เมื่อได้ยินชายร่างใหญ่แสดงความคิดเห็นไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง สายตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็อ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า
“ในเมื่อสหายสือคิดเรื่องนี้ได้แล้ว เราสามคนก็มาช่วยกันข้ามป่าอสูรลับกันเถิด เชื่อว่าหากพวกเราร่วมมือกัน จะต้องปลอดภัยแน่”
“หึๆ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” สือคุนเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะต่ำๆ
ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันอีกพักใหญ่ ก็เปลี่ยนทิศทางบินไปตามขอบมหาสมุทร
ชั่วพริบตาที่นี่ก็ว่างเปล่า ไม่มีเงาผู้ใดอีก
แต่ในยามที่หานลี่และพวกออกไปได้ไม่นาน บนผิวน้ำไกลออกไปพลันมีลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีแดงเหลืองอีกสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางเปล่งแสงกะพริบวาบๆ มาถึงชายฝั่ง
ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง ชนต่างเผ่าสวมอาภรณ์แตกต่างกันสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น
ทั้งสองคนมีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์
คนหนึ่งทั้งอ้วนและเตี้ย แต่ก็สวมเกราะสงครามประหลาดเอาไว้ เป็นสีดำสนิท แทบจะปกปิดศีรษะกว่าครึ่งของพวกเขาเอาไว้
อีกคนกลับทั้งสูงและผอม ร่างกายผ่ายผอมราวกับซากแห้ง แต่ก็สวมชุดคลุมตัวโคล่ง เผยท่าทางแปลกประหลาดเป็นอย่างมากออกมาเช่นกัน
ทั้งสองคนคือคนของเมฆาสวรรค์ที่ยังอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนหลังจากที่หานลี่และพวกจากไป
แต่เมื่อทั้งสองคนปรากฏกาย รอบกายก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าดูไม่ได้
ชนต่างเผ่าตัวอ้วนเตี้ยแม้กระทั่งมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้า ยังคงเอ่ยอย่างอืดอาด
“ช่างโชคร้ายเสียจริง คาดไม่ถึงว่าจะพบกับอสูรโบราณสองตัว หากไม่ใช่เพราะพวกมันกำลังต่อสู้กัน พวกเราคงยากจะหลบเลี่ยง แต่เช่นนั้นถูกอานุภาพจากการต่อสู้ของพวกมันทำให้เกิดระลอกคลื่น ก็ต้องทำให้สมบัติอาคมของพวกเราระเบิดตัวเองถึงจะหนีออกมาได้”
ชนต่างเผ่าตัวอ้วนเตี้ยพูดภาษามนุษย์ ท่าทีเจ็บปวดมาก
“หึ หนีเอาชีวิตรอดมาจากอสูรโบราณสองตัวได้ ก็นับว่าพวกเราโชคดียิ่งแล้ว ทว่ามหาสมุทรแห่งนี้แปลกประหลาดจริงๆ พวกเราไม่เพียงถูกหมอกประหลาดในผิวน้ำกักเอาไว้สิบกว่าวัน พอบินออกมาก็มาพบกับอสูรโบราณสองตัวอีก” ชนต่างเผ่าร่างกายสูงผอม เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โชคดีที่พวกเราบินออกมาจากน่านน้ำแห่งนี้ได้แล้ว เทือกเขาตรงหน้าน่าจะปลอดภัยหน่อยสินะ” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยเลื่อนสายตาไปมองเทือกเขาตรงหน้าแวบหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก
“จานกำหนดตำแหน่งใช้การไม่ได้เมื่ออยู่ในมหาสมุทร ยามนี้น่าจะได้นำออกมาใช้อีกครั้ง ดูว่าจะหาตำแหน่งของพวกเราเจอหรือไม่” ชนต่างเผ่าร่างกายผอมสูงเอ่ยอย่างครุ่นคิดเล็กน้อย
“เยี่ยม ข้าจะสำแดงแล้ว” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยไม่มีความเห็น พยักหน้าจากนั้นก็อ้าปากพ่นจานหยกเรียบลื่นออกมา
หลังจากที่เจ้าสิ่งนี้หมุนวนกลางอากาศ ก็มีขนาดประมาณสองสามจั้ง เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาในเวลาเดียวกัน เหมือนมีสิ่งใดแฝงอยู่
ชนต่างเผ่าร่างอ้วนเตี้ยมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า กระอักโลหิตสดๆ ออกมาจากปาก ชั่วครู่ก็กลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่ง
นิ้วร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ชี้ไปที่หมอกโลหิตที่กำลังผนึกรวมตัวกัน
ชั่วขณะนั้นหมอกโลหิตกลุ่มนี้ก็ม้วนวน ทั้งหมดจมหายเข้าไปในจานหยกอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนผิวของจานหยกก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ทำให้จานหยกนั้นชัดเจนขึ้นมาก แม้กระทั่งมีทัศนียภาพปรากฏขึ้นรางๆ
ชนต่างเผ่าทั้งสองคนเห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสี่ข้างก็เบิกกว้าง จ้องเขม็งไปยังจานหยกสีขาวด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สีหน้าของทั้งสองก็ดูไม่ได้
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น จานกำหนดตำแหน่งไม่อาจยืนยันตำแหน่งของพวกเราได้” ชนต่างเผ่าร่างกายสูงผอมเอ่ยพึมพำถาม
“จานกำหนดตำแหน่งไม่อาจใช้การได้ ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นแดนพิเศษ ก็เป็นเพราะอสูรโบราณสองตัวนั้นดึงไอวิญญาณฟ้าดินในละแวกนี้ไป แม้แต่ที่นี่ก็ยังได้รับผลกระทบ แม้ว่าจานกำหนดตำแหน่งจะลึกลับ แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจเทียบกับสมบัติสองสามชิ้นในตำนานได้” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยเอ่ยอย่างขบคิด
“หึ หากรู้ว่าไม่มีประโยชน์เช่นนี้ คงไม่เสียเงินตั้งมากมายประมูลมาหรอก เจ้าสิ่งนี้แทบจะต้องสูญเสียเงินเก็บกว่าครึ่งของเจ้าและข้าไป” ชนต่างเผ่าร่างกายผอมสูงมีท่าทีโกรธเกรี้ยว
“แม้ว่าเจ้าสิ่งนี้จะใช้การไม่ได้ในแดนกว้างเย็น แต่หากไม่มีมันล่ะก็ เจ้ากับข้าคงไม่อาจยืนหยัดตำแหน่งในแดนนี้ได้จริงๆ คนอื่นๆ ก็ยอมซื้อเจ้าสิ่งนี้มาเช่นกัน เจ้าสิ่งนี้มีเพียงคนของเผ่าผลึกถึงจะหลอมขึ้นได้ ทุกครั้งที่แดนกว้างเย็นเปิดออก ก็จะทำให้เผ่าของพวกเขาร่ำรวย ว่ากันว่าคนของเผ่าผลึกยังหลอมสมบัติกำหนดตำแหน่งที่ลึกลับยิ่งกว่าขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่!” ชายชราร่างกายอ้วนเตี้ยเองก็มีท่าทีกลัดกลุ้ม
“ช่างเถิด เรื่องมาถึงครานี้แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อที่นี่ยังคงไม่อาจใช้จานกำหนดตำแหน่งได้ เช่นนั้นก็เดินทางก่อนแล้วกัน ออกจากที่นี่แล้วค่อยว่ากันเถิด” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยใช้สายตากวาดไปมองเทือกเขาที่อยู่ใกล้เคียงอย่างละเอียดแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้” ชายชราร่างกายสูงผอมลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้พยักหน้า
ดังนั้นทั้งสองคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีแดงเหลืองพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็หายวับไปจากกลางอากาศเหนือเทือกเขา
แต่หลังจากนั้นชนต่างเผ่าทั้งสองกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดได้พบทั้งสองคนอีก
……
เหนือป่าผืนหนึ่ง ชนต่างเผ่าเผ่าเมฆาสวรรค์สามคนกำลังร่วมมือกันกลายเป็นลำแสงวิญญาณสามสีสายหนึ่ง พุ่งแหวกอากาศหนีไป
ด้านหลังของพวกเขากลับมีอสูรประหลาดหัวเหมือนกวาง แต่ตัวกลับเหมือนวานรกำลังไล่ตามมาสิบกว่าตัว
……
ไกลกว่านั้นเป็นธารน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมด้วยพายุหิมะ คนประหลาดสองสามคนมีขนสีขาวงอกออกมาสองสามฉื่อทั่วเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะบินอยู่กลางอากาศในระดับต่ำๆ สูงจากพื้นดินไปไม่ถึงสิบจั้ง
เกล็ดน้ำแข็งสีขาวโพลนจากพายุน้ำแข็งเหล่านั้นแทบจะทำให้ผู้คนแข็งตายได้ในพริบตา ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบต่อคนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาหายไปท่ามกลางพายุหิมะในพริบตา
……
ในป่าลึกบุรุษสองคนสวมชุดคลุมสีเขียว ผิวสีเหลืองกรอบราวกับต้นไม้ กำลังถือธงเล็กๆ สีแดงอยู่ พลางโบกไปทางต้นไม้ใหญ่สูงยี่สิบสามสิบจั้งไม่หยุด
ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้สูงตระหง่าน และกลางลำต้นก็มีใบหน้าโหดเหี้ยมราวกับภูตผีปรากฏขึ้น
แต่มันในยามนี้กลับถูกเปลวเพลิงรุนแรงห่อหุ้มเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้นปากของใบหน้าประหลาดก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา พ่นของเหลวสีเขียวออกมาไม่หยุด ต้านทานการโจมตีของเปลวเพลิงเหล่านั้น
รากยักษ์สิบกว่าเส้นก็สะบัดพลิ้วไปมาอยู่ใต้ต้นไม้ บนพื้นดินมีรอยลึกลงไปสองสามฉื่อปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าอานุภาพยิ่งใหญ่มาก
หากเป็นเปลวเพลิงธรรมดา อาจจะถูกรากเหล่านี้กวาดไปจนเกลี้ยง
แต่เมื่อมีเปลวเพลิงเหล่านี้ล้อมรอบอยู่ ยามที่เผชิญหน้ากับรากเหล่านี้กลับดูเหมือนเปลวเพลิงที่กำจัดไม่ได้
ปล่อยให้รากต้นไม้กวาดผ่านเปลวเพลิง แต่กลับไม่สั่นไหวเลยสักนิด ราวกับเงาลวงตาอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ต้นไม้สูงเสียดฟ้าที่พ่นของเหลวสีเขียวออกมาก็บางตาลง สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานเปลวเพลิงในบริเวณรอบได้อีก เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นไม่หยุด กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำกองหนึ่ง
บุรุษผิวสีเหลืองกรอบสองคนนั้นเห็นเช่นนี้ก็เก็บธงในมือ แล้วบินออกมา ชั่วครู่ก็มาอยู่ตรงหน้าเถ้าถ่าน
พวกเขาแยกกันโน้มตัวลงจับ คาดไม่ถึงว่าต่างหยิบสิ่งที่เหมือนผลึกสีเขียวมรกตออกมาเม็ดหนึ่งได้จากกองเถ้าถ่าน
บุรุษสองคนนี้เห็นสิ่งนี้ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง เผยสีหน้ายินดีอย่างบ้าคลั่งออกมา
……
มุมหนึ่งที่รกร้างของแดนกว้างเย็น กลางอากาศเหนือทะเลทรายที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา บุรุษและสตรีมีเขาประหลาดหลากสีสันงอกออกมาจากหัวกำลังถูกห้อมล้อม ได้ยินชายหนุ่มที่มีเขาสั้นสีทองสามเขางอกออกมาจากหน้าผากเอ่ยอันใดสักอย่าง
ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา ราวกับว่าได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
และเมื่อชายหนุ่มกวาดตาไป บุรุษและสตรีคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วเผยสีหน้าเคารพนบน้อมออกมา
“เป้าหมายที่แท้จริงในครั้งนี้ พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ดี เพื่อให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อาวุโสต่างๆ ในเผ่ายอมแม้กระทั่งสูญเสียปราณแท้ ใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬแยกร่างหลอมสมบัติเหนือชั้นห้าชิ้นให้พวกเรา และยังใช้ธงต่างๆ ที่หมอบซุ่มอยู่ในเมฆาสวรรค์ เพื่อดึงดูดความสนใจทั้งหมดของชนชั้นสูงของเผ่าเมฆาสวรรค์ หากเรื่องนี้สำเร็จ มันจะมีค่ากับเผ่าข้าขนาดไหน พวกเจ้าน่าจะรู้ดี ไม่จำเป็นต้องให้ข้ากล่าวให้มากความ” บุรุษเขาสีทองผู้นั้นเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านทูตวิสามัญโปรดวางใจ พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่” หลังจากที่บุรุษและสตรีที่เหลือฟังจบก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจอยู่ลึกๆ แทบจะเอ่ยปากตอบรับออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“เยี่ยมมาก แม้ว่าข้าจะฝึกฝนอยู่ที่ภูเขาเขาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ รู้จักกับพวกท่านได้ไม่นาน แต่เชื่อว่าเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองในอนาคตของเผ่าข้า สหายทุกท่านจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ ครั้งนี้แม้ว่ากลุ่มคนในเผ่าของข้าจะเข้ามาในแดนกว้างเย็นแค่สิบกว่าสาขา แต่ขอแค่มีห้ากลุ่มที่มีสมบัติอยู่ นั่นถึงจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ กลุ่มที่เหลือแค่ช่วยเหลือ ช่วยปกปิดการเคลื่อนไหวของพวกเราเท่านั้น เพื่อไม่ให้ถูกเผ่าอื่นๆ มองออก ยามนี้ก็ทำตามแผนเดิม ข้าจะออกเดินทางแล้ว” ชายหนุ่มเขาสีทองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นปากก็ออกคำสั่ง
ดังนั้นภายใต้การนำของชายหนุ่มเผ่าเขาประหลาดกลุ่มนี้จึงบินไปในส่วนลึกของทะเลทรายทันที
……
กลางอากาศเหนือทะเลสาบ บุรุษและสตรีจากชนต่างเผ่าสองคนที่กายท่อนบนเป็นมนุษย์ กายท่อนล่างเป็นหางปลากำลังยืนเคียงไหล่กัน
ตรงข้ามกลับเป็นวาฬประหลาดยาวสิบจั้งเศษ แต่บนหัวกลับมีดวงตาสีทองงอกออกมาเก้าดวง แผ่กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงออกมา
ทั้งสองต่างเผชิญหน้ากันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ดวงตาของบุรุษชนต่างเผ่าเป็นสีเงินขาว ส่วนดวงตาทั้งสองของหญิงสาวกลับเป็นสีทองเรืองรอง คล้ายคลึงกับวาฬประหลาดตัวนั้นเล็กน้อย
ยามนี้ปากของวาฬกำลังเปล่งเสียงร้องคำรามไม่หยุด ในเวลาเดียวกันดวงตาทั้งเก้าดวงก็มองไปยังทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้าม ท่าทางดุดันไม่เป็นมิตร
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นชนต่างเผ่าทั้งสองก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากปรึกษากันด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวชนต่างเผ่าหางเป็นปลาผู้นั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็เปล่งเสียงคำรามคล้ายกับวาฬประหลาดออกมา
วาฬประหลาดได้ยินก็ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษาเดียวกับตัวเอง ดวงตาทั้งเก้าดวงกะพริบปริบๆ พร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะลังเลเล็กน้อย
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวหางปลากลับมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ปากกลับเปล่งเสียงคำรามไม่หยุด แม้กระทั่งดังมากกว่าเดิมหลายส่วน
เสียงคำรามดังสนั่นของวาฬยักษ์หยุดลง จากนั้นดวงตาก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ร่างใหญ่ยักษ์พลิ้วไหว วนล้อมรอบบุรุษและสตรีชนต่างเผ่าสองคนสองสามรอบ จากนั้นถึงได้กลับมาอยู่ที่เดิม ปากถึงได้ส่งเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้หญิงสาวหางปลาได้ยินเสียงคำรามของวาฬ ก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา ร่างกายแค่พลิ้วไหว ก็บินไปอยู่เหนือวาฬประหลาด และร่อนลงมาบนหลังของมันอย่างเชื่องช้า
วาฬประหลาดที่ดูเหมือนแข็งแกร่งอย่างสุดๆ กลับเผยท่าทีว่าง่ายออกมา ไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยวเลยสักนิด และเมื่อหญิงสาวชนต่างเผ่ากระตุ้น ร่างก็เปล่งลำแสงสีฟ้าออกมา พุ่งออกไป
บุรุษชนต่างเผ่าที่มีหางปลาเช่นกันผู้นั้น ย่อมไล่ตามไปติดๆ