใดของหานลี่ แน่นอนว่าอสูรลับด้านหลังย่อมไม่อาจไล่ตามได้
แค่เวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาที่กลายเป็นเส้นไหมลำแสงก็สลัดพวกที่ไล่ล่าหลุดได้
แต่เป็นเพราะลำแสงหลีกหนีของเขาค่อนข้างสะดุดตาเมื่ออยู่กลางอากาศ ระหว่างทางจึงมีอสูรลับตนอื่นๆ ที่อยู่ในป่ากระโจนออกมา คิดจะทำการโจมตีเขา
แต่หานลี่แค่สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวยี่สิบสามสิบสายพลันพุ่งออกมาราวกับพายุฝนระเบิด
ภายใต้อานุภาพที่แท้จริงของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆา อสูรลับที่ขวางทางอยู่ทั้งหมดพลันถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ในชั่วพริบตา
แม้ว่าจะมีอสูรลับตัวสองตัวที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วสะบัดกรงเล็บปล่อยกรงเล็บลำแสงออกมาหมายจะต้านทาน
แต่กระบี่บินสีเขียวกลับเหมือนกับสิ่งที่ไร้รูปร่าง แค่กะพริบวาบก็ทะลวงผ่านกรงเล็บลำแสงไปราวกับมองไม่เห็น สับไปบนร่างของอสูรลับ ทำให้พวกมันสิ้นชีพในพริบตา
ดังนั้นระหว่างทางหานลี่จึงบินอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชนิดที่ว่าไม่เสียดายพลังปราณ จนในที่สุดก็ทะลวงผ่านป่าไม้อันมืดมนออกมาได้หลังจากบินมาได้ค่อนวัน บินออกจากป่าอสูรลับได้แล้ว
ตรงหน้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาพลันปรากฏขึ้น
แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่กลิ่นอายของต้นไม้ใบหญ้าก็โชยเข้ามา
แต่ลำแสงหลีกหนีของหานลี่ก็ยังคงไม่มีเจตนาจะหยุดพัก เส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งตรงไปด้านหน้าต่อ
หลังจากบินมาอย่างต่อเนื่องได้เกือบแสนลี้ ตรงหน้าก็มีเนินเขาสูงยี่สิบสามสิบจั้งปรากฏขึ้น ในที่สุดลำแสงสีเขียวขาวก็หมุนตัวแล้วร่อนลงมา
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
แววตาของเขาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กวาดมองไปทั้งซ้ายและขวา
สภาพภูมิประเทศที่ว่างเปล่าเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถกระตุ้นอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณได้จนถึงขีดสุด
ชั่วพริบตานั้นทุกอย่างในรัศมีร้อยลี้ก็ปรากฏขึ้นในหัวของหานลี่
ห่างออกไป แม้จะมองเห็นอยู่บ้าง แต่ก็เลือนราง
ไม่พบสิ่งมีชีวิตที่คุกคามใดๆ หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ถึงได้ปล่อยจิตสัมผัสออกไปอีกครั้ง กวาดผ่านในบริเวณนี้ แล้วดึงกลับมาทันที
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกขนนกที่แผ่นหลังพลันหายวับไป
จากนั้นเขาพลันหันกาย สองตาหรี่มองทางป่าอสูรลับสองสามแวบ
ระยะห่างเช่นนี้ แม้ว่าอสูรลับเหล่านั้นจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก แต่ก็คงไม่ไล่สังหารเขามาไกลขนาดนี้
ทว่าหากพวกมันกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ หานลี่ก็คงจะกำจัดอสูรลับสิบกว่าตัวนั้นทิ้งอย่างไม่ถือสา
สาเหตุที่ระหว่างทางก่อนหน้าไม่ยอมพัวพันกับพวกมัน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวอสูรลับเหล่านั้น แต่แค่หวาดกลัวว่าจะถูกอสูรลับจำนวนมากไล่ตาม แล้วถูกล้อมเท่านั้น
หานลี่เอามือไพล่หลังพลางยืนอยู่บนยอดเขานิ่ง พายุพัดผ่านร่างกายไปเป็นระลอกๆ ทำให้อาภรณ์ของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม ราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน
ฉับพลันนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีจานอาคมสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น ด้านบนมีเส้นไหมสีเงินกะพริบวาบไม่หยุด
แววตาของหานลี่เปล่งประกายขณะมองจานอาคมในมือชั่วครู่แล้วพลันขมวดคิ้ว
“ในเมื่อทั้งสองคนมารวมตัวกันแล้ว ก็คงอยู่ห่างกันไม่มาก เหตุใดถึงไม่มาในทันที หรือว่าพบความยุ่งยากอันใด?” หานลี่เอ่ยพึมพำ แล้วพลิ้วกายอีกครั้ง ของในมือสลายหายไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง
ฉับพลันนั้นผิวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แค่หมุนวนในบริเวณรอบรอบหนึ่ง ก็พุ่งตรงไปยังทางที่มอง
แม้ว่าความเร็วจะไม่น่าตกตะลึงราวกับเคลื่อนย้ายกายก่อนหน้า แต่ความเร็วก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็บินออกมาได้สองสามหมื่นลี้ มาถึงทุ่งหญ้าอีกแห่งหนึ่ง
หานลี่ที่อยู่ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี แววตาเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
หลังจากสายรุ้งสีเขียวหม่นแสงลง หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกห่างออกไปร้อยลี้ หลังจากปรากฏกายขึ้น ก็มองไปตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ห่างจากเขาไปร้อยกว่าจั้ง มีคนสองกลุ่มกำลังประจันหน้ากัน
กลุ่มหนึ่งคือสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ผู้สวมงอบแววตาเปล่งประกายไม่หยุด ท่าทางรอบคอบ
สือคุนกลับมีสีหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา สองมือกำหมัด เกราะสงครามบนร่างกะพริบวาบๆ ราวกับพร้อมรบอย่างไรอย่างนั้น
ตรงข้ามของทั้งสอง กลับมีบุรุษและหญิงสาวยืนเคียงไหล่กัน
บุรุษมีเครางอๆ กายท่อนบนสวมเกราะเกล็ดสีเงิน สะพายใบมีดยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนสามง่ามชิ้นหนึ่ง ท่าทางคล้ายกับวีรบุรุษ
ส่วนหญิงสาวนั้นมีคิ้วและดวงตาดำขลับ ผิวขาวละเอียด สวมชุดหนังสีเขียว ปกปิดร่างกายอวบอั๋นที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงเอาไว้
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือกายท่อนล่างของทั้งสองกลับถูกไอสีขาวปกคลุมเอาไว้ และมีเสียงกังวานราวกับน้ำไหลดังออกมา
“เผ่าราชามหาสมุทร!”
หานลี่รู้จักประวัติความเป็นมาของบุรุษและสตรีที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่แทบจะในพริบตาเดียว เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าเปลี่ยนสี
แม้ว่าเผ่าราชามหาสมุทรจะไม่ได้อยู่ติดกับเมืองเมฆาสวรรค์ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเผ่านี้เป็นพันธมิตรกับเผ่าแมลงมีเขา
มิน่าล่ะเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน จึงตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้
ทั้งสองเห็นหานลี่บินมาถึงตรงนี้ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกไม่เหมือนกัน
แววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ฉายแววยินดี ชั่วขณะนั้นพลันตัดสินใจ
ไม่รู้ว่าสือคุนกำลังคิดอันใดอยู่ แต่พลันเบะปากฉีกยิ้มมาทางหานลี่ ร้องทักอย่างมีมารยาท
บุรุษและสตรีเผ่าราชามหาสมุทรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กลับมีแววตาเย็นชา ใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองพิจารณาหานลี่ขึ้นๆ ลงๆ
แต่เห็นหานลี่มีพลังยุทธ์แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด ทั้งสองก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ล้วนมองเห็นความฉงนจากแววตาของอีกฝ่าย
“นายท่านเป็นคนของเมฆาสวรรค์!” บุรุษคนนั้นเบิกตาทั้งสองข้างพลางเอ่ยปาก น้ำเสียงก้องกังวาน
“ปัจจุบันนั้นช่างมันเถิด สหายทั้งสองอยู่ที่นี่ หรืออยากให้ข้าน้อยลงมือกับสหายร่วมวิถี?” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ และเอ่ยถามย้อนกลับ
“ลงมือกับพวกเขา? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาสองคนจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร!” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา แล้วเอ่ยถากถาง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? โอหังนัก! หึๆ ผู้แซ่สือโง่เขลา อยากขอลิ้มลองอิทธิฤทธิ์ของเผ่าท่านที่เลื่องชื่อว่าเป็นสามเผ่าวารีที่ยิ่งใหญ่สักหน่อย” สือคุนได้ยินกลับไม่โกรธแต่หัวเราะร่า ร่างกายพลิ้วไหวสาวเท้ามาอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยอย่างทะมึนทึบ