เรือยักษ์สีเขียวกับสายรุ้งตื่นตาสามสาย แทบจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาในเวลาเดียวกัน สองฝ่ายต่างชะเง้อมองซึ่งกันและกัน และอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย
“บังเอิญจริงๆ นึกไม่ถึงว่าสหายเผ่าวิญญาณก็รุดมาถึงที่นี่ได้ในเวลานี้เหมือนกัน ผู้แซ่หล่งนับถือแล้ว”
พอแสงวาบเก็บ ปรมาจารย์สกุลหล่งก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วพูดยิ้มๆ กับอีกฝ่าย
“เชียนชิวก็นึกว่าพี่หล่งเข้าไปในหุบเขาแล้ว ไม่นึกว่าเพิ่งจะรุดมาถึงเช่นกัน”
เสียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวดังออกมาจากเรือยักษ์ แล้วเงาร่างก็วาบ มาปรากฏตัวอยู่หน้าเรือยักษ์
ด้านหลังของนางยังมีเงาร่างอีกสี่สาย สามในสี่คือวิญญาณซึ่งดำรงอยู่แบบวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏให้เห็นอยู่บนเรือยักษ์ก่อนหน้านี้ แต่ร่างที่สี่ที่เพิ่งปรากฏ กลับเป็นชายหนุ่มหน้าขาวซีดผิดปกติคนหนึ่ง แขนขาทั้งสี่มีหมอกสีน้ำเงินลอยอยู่ชั้นหนึ่ง สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์อย่างสิ้นเชิง
“ฮาๆ เดิมทีข้าควรมาถึงก่อนสองวัน แต่ระหว่างทางพบเจอปัญหานิดหน่อย จึงเสียเวลาไปบ้าง กลับเป็นสหายทั้งหลายที่มาได้ตรงต่อเวลา ทั้งๆ ที่ต้องเดินทางไกลอย่างยากลำบาก มีใจให้งานนี้จริงๆ”
บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะเสียงดังก่อนพูด หลังจากกวาดตามองหน้าคนทั้งห้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าพลันชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่เหนือเงาร่างในแสงสีขาว ใบหน้ามีความรู้สึกแปลกใจวาบผ่าน
“พบเจอปัญหา คงไม่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเดินทางของเรานะ”
พอได้ยิน สตรีชุดเหลืองก็มีสีหน้าเย็นวาบ จึงต้องถามให้รอบคอบ
“ท่านเซียนเชียนชิววางใจ แค่พบเจอมารระดับสูงไม่กี่ตนระหว่างทาง แต่ถูกเราสามคนจัดการไปแล้ว ข่าวการเดินทางของเราไม่รั่วไหลอย่างแน่นอน” ปรมาจารย์สกุลหล่งหัวเราะพลางตอบ
“พี่หล่งพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว ที่นี่คล้ายมีสหายสกุลสูงศักดิ์มาถึงก่อนก้าวนึง เราไปถึงด้านล่างค่อยหารือกันดีกว่า” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวค่อยโล่งใจไปหนึ่งเปราะ
ปรมาจารย์สกุลหล่งกวาดพลังจิตลงไปในหุบเขา และพอพบก็พูดขึ้นทันที
“อืม พลังปราณนี้เป็นของสหายหานกับท่านเซียนเยี่ยสองคน เราลงไปรวมพลกับพวกเขากัน”
และแล้วทั้งสองฝ่ายก็ทยอยกันลงไปด้านล่างหุบเขา เรือยักษ์สีเขียวของเผ่าวิญญาณลำนั้นไม่รู้ว่าใช้ศาสตร์ลับแบบไหน เดิมทีหยุดอยู่กลางอากาศ แต่พอถูกปราชญ์เฒ่าหันไปจิ้มทีหนึ่ง ก็วาบ ซ่อนตัวอยู่ที่เดิม ไม่เห็นแล้ว
เหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พากันตามพวกปรมาจารย์สกุลหล่ง เหาะลงใจกลางหุบเขาอย่างแผ่วเบา
ในเวลาเดียวกับที่สองเท้าของพวกเขาแตะพื้นนั้น เสียงดังกังวานของชายหนุ่มพลันดังมา
“ในที่สุดสหายทุกท่านก็มาถึง ข้ากับท่านเซียนเยี่ยรออยู่นานมาก”
สิ้นเสียง แสงสว่างก็วาบขึ้นที่ปลายอีกด้านของหุบเขา สายรุ้งตื่นตาสองสายวาบปรากฏ แล้วแหวกอากาศมาถึงตรงหน้ากลุ่มคนทันที
แสงสว่างกะพริบ หานลี่กับสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกปรากฏร่างออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
“เป็นสหายทั้งสองท่านจริงๆ ด้วย! เช่นนี้ทุกคนก็มากันครบแล้ว”
พอเห็นพวกหานลี่ ปรมาจารย์สกุลหล่งก็แย้มยิ้มทันที
หานลี่พยักหน้าตอบ หลังจากกวาดตามองสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว ก็พูดอย่างสงบนิ่ง
“นอกจากสหายเชียนชิวแล้ว สหายเผ่าวิญญาณที่เหลือไม่คุ้นหน้ายิ่ง ไม่ทราบว่าพอจะแนะนำตัวกับเราบ้างได้หรือไม่”
“สหายหานอยู่ในขั้นปลายของระดับผสานอินทรีย์แล้วหรือ!”
ตรงข้ามกับความสงบนิ่งของหานลี่ พอสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวใช้พลังจิตกวาดตามองหานลี่ สีหน้ากลับเปลี่ยน โพล่งเสียงแหบออกมา
ต้องรู้ว่าตอนที่หานลี่พบกับสตรีนางนี้บนแท่นหมื่นวิญญาณครั้งแรกนั้น เขาอยู่แค่ขั้นต้นของระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น ผ่านมาไม่กี่ร้อยปี ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียว เลื่อนพรวดมาถึงขั้นปลายแล้ว ย่อมทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวตื่นตกใจยิ่ง
“ผู้น้อยดวงดีมากจริงๆ ที่เข้าสู่ขั้นปลายได้ กลับทำให้สหายเชียนชิวเห็นเป็นเรื่องตลกแล้ว” หานลี่ยิ้มบางๆ ขณะตอบ
จากขั้นบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายเดียวกัน เมื่อมิได้จงใจใช้ศาสตร์ลับปกปิด ก็ไม่มีทางปิดบังขั้นบำเพ็ญเพียรที่แท้จริงได้
พอได้ยินนางพูด ชายร่างผอมกับเหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หัน ‘ควับ’ ใช้จิตใต้สำนึกสำรวจมองหานลี่ แล้วใบหน้าก็แสดงอาการตกใจออกมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
ก่อนที่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากเผ่าวิญญาณอย่างพวกเขาจะออกเดินทาง ได้ทำความเข้าใจข้อมูลของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ไม่กี่คนที่พวกเขาต้องร่วมงานด้วยอย่างละเอียดแต่เนิ่นๆ ย่อมจำหานลี่ได้ในแวบแรกที่เห็น
ซึ่งเดิมทีหานลี่ควรเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในเผ่ามนุษย์ที่บำเพ็ญเพียรในระดับผสานอินทรีย์ขั้นแรกซึ่งเป็นขั้นต่ำสุด กลับพลันเลื่อนเป็นขั้นปลายได้อย่างน่ากลัว ทำให้พวกเขาพากันตื่นตกใจขึ้นมา
“แหะๆ พี่หานน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่พบเห็นได้ยากในรอบแสนปีของเผ่ามนุษย์เรา ถึงสามารถบำเพ็ญเพียรได้เร็วขนาดนี้ แต่การที่ขั้นบำเพ็ญเพียรของสหายหานเลื่อนขึ้นพรวดพราด ย่อมทำให้พวกมั่นใจใจการเดินทางมากขึ้น” บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะ ก่อนพูดทีเล่นทีจริง
“ข้ากลับเคยได้ยินข่าวลือมาจริงๆ ว่า สหายหานมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเกินมนุษย์ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า พอเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ สหายหานจะมีความเร็วในการเลื่อนขั้นราวกับผีหลอกเช่นนี้ แต่ก็อย่างที่พี่หล่งว่า นี่เป็นเรื่องดีต่อการเดินทางไปแดนมารของเรา จริงสิ ให้ข้าแนะนำสหายท่านอื่นๆ ในเผ่าก่อนดีกว่า ท่านเหล่านี้ล้วนเป็นนักหมั่นบำเพ็ญเพียรของเผ่าวิญญาณเรา ซึ่งคนต่างเผ่ามักไม่ค่อยรู้จัก ท่านนี้คือผู้อาวุโสจินกู่ผู้สืบสายเลือดสกุลจินของเผ่าวิญญาณเรา เชี่ยวชาญอิทธิฤทธิ์คลื่นเสียง ที่ใช้จัดการศัตรูได้เป็นจำนวนมาก…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว ในที่สุดอาการตกใจบนใบหน้าก็หายไปไม่น้อย จึงชี้ไปที่
ชายร่างผอมชุดสีเทายาว และเริ่มแนะนำให้รู้จัก
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกับคนอื่นๆ ฟังพลาง สำรวจมองตามเหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทีละคน
จากปากของสตรีชุดเหลืองทำให้รู้ว่า นอกจากผู้อาวุโสจินกู่ท่านนั้นแล้ว ปราชญ์เฒ่าที่มีนามว่า “ฉางสิง” เชี่ยวชาญวิถีแห่งค่ายกลอาคมเขตต้องห้าม
วิญญาณเทพในแสงสีขาวซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถูกเรียกว่า “ไป๋ชี” นอกจากร่างเดิมเชี่ยวชาญอิทธิฤทธิ์อันแก่กล้าหลายชนิดที่ใช้ปราบวิชามารแล้ว ยังค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องบางอย่างในแดนมารด้วย
สุดท้าย หนุ่มน้อยหน้าขาว จากปากของสตรีชุดเหลือง ถูกพูดคร่าวๆ ว่าเป็นอุปกรณ์ของผู้อาวุโสเผ่าวิญณาณผู้หนึ่งที่เพิ่งเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์นาม “จื๋อสุ่ย” มีวิชาลับที่เป็นเอกลักษณ์ขณะอยู่ในที่ว่างแตกสลาย
ในบรรดาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แปลกประหลาดนี้ นอกจาสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกับเงาร่างในแสงสีขาวที่อยู่ในขั้นปลายระดับผสานอินทรีย์แล้ว ปราชญ์เฒ่ากับชายร่างผอมล้วนอยู่ในขั้นกลาง ส่วนหนุ่มน้อยนาม “จื๋อสุ่ย” อยู่แค่ขั้นต้น
ดูจากภายนอก ถ้าหานลี่มิได้อยู่ในขั้นปลายระดับผสานอินทรีย์โดยบังเอิญ ความแข็งแกร่งที่เผ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เผยให้เห็น ข่มเผ่ามนุษย์ได้จริงๆ
พอบรรพชนตระกูลหล่งสำรวจมองทุกคนเรียบร้อย ใบหน้าของเขาก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ กลับทักทายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ทีละคนด้วยรอยยิ้ม
ส่วนทางเผ่าวิญญาณ นอกจากปราชญ์เฒ่ากับชายร่างผอมที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แล้ว ไป๋ชีกับหนุ่มน้อยนาม “จื๋อสุ่ย” คนหนึ่งเย็นชา อีกคนเฉยเมย ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
บรรพชนตระกูลหล่งก็สมกับเป็นขิงแก่จอมเจ้าเล่ห์ ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด ทำการแนะนำหานลี่และคนอื่นๆ ให้คนเผ่าวิญญาณรู้จักคร่าวๆ
เนื่องจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นามไป๋ชี ร่างเปล่งพลังข่มขวัญของวิญญาณในขั้นปลายออกมาในลักษณะที่แข็งแกร่งกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวหนึ่งขั้นอย่างเห็นได้ชัด ทางผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จึงพุ่งความสนใจกว่าครึ่งไปที่ร่างวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลึกลับท่านนี้โดยไม่รู้ตัว
แต่ก็ไม่รู้ว่าร่างเดิมของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลายท่านนี้เป็นวิญญาณที่ประกอบขึ้นจากของชนิดใดบ้าง แสงสีขาวที่เปล่งออกตลอดทั้งร่างถึงได้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ขนาดหานลี่มองมากไปไม่กี่ครั้ง ก็รู้สึกหน้ามืดตาลายแล้ว จึงแอบตกใจอย่างอดไม่ได้
เวลาต่อมา ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้พูดจาไร้สาระมากมายอะไรอีก รีบทยอยกันนั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มหารือกันถึงปัญหาในการเข้าสู่แดนมารอย่างละเอียด
เนื่องจากการเดินทางเข้าแดนมารในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เตรียมตัวกันมาหลายปีแล้ว ย่อมวางแผนทุกขั้นตอนอย่างละเอียดสุดๆ ตอนนี้จึงแค่ปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ตามสภาพท้องถิ่นเป็นใช้ได้
ดังนั้นภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยามก่อนและหลัง ทั้งสองฝ่ายก็เจรจาต่อรองกันได้ทุกเรื่อง ทุกคนจึงทะยานร่างขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ทยอยกันเข้าไปในเรือยักษ์สีเขียวที่วาบปรากฏกลางอากาศอีก
หลังจากเรือยักษ์สีเขียวส่งเสียงดังกระหึ่ม แสงโทนร้อนเจ็ดสีบนตัวเรือก็กะพริบ กลายเป็นแสงสีเขียวอ่อนสายหนึ่ง พุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน แสงสีเขียวก็หายไปตรงขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย ไกลออกไปราวหลายร้อยลี้
แต่กลุ่มคนในเรือยักษ์ย่อมไม่รู้ว่า ห่างจากพวกเขาราวหลายสิบลี้ ท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปหมื่นจั้ง กลุ่มแสงสีขาวที่แทบจะมองไม่เห็น กำลังร่อนมาด้วยความเร็วสูงอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน ท่าทางกำลังตามหลังเรือยักษ์ลำเขียวมาติดๆ
ในกลุ่มแสงประหลาดนี้ ชายร่างใหญ่เกราะดำหน้าตาน่าเกลียดผู้หนึ่ง กำลังถามสตรีชุดชาววังผู้หนึ่งซึ่งมีแสงสีชมพูไหลเวียนทั่วร่างอย่างตื่นตระหนก
“นายท่านว่า ในชนต่างเผ่าเหล่านั้น มีคนที่ทำให้ผู้อาวุโสอย่างท่านเกรงกลัวอยู่บ้าง นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้! แม้นายท่านมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ไม่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ออกมาทั้งหมด แต่ขอเวลาสักหน่อย จัดการผู้ดำรงอยู่ระดับผสานอินทรีย์เหล่านี้ทีละคน ไม่น่าจะเป็นปัญหา”
แต่สตรีชุดชาววังซึ่งใบหน้าถูกแสงสีชมพูบดบัง ฝ่ามือข้างหนึ่งจับเหรียญทองแดงสีม่วงทองเหรียญหนึ่งไว้ พลางใช้นิ้วถูไปมาไม่หยุด สักพักค่อยตอบเสียงเรียบ
“ข้ามิได้เกรงกลัวผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์เหล่านี้ แต่ “เหรียญทองแดงแห่งโชคชะตา” ของข้าเหรียญนี้ เมื่อครู่จู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเอง แปลว่าในเหล่าผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ ใครบางคนมีสมบัติวิเศษที่สามารถคุกคามข้าได้ ข้าจึงไม่อยากประมาท แล้วบาดเจ็บซ้ำอีก”
เหรียญทองแดงในมือนาง มีรูปสลักนูนต่ำ ด้านหนึ่งเป็นรูปหน้าคนใจดียิ้มแย้มแจ่มใส อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหน้าคนประหลาดๆ ท่าทางดุร้าย ขณะกะพริบสลับกันไปมา ดูพิลึกยิ่ง!
“สมบัติวิเศษอะไรที่ทำการคุกคามนายท่านได้!” สีหน้าชายร่างใหญ่เกราะดำเย็นวาบ พลันถาม
“ตอนที่ข้ายังไม่สูญเสียอิทธิฤทธิ์ไป นอกจากสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬแล้ว ในโลกนี้ยังมีสมบัติอีกสักกี่ชิ้นเชียวที่ทำการคุกคามข้าได้อย่างแท้จริง แต่เมื่ออยู่ในสภาวะเสียพลังยุทธ์ไปมาก ก็พูดยาก พวกสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าที่มีอิทธิฤทธิ์เป็นพิเศษ ตอนนี้ก็น่าจะกำราบข้าได้บ้างแล้ว”
สตรีชุดชาววังทอประกายตาพลางพูดช้าๆ
สีหน้าของชายร่างใหญ่เกราะดำเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก่อนถามอย่างระมัดระวัง
“เช่นนั้นเมื่อครู่ นายท่านสัมผัสถึงเบาะแสของยาวิญญาณในกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว!”
“ยาวิญญาณตกอยู่ในมือใครน่ะหรือ ข้ากลับคลับคล้ายสัมผัสได้ส่วนหนึ่งบนร่างของหนึ่งในนั้น…” สตรีชุดชาววังขมวดคิ้ว ตาสวยฉายแววคลุมเครือ คล้ายมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้ลังเลใจอยู่
ชายร่างใหญ่เกราะดำเห็นดังนี้ ก็เหงื่อตก มองสตรีชุดชาววังอย่างตะลึงงัน แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรต่อ
ส่วนเรือยักษ์สีเขียวที่อยู่ตรงหน้า พอเริ่มเหาะ ก็เหาะนานสามเดือนเต็ม โดยซ่อนรูปมาตลอดทาง เหาะ ข้ามฐานที่มั่นของเหล่ามนุษย์และมารอย่างระมัดระวัง จนมาถึงริมมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต