ทั้งสามคนบินไปได้สี่วันสี่คืน คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะได้พบกับเกาะอีกสามสี่เกาะ
เกาะเหล่านี้ล้วนถูกอสูรมหาสมุทรอื่นๆ ยึดครอง พลังปราณล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
กลิ่นอายระดับนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ทั้งสามคนตกใจจนหนีกระเจิง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นมาก ต่อให้ทั้งสามคนร่วมมือกันก็ยังจัดการได้ยาก
นี่จึงทำให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนขบคิดในใจว่าโชคดีแล้ว
โชคดีที่เชื่อคำพูดของหานลี่ มิเช่นนั้นการเดินทางครั้งนี้ เกรงว่ามีเพียงต้องไปถึงแผ่นดินใหญ่ถึงจะมีโอกาสฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีแล้ว
แต่แผ่นดินที่มั่นคง จะหาได้ง่ายดายเช่นนั้นที่ไหนกัน
ยามเช้าตรู่วันที่ห้า ในที่สุดบนผิวมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมีเส้นสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น มองเห็นแผ่นดิน
ทั้งสามคนล้วนอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้
“ในที่สุดก็บินออกจากมหาสมุทรประหลาดนี้ได้แล้ว” สือคุนหัวเราะร่าขณะเอ่ย
“สหายสือระวังหน่อยก็ดี จากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน อันตรายบนแผ่นดินใหญ่นั้นมีมากกว่าในมหาสมุทรมาก พอพวกเราไปถึงแผ่นดินทางที่ดีที่สุดก็คือเก็บกลิ่นอายไว้หน่อยดีกว่า จะได้ไม่ไปรบกวนอสูรโบราณใดๆ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันรู้สึกดีใจเช่นกัน แต่กลับเอ่ยเตือนขึ้น
“เซียนหลิวโปรดวางใจ แม้ว่าผู้แซ่สือจะชอบทำสงคราม แต่ก็ยังรู้ว่าอันใดสำคัญอันใดไม่สำคัญดี” สือคุณตอบอย่างไม่สนใจ
หญิงสาวสวมงอบได้ฟังถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง
เดิมจากระดับและประสบการณ์ของอีกฝ่าย เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่จำเป็นต้องให้นางเอ่ยอันใด แต่สือคุนก็ก้าวร้าวเกินไป นางถึงได้เอ่ยปากเช่นนี้ออกมา
หานลี่เห็นเช่นนั้น มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา ฉับพลันนั้นระหว่างผิวมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมีพายุก่อตัวขึ้น หมอกวารีสีขาวโพลนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวมหาสมุทร และแพร่กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“นั่นคืออันใด?” หานลี่พลันตกตะลึง คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากพลันเปลี่ยนเนื้อหาไปอย่างไม่รู้ตัว
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกย่อมมองเห็นสถานการณ์ประหลาดนี้เช่นกัน จึงอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
ไม่ต้องให้ผู้ใดพูดอันใด ลำแสงหลีกหนีทั้งสามคนพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แต่ละคนล้วนปรากฏตัวขึ้นที่เดิม และมองไปยังมหาสมุทรที่ไกลออกไปพร้อมกัน
แทบจะในเวลาเดียวกันที่ทั้งสามคนเคลื่อนไหว ขอบมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมีเสียงร้องคำรามดังมา กลายเป็นทะเลหมอกหมุนวนสีขาวขนาดสองสามหมู่ ผิวมหาสมุทรในบริเวณใกล้เคียงพลันเกิดระลอกคลื่น
กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงพลันระเบิดออกมาในเวลาเดียวกัน ไอหมอกพวยพุ่งขึ้นไปจากด้านล่าง!
จากนั้นอสูรยักษ์ที่ร่างกายใหญ่กว่าปลาหมึกยักษ์หลายเท่าพลันปรากฏออกมาจากมหาสมุทร มองเห็นขนปุกปุยลางๆ แต่เป็นอสูรประหลาดรูปร่างเหมือนวานรยักษ์มีเขาเดี่ยวงอกออกมาบนหัว
เมื่ออสูรประหลาดตัวนี้บินออกมาจากผิวน้ำ ก็ชูคอเปล่งเสียงร้องออกมาท่ามกลางเมฆหมอก คาดไม่ถึงว่าเสียงจะแหลมสูงฟังยากเพียงนี้
แต่หานลี่และพวกทั้งสามได้ยินเสียงคำรามก็หน้าเปลี่ยนสี บนเรือนกายเปล่งแสงสว่างวาบอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนมีลำแสงหนาๆ ชั้นหนึ่งห่อหุ้มตนเองเอาไว้ และเผยแววตาหวาดกลัวออกมาขณะมองสบตากันแวบหนึ่ง
ที่แท้เมื่อเสียงร้องแหลมๆ เมื่อครู่เข้าไปในโสตประสาทของพวกเขาก็รู้สึกหูอื้อทันที ความเจ็บปวดส่งเข้ามาราวกับว่าโลหิตบริสุทธิ์ทั่วสรรพางค์กายหมุนวน ทำให้แขนขาของเขาอ่อนแรง
นี่จะไม่ทำให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร
แต่ทั้งสามคนนั้นไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ครู่ต่อมาเสียงร้องแหลมๆ ของอสูรมหาสมุทรที่ดูเหมือนวานรยักษ์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่า
เสียงคำรามดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุด สั่นสะเทือนท้องฟ้าในบริเวณใกล้เคียงจนเกิดเสียงอื้ออึง!
ภายใต้เสียงคำราม ไม่เพียงทะเลหมอกในบริเวณรอบจะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่วารีมหาสมุทรในบริเวณใกล้เคียงก็ถูกคลื่นเสียงส่งผลกระทบ จนกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
มัจฉามหาสมุทรหลากชนิดจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาจากก้นสมุทรลอยอยู่บนผิวน้ำ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเสียงคำรามของอสูรมหาสมุทรทำให้ตกใจจนขาดใจตาย
ยามนั้นผิวมหาสมุทรในระยะร้อยลี้พลันกลายเป็นสีขาว ซากศพของมัจฉามหาสมุทรลอยเกลื่อนกลาด
ยามนั้นหานลี่และพวกทั้งสามคนที่อยู่ในรัศมีเสียงคำรามเช่นกัน ไม่เพียงเกราะป้องกันร่างกายจะสั่นไหวราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง สีหน้าของทั้งสามคนก็ดูไม่ได้เช่นกัน
ใบหน้าที่อยู่ใต้งอบของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ซีดขาว ร่างกายสั่นเทาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ราวกับว่าอาจจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา
ส่วนสือคุนแม้ว่าร่างกายจะยังคงมั่นคงดุจภูผา แต่ใบหน้าที่เดิมทีโหดเหี้ยมในยามนี้กลับมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน ดวงตาทั้งสองข้างถลนออกมา ท่าทางราวกับกำลังพยายามอย่างสุดชีวิต
กลับเป็นหานลี่ที่มีท่าทีผ่อนคลายที่สุด แค่หน้าซีดขาวไปส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ทั้งๆ ที่เสียงคำรามมีพลังแรงกดกับทั้งสามคนมหาศาล แต่ทั้งสามคนกลับลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าสองขามีรากงอกออกมาจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ตั้งแต่ที่อสูรยักษ์เปล่งเสียงร้องคำรามออกมามันกลับยิ่งน่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งท่ามกลางเสียงคำรามนั้นกลับมีระลอกคลื่นโปร่งใสที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อพ่นออกมา แล้วแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ
ผิวน้ำในบริเวณรอบถูกระลอกคลื่นโปร่งใสม้วนเข้าไป เว้าลงไปเป็นหลุมลึกสิบจั้งเศษ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็น ‘หลุมน้ำ’ ขนาดยักษ์บนผิวน้ำ ขอบของมันยังขยายใหญ่ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว
ชั่วพริบตาระลอกคลื่นสูงสามร้อยจั้งก็ก่อตัวขึ้น ด้านหลังราวกับมีพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งพยายามผลักดันมาอย่างไรอย่างนั้น และม้วนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
แม้ว่าหานลี่และพวกจะยังอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบในทันใด
ครานี้แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนพลันเผยแววตาตกตะลึงออกมา แต่ทั้งสองคนยังคงรั้งอยู่ไกลๆ ไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้เลยสักนิด
มองเห็นระลอกคลื่นโปร่งใสกะพริบวาบสองสามครั้ง หลังจากอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงสองสามลี้ สือคุนก็อ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงประหลาดๆ ออกมาจากลำคอ ร่างกายสูงใหญ่เปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนได้
เช่นนั้นใบหน้าของสือคุนก็เผยสีหน้าร้อนใจออกมา หน้าผากมีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมา
แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาเช่นกัน แต่ก็มีท่าทีทำอันใดไม่ถูก
มองเห็นทั้งสองคนมองระลอกคลื่นโปร่งใสเข้ามาประชิดในชั่วพริบตา หมายจะม้วนพวกเขาเข้าไปข้างใน
ใบหน้าของหานลี่กลับเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ จากนั้นก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา
เสียงนี้ดูเหมือนไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้ามาในโสตของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง กลับทำให้พวกนางตัวสั่นสะท้าน จากนั้นผิวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
สือคุนใช้เท้าหนึ่งเหยียบไปกลางอากาศด้านล่าง กลายเป็นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งออกไปด้านหลัง
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ร่างกายรางเลือนไปเล็กน้อย ชั่วพริบตานั้นก็หายวับไปจากที่เดิม
รอให้ร่างกายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คนก็อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งเศษแล้ว
กะพริบวาบเรืองๆ อยู่อย่างนั้น สตรีผู้นั้นก็หนีออกไปสิบจั้งเศษ ชิงไปอยู่ด้านหน้าสือคุน
ในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่ก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชาออกมา กลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
เมื่อทั้งสามบินออกมาได้สามสิบสี่สิบลี้ในรวดเดียว ในที่สุดถึงได้หม่นแสงลงแล้วหยุดลำแสงหลีกหนีลงอีกครั้ง พลางหันกลับมามอง
เห็นเพียงระลอกคลื่นโปร่งใสหมุนวน หลังจากอยู่ห่างจากพวกเขาไปเจ็ดแปดลี้ ในที่สุดอานุภาพก็มลายหายไป
ทั้งสามคนกลับไม่รู้ว่าในยามที่พวกเขากลับมาเคลื่อนไหวได้นั้น ดวงตากลมโตขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของอสูรมหาสมุทรที่ดูเหมือนวานรยักษ์ก็ฉายแววโหดเหี้ยม หัวบิดเบี้ยวเล็กน้อย มองมาทางพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองทางริมฝั่งอีกครั้งราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น ปากยังคงเปล่งแสงร้องคำรามดังสนั่นไม่หยุด
……
“นี่มันอสูรมหาสมุทรอันใด เหตุใดถึงมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้ แค่เสียงคำรามก็มีผลต่อกายเนื้อและพลังปราณในร่างของพวกเรา หรือว่าจะเป็นวานรยักษ์ภูเขาเที่ยงแท้ในตำนาน?” สือคุนพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มองไปยังอสูรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป พลางเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่วานรยักษ์ภูเขาเที่ยงแท้แน่ หากเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้จริงๆ พวกเราจะยังยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้หรือ คงถูกเสียงคำรามครั้งแรกของอีกฝ่ายทำให้เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ต่อให้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปหาเรื่องได้ ข้ากลับรู้สึกว่ามันคล้ายกับ ‘วานรป้อมปราการมหาสมุทร’” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนว่าจะกลับมาเยือกเย็น แล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“วานรป้อมปราการมหาสมุทร! คือวานรโหดเหี้ยมที่ฉีกทึ้งมังกรวารีและกลืนมันลงไปทั้งเป็นในตำนาน!” สือคุนได้ยินก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“น่าจะเป็นอสูรตัวนี้ไม่ผิด ถึงอย่างไรเสียอานุภาพเสียงคำรามสวรรค์ของวานรป้อมปราการมหาสมุทรก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราหนีรอดมาได้ กว่าครึ่งคงเป็นเพราะการโจมตีเมื่อครู่ของอสูรตัวนี้ไม่ได้พุ่งมาหาพวกเรา แค่ประตูเมืองไฟไหม้เป็นภัยลามถึงปลาในสระเท่านั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราหนีมาได้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ทว่าหากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่พี่หานเพิ่งจะลงมือช่วยเหลือ เซียนหลิวและข้าก็ยังคงตกอยู่ในหายนะแน่” หลังจากที่สือคุนไตร่ตรองเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็มองไปทางหานลี่ด้วยใบหน้าแปลกประหลาด
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าพี่หานจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะทำลายเคล็ดวิชาลับคำรามของวานรป้อมปราการมหาสมุทรได้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมาเช่นกัน พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
“ไม่มีอันใด ผู้แซ่หานแค่บังเอิญฝึกฝนเคล็ดวิชาลับมาชนิดหนึ่งที่สามารถต้านทานเสียงคำรามอสูรตัวนี้ได้เท่านั้น นี่เป็นเพราะพวกเราหนีมาไกลพอ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าน้อยคงรักษาชีวิตได้ยาก” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ไม่ว่าจะว่าอย่างไร ก็นับว่าพี่หานได้ช่วยน้องหญิงและพี่สือครั้งหนึ่ง บุญคุณครั้งนี้คงต้องตอบแทนในภายหลังแล้ว” หลังจากที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดไปเล็กน้อยก็ยังคงฉีกยิ้มเบิกบาน
“ใช่แล้ว น้ำใจครั้งนี้ผู้แซ่สือจะรับเอาไว้ วันหน้าจะต้องช่วยสหายให้ได้” สือคุนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เหตุใดสหายทั้งสองจึงต้องใส่ใจเรื่องนี้ด้วย อันตรายในแดนกว้างเย็นนี้มีมาก อสูรโบราณที่เหมือนกับวานรป้อมปราการมหาสมุทรยังมีอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปอาจจะเป็นข้าน้อยที่ต้องการให้สหายทั้งสองลงมือช่วยเหลือ” หานลี่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“สหายหาน เจ้า…” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะน้อยๆ ออกมาพลางคิดจะเอ่ยอันใดสักอย่าง
แต่ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังแว่วมา พลันมีเสียงเพรียกยาวๆ แปลกประหลาดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น แต่ก็ไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเสียงจากธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น
ทำให้หานลี่และพวกทั้งสามตกตะลึงหยุดพูดคุยกันทันที พลางมองไปยังจุดที่ไกลออกไปอีกครั้ง
ระยะห่างขนาดนี้ แม้ว่าหมอกสีขาวจะถูกสั่นคลอนจนสลายหายไป แต่ก็ทำให้ทั้งสามคนมองเห็นทุกอย่างเพียงคร่าวๆ เท่านั้น
ดูเหมือนว่าบนฝั่งตรงข้ามของวานรป้อมปราการมหาสมุทร มีวิหคยักษ์สีม่วงตัวหนึ่งบินมา ปากก็เปล่งเสียงร้องไม่หยุด
แม้ว่าจะอยู่ค่อนข้างไกลจนไม่อาจมองเห็นได้ชัด แต่ขนาดของมันก็ไม่แตกต่างจากวานรยักษ์เท่าใดนัก
และยิ่งไปกว่านั้นวิหคตัวนี้เผชิญหน้ากับเสียงคำรามสนั่นของวานรมหาสมุทร ร่างกายก็ไม่ได้ผลกระทบเลยแม้แต่น้อย พลางพุ่งตัวโถมเข้าไป