ได้ยินเพียงเสียงภาษาสันสกฤตดังลั่น อักขระยันต์สีเงินนับไม่ถ้วนทะลักออกจากตาข่าย พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาร่างดวงดาวร่วงหล่นลง
เสียงดังกึกก้อง!
ทุกสิ่งอย่างในรัศมีสิบกว่าลี้ล้วนจมลงไปในแสงสีเงินอันเจิดจ้า
ไอพลังปราณฟ้าดินในที่ว่างพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดสุดจะเปรียบ ก่อนเกิดพายุไต้ฝุ่นสีเทาลูกแล้วลูกเล่ากลางอากาศพุ่งสู่เก้าเมฆา ม้วนทุกสิ่งอย่างในบริเวณใกล้เคียงเข้าไปทั้งหมด ก่อนบดขยี้จนละเอียด
และภายในตาข่ายสีเงินก็มีเสียงปริแตกดังสะเทือนเลือนลั่นเป็นระยะ แต่สถานการณ์ที่แท้จริงกลับถูกแสงวิญญาณอันเจิดจ้าบดบังไว้อย่างมิดชิด ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
หนุ่มชุดทองควบคุมตาข่ายยักษ์ทั้งผืนด้วยมือข้างเดียว อีกข้างกลับไพล่หลังไว้ ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนไม่กังวลสักนิดว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามจะหนีออกไปได้
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ เสียงที่ดังมาจากตาข่ายยักษ์สีเงินถึงค่อยๆ เบาลง จนเงียบไปในที่สุด
ชายหนุ่มกะพริบตา หลังจากใช้พลังจิตกวาดดูด้านล่าง ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชา นิ้วทั้งห้าของฝ่ามือที่จับตาข่ายยักษ์สีเงินไว้กำเข้า
เสียงดัง ‘พรึ่บๆ’
ตาข่ายยักษ์สีเงินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา
พายุไต้ฝุ่น แสงสีเงิน และสิ่งของต่างๆ พอวาบ ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย คล้ายเหตุการณ์ทุกอย่างเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน
แต่ยอดเขาสูงตระหง่านมาแต่ไหนแต่ไรที่ด้านล่าง กลับเล็กลงจากเดิมกว่าครึ่ง
และท่ามกลางซากปรักหักพังบนยอดเขาที่แตกหัก มีของสามอย่างเปล่งแสงจางๆ ลอยเงียบๆ ในระดับต่ำ
กระจกโบราณสีเงินขนาดใหญ่ราวหนึ่งจั้งบานหนึ่ง ไม้ไผ่สีเขียวครึ่งท่อนสูงกว่าสิบจั้งลำหนึ่ง และดวงแสงสีเขียวขุ่นลูกหนึ่ง
พอหนุ่มชุดทองเห็นของสามอย่างนี้ ก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ สะบัดแขนเสื้อลงไป
แสงสว่างสีเงินพุ่งออก ม้วนของสามอย่างขึ้น แสงกะพริบไม่กี่ครั้ง ของก็ตกอยู่ในมือของชายหนุ่ม
“ไม่ผิดจริงๆ เพียงลบภูมิปัญญาทิ้ง แล้วนำกลับไปปลุกเสกดีๆ สักรอบ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากสมบัติวิเศษสามอย่างนี้แก้ขัดได้แล้ว”
หนุ่มชุดทองตรวจตราของในมืออย่างละเอียดหนึ่งรอบใบหน้าแสดงความพอใจออกมาพลางพึมพำ
“แต่แค่ของไม่กี่อย่างนี้ ไม่น่าจะพอ ถ้าได้เพิ่มอีกหน่อย อิทธิฤทธิ์แบบนั้นของข้าก็น่าจะใช้แก้ขัดไปได้บ้าง
ได้ยินมาว่า หัวหน้าหานแห่งเผ่าวิญญาณที่ดูเหมือนอยู่ในระดับมหายานเฝ้าเมืองอยู่ ถ้าข้าในตอนนี้ต่อกรด้วย ก็ต้องเปลืองมือเท้าค่อนข้างมากทีเดียว”
พอชายหนุ่มเก็บของเสร็จ ก็ครุ่นคิดเล็กน้อยพลางพูดกับตัวเอง
หลังจากสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสักพัก ก็ตัดสินใจได้ พลันแค่นเสียงเย็นชาออกมา จากนั้นแสงสีทองบนผิวกายก็วาบ กลายเป็นแสงสีทองอร่ามพุ่งแหวกอากาศออกไปไกล
บริเวณยอดเขาที่แตกหักจึงว่างเปล่า ไม่ปรากฏเงาคนใดๆ เคลื่อนไหวอีก ทุกอย่างดูเงียบงันผิดปกติ
แต่หลังจากชายหนุ่มจากไปราวครึ่งชั่วยาม ยอดเขาพลันมีเสียงดังหึ่งๆ กลับมีแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกองกรวด
แสงกลุ่มนี้มีขนาดเท่ากำปั้น หลังจากกะพริบ ก็หยุดอยู่กลางอากาศ ข้างในกลับมีของลักษณะคล้ายดวงตาสีม่วงใส
หลังจากดวงตาหมุนวนอยู่กลางอากาศไม่กี่รอบ ก็พลันจ้องไปในทางที่หนุ่มชุดทองจากไป ไม่ขยับเขยื้อนอีก เห็นชัดว่าของชิ้นนี้เป็นของขลังชิ้นหนึ่งที่ถูกคนควบคุมอยู่ และยังซ่อนตัวจากหูตาของหนุ่มชุดทองได้ แสดงว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
ดวงตาสีม่วงพลันหันไปมา จากนั้นทั้งตัวก็กะพริบแสงริบหรี่ แต่กลับไม่ส่งเสียงดังสักแอะ
ทำให้ทั้งหมดนี้ดูพิลึกพิลั่นยิ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ในตำหนักสีทองกลางทะเลเมฆหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล ชายชราที่มีลักษณะเหมือนเด็กกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำวาว จ้องมองลูกกลมใสสีขาวซึ่งลอยอยู่ตรงหน้าลูกหนึ่ง พร้อมสีหน้าหมองหม่น
ภาพมีชีวิตชีวาเสมือนจริงค่อยๆ แปรเปลี่ยนบนผิวลูกกลมใส แสดงภาพหนุ่มชุดทองทำการกำราบวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามดวงเมื่อครู่ และคลับคล้ายมีเสียงพูดคุยบางส่วนดังมาด้วย
พอชายชราได้ยินชายหนุ่มพูดว่า ‘ทาสวิญญาณ’ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมา แต่พอกะพริบตา ก็คืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
แต่ตอนที่ลูกกลมใสฉายให้เห็นภาพหนุ่มชุดทองปล่อยตาข่ายยักษ์สีเงินออกมานั้น ชายชราท่านนี้กลับลุกพรวดจากเก้าอี้ แล้วส่งเสียงต่ำๆ ออกมา
“ตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ! ในที่สุดก็เป็นของชิ้นนี้ เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นคนจากแดนเซียนจุติจริงๆ ก็ไม่สามารถพกของเช่นนี้ลงมาได้”
เห็นชัดว่าชายชรามิใช่คนธรรมดา แต่ขณะพูดคำว่า ‘ตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณ’ ใบหน้ากลับบิดเบี้ยวชนิดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ถูกต้อง นี่เป็นแค่ของเลียนแบบชิ้นหนึ่งเท่านั้น หาไม่แล้วขณะที่สมบัติวิเศษชิ้นนี้ทำการควบคุม เหตุใดถึงใช้เวลานานขนาดนั้น จึงจะกำราบร่างแปลงของทั้งสามได้ ไม่ผิด น่าจะไม่ใช่ตาข่ายฟ้าควบคุมวิญญาณของจริง!”
รอจนชายชราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาอย่างชัดเจนทั้งหมด ก็พลันค้นพบอะไรอีก สีหน้าท่าทางค่อย
ผ่อนคลายลงมาก จึงไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เดินกลับไปกลับมาในห้อง
“แต่ต่อให้เป็นแค่ของเลียนแบบ ก็คล้ายสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์กำราบเผ่าวิญญาณเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ จะดูเบาไม่ได้เช่นกัน คนผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นคนจากแดนเซียนลงมาจุติจริงหรือไม่ เมื่อมีของชิ้นนี้อยู่ในมือ ก็ไม่สามารถให้เขามีชีวิตรอดออกจากเผ่าวิญญาณเราได้แม้ครึ่งก้าว แต่ถ้าเป็นคนจากแดนเซียนจริงๆ ล่ะก็ คิดสังหารก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เห็นทีมีแต่ต้องใช้ของชิ้นนั้น สยบคนผู้นี้ให้อยู่หมัด”
หลังจากเดินอยู่หลายรอบ เขาพลันชะงักเท้า แล้วใช้น้ำเสียงที่มืดมนสุดๆ พูดกับตัวเอง
และพอร่างชายชราหมุน ก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ใหม่ แล้วจึงกะพริบตา ครุ่นคิดอย่างหนัก
…..
เผ่ามนุษย์
ในทิวเขาตรงทางแยกของเมืองศักดิ์สิทธิ์และเขตควบคุมของเมืองเทียนหยวน สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งปรากฏตะคุ่มๆ บนท้องฟ้า ก่อนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะกะพริบไม่กี่ครั้ง ก็หนีออกไปไกลหลายร้อยจั้ง
ความเร็วในการหลบหนีนั้นน่าทึ่งมาก
แสงสีเขียวพลันเปลี่ยนทิศทาง เอียงลงด้านล่างและตกลงไปในหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่ง
เพียงกะพริบครั้งเดียว แสงสีเขียวก็พลันปรากฏที่ด้านล่าง ริมก้อนหินสีเทาขาวก้อนหนึ่ง จากนั้นแสงก็วาบเก็บ ชายชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
คนผู้นี้หน้าตาธรรมดา ยังหนุ่มยังแน่น ท่าทางไม่เกินยี่สิบกว่า แต่ใบหน้าสงบนิ่งมาก กลับเป็นหานลี่ที่เดิมทีควรพักอยู่ในเมืองเทียนหยวน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนนี้เขาถึงมาปรากฏตัวในที่เช่นนี้
หลังจากหานลี่กวาดตามองคร่าวๆ ไปรอบบริเวณ สายตาพลันนิ่งค้าง จ้องมองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไม่วางตา ซึ่งดูเหมือนต้นไม้ธรรมดาๆ ต้นหนึ่ง
“คิกๆ ตาดีจริงๆ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่า ทักษะเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ไม่มีทางรอดพ้นหูตาของสหายหานไปได้หรอก” เสียงหัวเราะอันไพเราะเสนาะหูของสตรีดังออกมาจากต้นไม้ใหญ่
จากนั้น ต้นไม้ใหญ่ทั้งต้นก็พร่ามัว ขณะบิดเบี้ยว พลันกลายเป็นชายร่างใหญ่สูงหลายจั้งสวมเสื้อสีเหลือง
และข้างๆ ชายร่างใหญ่ยังมีสาวน้อยหน้าตาดีสวมเสื้อคลุมขนนกห้าสีอีกคน กำลังหัวเราะคิกคักขณะมองสำรวจหานลี่ แต่เห็นชัดว่าดวงตาฉายแววประหลาดใจออกมา
“ที่แท้ก็เป็นท่านเซียนเยี่ย ไม่ทราบว่ามานานแล้วหรือยัง ผู้น้อยขอคารวะ” หานลี่เก็บแสงบริสุทธิ์ในดวงตาคืนกลับ แล้วประสานมือพลางยิ้มให้อีกฝ่าย
สตรีผู้นี้ก็คือบรรพชนสกุลเยี่ย สกุลสูงศักดิ์วิญญาณแท้ผู้นั้น ซึ่งหานลี่เคยพบเจอครั้งหนึ่งในงานชุมนุมแท่นหมื่นวิญญาณ อิทธิฤทธิ์ของนางลึกล้ำชนิดยากแท้หยั่งถึง ท่าทางคล้ายมิได้อยูในอาณัติของสกุลหล่ง
หานลี่จึงมิอาจล่วงเกิน
“ข้าก็เพิ่งมาถึงก่อนไม่กี่ชั่วยามเอง เดิมทีคิดใช้หุ่นเชิดผ้าเหลืองที่เพิ่งได้มาตัวนี้ หยอกล้อสหายทุกท่านเสียหน่อย แต่กลับถูกพี่หานจับได้ทันตาเห็น เห็นทีการปลุกเสกหุ่นเชิดตัวนี้ยังมีปัญหานิดหน่อย”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกหัวเราะเบาๆ ก่อนใช้มือเรียบเนียนข้างหนึ่งตบชายร่างใหญ่เสื้อเหลืองที่ยืนอยู่ข้างกายเบาๆ เสียงกลวงจากด้านในดัง ‘เป๊งๆ’
เป็นชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนคนไม่มีผิด แต่กลับเป็นหุ่นเชิดรูปร่างคนที่ปลุกเสกเรียบร้อย
“ท่านเซียนเยี่ยล้อเล่นแล้ว หุ่นเชิดตัวนี้แม้ไม่มีช่องโหว่อะไรขณะแปลงร่าง แต่จะรอดพ้นหูตาของข้ากับท่านได้อย่างไรกัน” หานลี่หัวเราะตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ต้องบอกว่า ถ้าเป็นหุ่นตัวอื่นๆ ก็อาจเป็นไปได้ แต่หุ่นของข้าตัวนี้ ได้มาจากมือของผู้เฒ่ามู่กู่ ซึ่งเขาทุบหน้าอก รับประกันกับข้าเองว่า คาถาแปลงร่างของหุ่นตัวนี้ ผสานเป็นร่างเดียวกันกับผู้บำเพ็ญเพียร จึงมีสิทธิ์ที่จะหลุดรอดหูตาไปได้ แต่นึกไม่ถึงว่า ครั้งแรกที่ใช้กับสหาย จะไม่ได้ผล เห็นทีท่านผู้เฒ่าก็ขี้โม้ไม่เบา แต่เมื่อเทียบกันแล้ว การที่สหายหานเข้าสู่ขั้นปลายในระดับผสานอินทรีย์ ดูเหมือนเป็นจริงเช่นกัน มิใช่ข่าวลือข่าวลวงแล้ว!”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกะพริบตาปริบๆ กลับยิ้มหวานขึ้นมา
“หลายปีก่อน ผู้แซ่หานมีวาสนาอยู่บ้าง โชดคดีจริงๆ ที่ได้เข้าสู่ขั้นปลายของระดับบำเพ็ญเพียร แต่ถ้าพูดถึงอิทธิฤทธิ์จริงๆ จะเทียบกับท่านเซียนเยี่ยที่มีรากฐานอันลึกล้ำระดับนี้ได้อย่างไร”
หานลี่กระแอมไอเบาๆ มีท่าทีไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“เฮอะ สหายหานกลับริอาจใช้คำพูดเช่นนี้มาปลอบใจข้า ข้ากลับได้ยินมาว่า กระทั่งร่างอวตารมารศักดิ์สิทธิ์กับเผ่ามารขั้นปลายอีกหนึ่ง ก็ล้วนจบชีวิตด้วยน้ำมือเจ้าในศึกๆ เดียว อิทธิฤทธิ์ขนาดนี้ ยังมาพูดเทียบอะไรกับข้าอีก คำพูดนี้ปลอมเกินไปละ”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกค้อนขวับ ก่อนพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็แค่คำพูดเยินยอเกินกว่าเหตุเท่านั้น ในศึกๆ เดียวที่ผู้แซ่หานสามารถสังหารเผ่ามารไปสองตนนั้น ที่สำคัญเพราะได้รับการยื่นมือเข้าช่วยเหลือจากสหายท่านอื่นๆ มิฉะนั้นแล้ว ผู้น้อยที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นปลายของระดับบำเพ็ญเพียร ไหนเลยจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนั้นเล่า”
หานลี่หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับแบบก้ำกึ่ง
“เฮอะ เจ้านึกว่าข้าเชื่อหรือ” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกเบ้ปาก มีท่าทางไม่เชื่อเลย
หานลี่ยิ้ม ไม่พูดจาแล้ว
พอเห็นว่าหานลี่ไม่อยากพูดอะไรมาก สาวน้อยก็ไม่ไล่ถามอีก ตบฝ่ามือเก็บหุ่นเชิดผ้าเหลืองคืนกลับ แล้วทำเสียง ‘จุ๊จุ๊’ ใส่หานลี่อีก
“ตอนที่ข้ากับพี่หานเจอกัน พี่หานเพิ่งเข้าสู่ขั้นต้นของระดับผสานอินทรีย์เท่านั้น ตอนนี้ผ่านไปแค่ไม่กี่ร้อยปี ก็เข้าสู่ขั้นปลายแล้ว ความเร็วในการเลื่อนระดับเช่นนี้ ก็ผิดแผกแหวกแนวเกินไปหน่อย เห็นทีถ้ามิใช่ภัยพิบัติมารเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่เหมาะสม เกรงว่าทูตจากเกาะศักดิ์สิทธิ์คงพบพี่หานและเชิญเข้าร่วมกลุ่มแต่แรกแล้ว
“อืม ผู้แซ่หานก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน ที่ว่าเบื้องบนของเกาะศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่ทำการปลูกถ่ายสายเลือดวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุดของเผ่ามนุษย์และปีศาจ ยังเก็บรักษาและเพาะปลูกวัตถุดิบหายากกับยาวิญญาณนับไม่ถ้วนด้วย ถ้าสามารถเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขา ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งจริงๆ”
หานลี่ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้หมายความว่าอะไร แต่ก็ตอบอย่างไม่แสดงอารมณ์
“เช่นนั้นพี่หานรู้หรือไม่ว่า ตัวเกาะศักดิ์สิทธิ์เอง ก็คือครึ่งหนึ่งของสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ ยังคงเป็นสถานที่ที่ใช้ในการสืบทอดมรดกทางสายเลือดของพวกเราทั้งสองเผ่า”
สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกมองนิ่ง พลางค่อยๆ พูด