เห็นเพียงลำแสงสีเงินกระจายตัวเต็มท้องฟ้า ชายร่างใหญ่ถูกหนังอสูรห่อเอาไว้ในทันที แล้วกลายเป็นอสูรลับตัวเป็นๆ ตัวหนึ่ง
หนังและขนสีดำสนิทเช่นเดียวกัน กรงเล็บแหลมคม ไม่แตกต่างอันใดกับอสูรลับตัวก่อนหน้าเลยสักนิด
“มหัศจรรย์มาก ข้าเองก็แทบจะไม่มีความรู้สึกอันใดเลย ดูจากภายนอกแล้วคาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนแปลงเช่นนี้” สือคุนที่กลายเป็นอสูรลับ ยกขาหน้าขึ้น หลังจากพิจารณาตรงหน้าอย่างละเอียดแล้ว ฉับพลันนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะร่าออกมา
“หากหน้ากากเปลี่ยนรูปไม่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ น้องหญิงคงไม่เอาพวกมันออกมาให้สหายทั้งสองเห็นเป็นเรื่องขบขันหรอก” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ขอบพระคุณสหายหลิว หากมีสมบัติชิ้นนี้ พวกเราก็มีเกราะคุ้มกันแล้ว” อสูรลับพ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา ท่าทางฉีกยิ้มเบิกบาน
หลังจากที่หานลี่เห็นสือคุนแปลงกายกับตาของตัวเองแล้ว ก็รู้สึกมั่นใจในหน้ากากชิ้นนี้มากขึ้น แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขอบคุณหญิงสาวสวมงอบ สุดท้ายก็เอ่ยแนะนำว่า “ยามนี้เซียนหลิวและข้าน้อยยังไม่มีหนังอสูร แต่พวกเราเองเสียเวลาไม่ได้ ไม่สู้เดินทางกันก่อนเถิด แล้วคอยดูว่ามีอสูรลับที่อยู่ลำพังระหว่างทางหรือไม่ แล้วค่อยจัดการ”
“คำพูดของพี่หานตรงกับเจตนาของน้องหญิงพอดี พวกเราสามคนมีเวลาจำกัด แน่นอนว่าอย่าเสียเวลาจะดีกว่า” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยปากสนับสนุน
สือคุนย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น
ดังนั้นทั้งสามคนจึงถือโอกาสที่ท้องฟ้ามืดมน หายวับไปท่ามกลางถ้ำในต้นไม้
สือคุนที่กลายเป็นอสูรลับ แต่ปากกลับพ่นเมฆสีเหลืองออกมา ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แล้วกลายเป็นไอสีเหลืองอ่อนสายหนึ่ง
ป่าอสูรลับในยามมืดมิดเดิมทีก็เลือนรางมาก หลังจากที่สือคุนสำแดงอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็ไม่ได้สังเกตในบริเวณรอบในระยะสิบจั้งให้ละเอียดอีก ล้วนไม่พบร่างกายที่อำพรางกายของเขาอยู่
หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับหยิบสมบัติโบราณที่ดูเหมือนแผ่นหยกออกมาจากบั้นเอว แค่โยนออกไปตรงหน้า ก็กลายเป็นหยกสีขาวบริสุทธิ์ แต่เป็นหนูหยกที่มีความยาวแค่สองสามจั้ง
หญิงสาวผู้นี้พลิ้วกาย ก็ยืนอยู่บนแผ่นหลังของหนู
จากนั้นหนูหยกก็เปล่งแสงสีขาวเรืองๆ ออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มตนเองรวมทั้งหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่บนแผ่นหลังไว้ข้างใน
ทั้งสองค่อยๆ โปร่งใสขึ้นท่ามกลางลำแสงสีขาว สุดท้ายก็กลายเป็นเงาล่องหนสายหนึ่ง ราวกับไม่มีร่างกายอยู่
ส่วนหานลี่กลับง่ายยิ่งกว่า
หลังจากที่กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว ก็เป็นสมบัติธาตุไม้ที่บริสุทธิ์มาก ในป่านั้นมีไอวิญญาณธาตุไม้บินโคจรไปมาหนาแน่นที่สุด เดิมก็เป็นเรื่องที่ปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว
หานลี่แค่ชูแขนเสื้อขึ้นข้างหนึ่ง กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยาวสองสามชุ่นก็บินออกมา หลังจากหมุนวนเล็กน้อย ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวยาวสองสามจั้งม้วนวนอยู่บนร่างของเขา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงสีเขียวที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นก็พุ่งออกมา
เช่นนั้นทั้งสามคนจึงสำแดงกายอำพรางกาย ในที่สุดก็เริ่มเดินทางอย่างเป็นทางการ ตรงไปยังส่วนลึกของป่าอสูรลับ
……
สองสามวันต่อมา อสูรลับร่างกายผอมบาง สาวเท้าอย่างสง่างาม เหยียบไปบนใบไม้หนาๆ เคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ
ฉับพลันนั้นด้านข้างในต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง ก็มีลำแสงสีฟ้าพุ่งออกมา ม้วนวนร่างกายนั้นเอาไว้
อสูรลับตัวเมียตัวนี้พลันตกตะลึง ปากก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา กรงเล็บสองข้างเปล่งแสงสีดำพุ่งไปหาลำแสงสีฟ้า
แต่ลำแสงสีฟ้านั้นแค่หมุนวน ก็กลายเป็นดวงแสงยักษ์ลูกหนึ่ง ห่อหุ้มอสูรลับตัวเมียตัวนั้นเอาไว้ข้างใน
ปากของอสูรลับเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็แผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ในเวลาเดียวกันกรงเล็บลำแสงที่ดูแหลมคมก็คว้าลำแสงสีฟ้าเอาไว้ แต่ก็ทำให้มันกระเพื่อมได้แค่ครั้งสองครั้ง และไม่อาจทะลวงผ่านได้
ยามนี้ผิวของต้นไม้ยักษ์เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านใน
นั่นก็คือหลิวสุ่ยเอ๋อร์ผู้นั้น!
นางใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อีกมือหนึ่งถือดวงแสงผลึกสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้ แล้วร่ายคาถาใส่ลำแสงสีฟ้า
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ดวงแสงสีฟ้าถูกหญิงสาวกระตุ้น ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีฟ้ากินพื้นที่ขนาดสองสามหมู่
จากนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็พลิกฝ่ามือ ดูดดวงแสงผลึกสีฟ้าไป ในเวลาเดียวกันก็หยักไหล่ กลายเป็นเงาสีขาวจมหายเข้าไปในม่านลำแสง
อสูรลับที่อยู่ด้านในเห็นเช่นนั้น ก็กระโจนเข้าไปหาหญิงสาวด้วยท่าทีดุดันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด และร่างกายบิดเบี้ยวระหว่างทาง กลายเป็นเงาสีดำอีกสามสาย
หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับเผยอริมฝีปากบางๆ ออกอย่างไม่รีบร้อน
เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น เส้นไหมสีฟ้าบางๆ พลันพุ่งออกมา
กระจายตัวออก กลายเป็นตาข่ายลำแสงสีฟ้าผืนหนึ่ง พุ่งเข้าไปหาอสูรลับและเงาสีดำที่กลายร่างเหล่านั้น
อสูรลับเห็นเช่นนั้น ก็อ้าปากออกอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ พ่นเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมา ส่วนเงาสีดำนั้นก็แยกเขี้ยวตะปบเล็บ กลายเป็นกรงเล็บลำแสงพุ่งไปหาตาข่ายยักษ์สีฟ้า
ชั่วขณะนั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่น ชั่วครู่แสงสีฟ้าก็ระเบิดออกมาจากม่านลำแสง ลำแสงสีดำและฟ้าสองสีตัดสลับกันไปมา เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่าม่านลำแสงสีฟ้านั้นมีอิทธิฤทธิ์ตัดอิทธิฤทธิ์ ความเปลี่ยนแปลงของไอวิญญาณที่รุนแรงรวมทั้งเสียงแสบแก้วหูดังออกมาด้านนอกม่านลำแสง จึงเปลี่ยนเป็นอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์หญิงสาวผู้นี้และอสูรลับ พลันทำสงครามต่อสู้กัน
ด้านนอกม่านลำแสงสีฟ้า ลำแสงสีเขียวและไอสีเหลืองพลันปรากฏขึ้น เงาร่างของหานลี่และสือคุนปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
ทั้งสองมองไปยังสถานการณ์ในม่านลำแสงสีฟ้าเขม็ง สีหน้าแตกต่างกันไป
“เหอะๆ สหายหลิวช่างยุ่งยากจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะต้องหาอสูรลับตัวเมียตัวหนึ่งให้ได้ถึงจะยอมลงมือ” สือคุนเอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ
“ในเมื่อเซียนหลิวต้องการเช่นนี้ คิดดูแล้วคงมีข้อห้ามของนาง” หานลี่กลับตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก
“อืม สหายหลิวเป็นสตรีจะมีความกังวลอยู่บ้างก็ช่างเถิด เหตุใดวันนั้นสหายหานถึงไม่สนใจอสูรลับตัวนั้นที่พบเมื่อสองวันก่อน นั่นกลับทำให้ผู้แซ่สือประหลาดใจมาโดยตลอด” สือคุนได้ยิน กลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะมองไปยังหานลี่แวบหนึ่ง
“ไม่มีอันใด อสูรลับตัวนั้นได้รับบาดเจ็บปวด และยิ่งไปกว่านั้นบนเรือนร่างยังมีบาดแผลอยู่เต็มไปหมด ต่อให้ผู้แซ่หานเอาหนังและขนของมันมา หลังจากแปลงกายแล้ว เกรงว่าคงไม่เหมาะสมนัก ข้าน้อยจึงคิดว่าหาอีกตัวจะดีกว่า” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้ายังนึกว่าพี่หานเห็นว่าด้านข้างอสูรลับที่ได้รับบาดเจ็บตัวนั้นมีอสูรทารกอยู่อีกสองสามตัว ยามนั้นจึงเกิดความเมตตาเสียอีก จะคิดดูแล้วก็ใช่ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราจะขบคิดตื้นๆ เช่นนั้นได้อย่างไร” สือคุนเบะปากขณะเอ่ย
หานลี่ได้ยินกลับหัวเราะหึๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดตอบ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา ฉับพลันนั้นในม่านลำแสงสีฟ้าก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น ม่านลำแสงทั้งม่านสั่นกระเพื่อมเบาๆ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็อดที่จะมีแววตาเคร่งขรึมไม่ได้ ส่วนสือคุนเองก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
ฉับพลันนั้นม่านลำแสงสีฟ้าพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นดวงลำแสงแล้วสลายหายไป
เห็นเพียงตรงใจกลางของม่านลำแสง หลิวสุ่ยเอ๋อร์หญิงสาวผู้นั้นกำลังยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างขาเรียวของนาง อสูรลับเพศเมียกำลังนอนหมอบอยู่ตรงนั้น บนเรือนร่างนอกจากขนเปียกโชกแล้ว กลับไม่มีท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของอสูรตัวนั้น ก็รู้ว่าอสูรลับตัวนั้นไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว
“ฝีมือเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าอิทธิฤทธิ์ธาตุน้ำของสหายหลิวจะน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะรวดเร็วกว่าผู้แซ่สือในยามนั้นเสียอีก” สีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของสือคุนค่อยๆ สลายหายไป แต่ปากก็ส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยชื่นชม
“เหตุใดพี่สือต้องล้อเลียนน้องหญิงด้วย กายเนื้อของพี่สือแข็งแกร่ง วันนั้นข้าและสหายหานได้ประจักษ์กับตาของตัวเองแล้ว ฝีมือของข้าจะไปเทียบเทียมได้อย่างไร” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ยกมือขึ้นดูดอสูรลับตัวนั้นเข้ามาในมือ แล้วเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มเบิกบาน
“ฮ่าๆ หากอิทธิฤทธิ์ของเซียนหลิวในยามนี้เป็นแค่ฝีมือเล็กๆ เช่นนั้นอิทธิฤทธิ์ของผู้แซ่สือก็ยิ่งไม่มีค่า สหายหานยามนี้ข้าและเซียนหลิวมีหนังอสูรแล้ว ครานี้จึงเหลือแค่เจ้าคนเดียว และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่า ก็ยิ่งจะพบกับอสูรลับเป็นฝูงมากขึ้นเท่านั้น สหายต้องคิดหาทางแล้ว” สือคุนพลันหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่อย่างมีเลศนัย
“พี่สือวางใจ ผู้แซ่หานรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่มีทางเอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นแน่” หานลี่กลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
……
สามวันต่อมา ด้านข้างลำธารเล็กๆ ที่คดเคี้ยวในป่าอสูรลับ ปรากฏร่างอสูรลับที่ขนาดใหญ่กว่าอสูรลับธรรมดาๆ สามเท่า ถูกม่านลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้
หานลี่ลอยอยู่เหนือม่านลำแสง สองตาปิดสนิท สองมือร่ายอาคมกระตุ้นเคล็ดวิชาอันใดสักอย่าง ทำให้ม่านลำแสงสีเขียวเปล่งแสงกะพริบวาบเดี๋ยวสดใสเดี๋ยวมืดมน
ส่วนหญิงสาวสวมงอบและสือคุนยืนอยู่ด้านข้างม่านลำแสง คนหนึ่งแววตางดงามเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด คนหนึ่งขมวดคิ้วแน่น แต่ทั้งสองล้วนรู้สึกตกตะลึงในใจ
ม่านลำแสงสีเขียวนี้ไม่เพียงจะหนาแน่นราวกับของจริง ทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในได้เลยสักนิด กวาดจิตสัมผัสไป และถูกดีดออกมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
นั่นก็คือค่ายกลกระบี่หลากวสันต์ที่หานลี่วางเอาไว้!
หานลี่ลอยอยู่กลางอากาศ ฉับพลันนั้นพลันขมวดคิ้ว หยุดร่ายอาคมในมือ สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง ในเวลาเดียวกันปากก็พ่นคำว่า “เก็บ” ออกมา
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีเขียวพลันแผ่ออกไป ชั่วครู่กระบี่บินที่เปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับยี่สิบสามสิบเล่ม ขนาดสองสามฉื่อซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็พลิ้วไหว
หานลี่แค่ตะปบมือออกไปกลางอากาศ กระบี่บินทั้งหมดก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ทยอยกันหดเลือดขนาดสองสามชุ่น จากนั้นก็พุ่งออกไป แล้วจมหายเข้าไปในร่างของเขาทีเดียว
ในขณะที่เขตอาคมกระบี่ห่อหุ้มลงมาบนพื้นดิน อสูรลับยักษ์ก็มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดแล้วล้มลงกับพื้น สิ้นลมหายใจ
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หญิงสาวสวมงอบและสือคุนก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ แต่ล้วนมองเห็นแววตาหวาดกลัวส่วนหนึ่งจากแววตาของกันและกัน
หานลี่เหลือบมองฉากนั้นแวบหนึ่ง แต่กลับร่อนลงมาอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ สองเท้าร่อนลงด้านข้างศพของอสูรลับตัวนั้นอย่างพอดิบพอดี
“สหายทั้งสอง มีหนังของอสูรลับแผ่นนี้ ยามนี้พวกเราก็เข้าไปในป่าลึกได้อย่างสบายใจแล้ว” หานลี่เอ่ยกับคนที่เหลือทั้งสองด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“มีหนังอสูรแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นปัญหา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า อิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพี่หานจะเป็นเขตอาคมกระบี่ในตำนาน สถานการณ์ในเขตอาคมแม้ว่าเราสองคนจะมองไม่เห็นอันใด แต่พลังที่สามารถกั้นจิตสัมผัสของข้าและสหายสือได้นั้น เรียกได้ว่าเป็นพลังที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่สหายล่อให้อสูรลับตัวนี้เข้าไปในเขตอาคม จนถึงตอนนี้ที่สังหารอสูรแล้วถอนเขตอาคมกระบี่ออก แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าพวกเราสักหน่อย แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย เห็นได้ชัดว่าเขตอาคมกระบี่นี้มหัศจรรย์มาก หากสหายมีอิทธิฤทธิ์นี้ล่ะก็ คิดดูแล้วคงไร้เทียมทานในพวกที่ระดับต่ำกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์” สือคุนเองก็เอ่ยชมออกมาจากใจจริง
“เหอๆ! เหตุใดสหายทั้งสองต้องยกยอผู้แซ่หานด้วย แม้ว่าเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ของข้าจะมีอิทธิฤทธิ์ แต่สหายทั้งสองถูกท่านอาวุโสทั้งสองให้ความสำคัญ คิดดูแล้วก็คงจะเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาไม่ได้หนึ่งในสิบส่วนสินะ จะไปเทียบกับเขตอาคมกระบี่จิ๊บจ๊อยได้อย่างไร!” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วตอบกลับอย่างคลุมเครือ