ผู้บำเพ็ญเพียรนับร้อย ด้วยแรงสนับสนุนจากหุ่นเชิดศพเขตอาคม ในที่สุดเพียงช่วงเวลาเดียวก็สามารถตรึงพญามารเจ็ดแปดตนเอาไว้กับที่ได้
ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากกลางเมืองเทียนหยวนส่องแสงสว่างวาบ ก็มีหอคอยศิลาสูงนับพันจั้งหลายร้อยหอผุดขึ้นมาจากดิน เสียงดังกระหึ่มลอยพุ่งตรงไปยังกองทัพใหญ่เผ่ามาร
ทั้งฝ่ายเผ่ามาร เรือรบยักษ์และหอคอยมารสามเหลี่ยมที่ลอยอยู่เหล่านั้น ยังคงคืบหน้าเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำเมื่อเกิดเสียงดังขึ้นมา ก็ปล่อยลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนยิงออกไป
แต่ผิวภายนอกหอคอยเผ่ามนุษย์เปล่งแสงห้าสีไหลวนไปมา แล้วสกัดเอาลำแสงจำนวนเหลือคณานับเหล่านั้นเอาไว้ และในขณะที่ขยับเข้าใกล้เผ่ามาร ประตูในหอคอยแต่ละบานก็เปิดขึ้นพร้อมกัน
นักรบเกราะหุ่นบังคับจำนวนนับไม่ถ้วนและอสูรวิญญาณเผ่าพันธุ์ต่างๆ ก็กรูกันออกมาจากด้านใน ถาโถมพุ่งไปราวกับฝูงตั๊กแตน
เรือรบเผ่ามารและหอคอยยักษ์สามเหลี่ยมเห็นได้ชัดว่ามีเผ่าพันธุ์มารคอยอารักขาอยู่จำนวนมาก หลังจากเสียงร้องโหยหวน นักรบเกราะเผ่ามารและนกมารแต่ละถุงก็บินออกมาจากความมืดอนธการเช่นกัน
เพียงชั่วขณะเดียวทั่วทั้งท้องฟ้าและปฐพีก็เต็มไปด้วยแสงสว่างและไอมืด กลิ่นคาวและห่าฝนเลือดก็ปะทุขึ้นบังเกิดขึ้นกลางความว่างเปล่า
หานลี่ได้ใช้จิตสัมผัสกวาดส่อง ย่อมไม่รับรู้เรื่องนี้อีกแล้ว เพียงแต่รอคอยอยู่เงียบๆ ที่ใจกลางเขตอาคม
เขารู้ดีว่า ในเมื่อศึกครั้งใหญ่มาถึงขั้นนี้แล้ว มีความจำเป็นที่เขาจะต้องยื่นมือเข้าไปได้ตลอดเวลา
เป็นตามที่คาด การรอคอยคราวนี้ไม่ยาวนานนัก เพียงราวๆ ครึ่งชั่วยาม เขตอาคมขนาดยักษ์ที่อยู่ด้านล่างก็ส่งเสียง ใต้ร่างผู้บำเพ็ญเพียรชายแต่ละคนมีแสงสีขาวขมุกขมัวเปล่งออกมา ปกคลุมทั่วทั้งกายจนมิด
ในตอนแรกผู้บำเพ็ญเพียรชายเหล่านี้สะดุ้ง จากนั้นต่างก็ล้วงเอาป้ายหยกสามเหลี่ยมชิ้นหนึ่งออกมาจากอกของแต่ละคน แล้วรีบกระตุ้น
แสงวิญญาณหลากหลายสีสันปรากฏออกมาจากแผ่นป้ายหยกเหล่านี้ จากนั้นก็กลายเป็นตัวอักษรยันต์สีม่วงอ่อนหลายตัว ลอยวนอยู่รอบเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร
หานลี่เห็นเช่นนั้น ใจก็เต้นตุบ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรอย่างละเอียด เขตอาคมก็ส่องแสงสว่างสีขาวออกมามากขึ้นหลายเท่า พร้อมกันนั้นยังส่งเสียงแหลมยาวออกมาเสียงหนึ่ง
หานลี่รู้สึกตาลาย ทันใดนั้นเขาก็ถูกอำนาจของเขตอาคมส่งตัวออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงหวีดแหลมของเขตอาคมก็เงียบลงฉับพลัน แสงสีขาวก็หายวับไป ผู้บำเพ็ญเพียรชายทั้งสามสิบหกคนและหานลี่ก็หายไปไม่เหลือแม้แต่เงา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บนท้องฟ้าสูงแห่งหนึ่งเหนือสนามรบ เขตอาคมแสงขนาดยักษ์อันหนึ่งลอยตัวปรากฏออกมา ตามด้วยแสงวิญญาณส่องกะพริบ ผู้บำเพ็ญเพียงชายทั้งสามสิบหกคนและหานลี่ปรากฏตัวออกมา
ตำแหน่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรชายเหล่านั้นปรากฏตัว ดูเหมือนได้รับการวางแผนมาอย่างละเอียด กระจายตัวห่างกันเป็นปีกตะวันออกและทิศตะวันตก แต่ความจริงแล้วกลับเป็นแนวค่ายกลอันน่ามหัศจรรย์อย่างหนึ่ง หานลี่เองก็มีอีกสี่คนล้อมเขาไว้อยู่ตรงกลาง
และหานลี่ในวินาทีที่หายตัวปรากฏ ผิวกายก็ปกคลุมด้วยไอสีดำ เกราะรบสีดำมิดชุดหนึ่งปรากฏบนตัวอย่างน่าประหลาด พร้อมกันนั้นเองก็เปล่งแสงสีเขียวเป็นจุดๆ กระบี่เล็กสีครามเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งออกมาจากกายอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วกลายสภาพเป็นบัวกระบี่สีครามดอกหนึ่งหมุนวนอยู่ด้านล่างตัวเขาไม่หยุด
ในเวลานี้ เขาเงยหน้ากวาดสายตามองคนทั้งสี่อย่างหนักแน่น
จำนวนสองคนในนั้นก็คือชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์ เพียงแต่ทั้งสองคนมีสมบัติวิเศษจำนวนมากคอยปกป้อง แต่คนหนึ่งใบหน้าขาวซีด อีกคนหนึ่งทั่วทั้งกายเต็มไปด้วยคราบเลือด ดูเหมือนผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย
โดยเฉพาะผู้เฒ่าผมสีทอง ไม่เพียงแต่สาบเสื้อที่อยู่บนอกนั้นจะขาดวิ่น บนไหล่เห็นได้ชัดว่าแขนหายไปหนึ่งข้าง
และสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้น ก็คือชายหนุ่มในชุดสีเลือดผู้หนึ่งและชายฉกรรจ์เปลือยครึ่งท่อนเผยผิวกายสีสำริด นุ่งหนังสัตว์ที่เอวผู้หนึ่ง
มือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ถือกระบองเขี้ยวหมาป่าที่ส่องสว่างด้วยเปลวเพลิงสีเขียวมรกตด้ามหนึ่ง มืออีกข้างถือแขนที่ขาดซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดข้างหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าแขนของผู้เฒ่าข้างนั้นถูกเขากระชากออกมา
การปรากฏตัวของหานลี่และผู้บำเพ็ญเพียรชายทั้งสามสิบหกคน ทำให้ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์สีหน้าคลายลงเล็กน้อย ชายหนุ่มในชุดสีเลือดและชายฉกรรจ์ฉงนเล็กน้อย สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่ตัวหานลี่
เมื่อทั้งสองเห็นใบหน้าของหานลี่อย่างชัดเจนแล้ว แววตาของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความชิงชังขึ้นมาในบัดดล แต่ชายฉกรรจ์กลับหรี่ตาทั้งคู่ลง ในดวงตาฉายแววโหดเหี้ยมเป็นอันตราย
“เทพแปลงช่วงปลาย! ไม่สิ ระดับการบำเพ็ญเพียรเหนือกว่าช่วงปลายทั่วไปมาก สหายเซวี่ยกวง คนผู้นี้ก็คือเป้าหมายที่เจ้าอยากให้ข้ารับมือหรือ แต่ดูจะไม่เหมือนกับระดับการบำเพ็ญที่เจ้าพูดถึงนะ” ชายฉกรรจ์สีหน้าบึ้งตึง หันหน้าไปถามชายหนุ่ม
“เป็นเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์แซ่หานคนนั้นจริงๆ แต่ระดับการบำเพ็ญของเขาในตอนแรกน่าจะเพียงแค่ช่วงกลางเท่านั้น อ้อ…ถ้าเข้าใจแล้ว ที่แท้สภาพอากาศบนท้องฟ้าหลายวันก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าเด็กนี่ ท่านพี่ซยงวางใจเถอะ เขาแค่เพิ่งจะเลื่อนระดับได้ไม่นาน ระดับการบำเพ็ญยังไม่คงที่ เจ้ารับมืออาจจะง่ายดายเสียด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดใช้จิตสัมผัสสำรวจหานลี่แล้ว ในตอนแรกรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดโพล่งออกมา
“ที่เข้าสู่ช่วงปลายคือคนผู้นี้หรือ เจ้าบอกผิดหรือเปล่า ถ้าหากอีกฝ่ายมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับประสานกายช่วงปลายโผล่มาอีกคน เจ้าคงลำบากหนักแน่” ชายฉกรรจ์แซ่ซยงแววตาเป็นประกาย มองไปยังหานลี่แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเหี้ยมโหด
“หากยังมีผู้บำเพ็ญเพียรช่วงปลายอีก ก็คงไม่จำเป็นให้พี่ซยงต้องลำบากหรอก ข้าจะรับมือเอง เจ้าเพียงแต่จัดการเจ้าเด็กแซ่หานให้ข้าก็พอ เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” ชายหนุ่มชุดสีเลือดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หึๆ ในเมื่อสหายเซวี่ยกวงพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ผู้นี้มอบให้ข้าจัดการแล้วกัน แต่ว่าอย่าหาว่าไม่เตือนเจ้า ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีคนมาเสริม เพียงการตามติดที่อยู่ตรงนี้ก็เกรงว่าคงพอจะให้สหายเซวี่ยกวงได้วุ่นวายพักใหญ่ทีเดียว” ดวงตาของชายฉกรรจ์ตวัดมองแล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
เขตอาคมที่ชายฉกรรจ์พูด ย่อมหมายถึงผู้บำเพ็ญเพียรสามสิบหกคนที่เพิ่งปรากฏตัว จากนั้นก็สั่งใช้ป้ายหยกสามเลี่ยมในมือ แปรสภาพเป็นม่านแสงสีน้ำเงินหลายชั้น
ม่านแสงนี้ไม่เพียงแต่ปกปิดร่างผู้บำเพ็ญเพียรชายเหล่านี้จนหายลับไปในทันทีเท่านั้น หนำซ้ำพื้นที่ใกล้เคียงหลายลี้ก็ถูกปกคลุมไว้ภายใน ม่านแสงมีอักษรสีเงินลอยวนอยู่เลือนราง ราวกับมีสิ่งอัศจรรย์อีกอย่างอยู่ภายใน
“แค่เขตอาคมชั่วคราวที่พวกผู้บำเพ็ญเพียรระดับแปลงเทพสร้างขึ้น จะสำคัญอะไรกับข้า” ร่างแยกเซวี่ยกวงกวาดสายตามองม่านแสงปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“เขตอาคมนี้และเจ้าเด็กคนนั้นดูท่าจะเป็นหัวหอกที่อีกฝ่ายใช้มาเพื่อกำจัดเจ้า มันจะง่ายดายอย่างที่เห็นได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า พูดขึ้นด้วยสีหน้าน่ากลัว
“โอ้ ข้าลืมไปเสียได้ พี่ซยงมีความรู้เรื่องศาสตร์เขตอาคมอยู่ไม่น้อย หรือจะเห็นอะไรเข้าอย่างนั้นหรือ” ร่างแยกเซวี่ยกวงชะงัก แล้วถามขึ้นยังแปลกใจ
“เวลาเพียงแค่นี้ ข้าจะมองอะไรออกอย่างนั้นหรือ เพียงแต่ดูออกว่าเขตอาคมอันนี้คงจะเกี่ยวข้องกับเขตจำกัดเทศะ”ชายฉกรรจ์หัวเราะร่าเสียงดัง
“เขตจำกัดเทศะ นับว่ารับมือลำบากอยู่บ้างจริงๆ ขอบคุณพี่ซยงที่เตือน คราวหลังจะต้องขอบคุณท่านให้หนักทีเดียว”สีหน้าของร่างแยกเซวี่ยกวงดูชั่วร้ายขึ้นเล็กน้อย ปากก็เอ่ยกล่าวคำขอบคุณ
ในขณะที่มารทั้งสองกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน หานลี่ก็มุ่นคิ้วถามชายชราผมสีเงิน
“พี่กู่ มีมันเกิดอะไรกันขึ้น พวกเจ้าทั้งสองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังสภาพแย่เพียงนี้ ทำไมที่ถูกกักขังไว้ในเขตอาคม จึงมีพญามารช่วงปลายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน”
ในวินาทีที่หานลี่เห็นชายฉกรรจ์เผ่ามารอีกครั้ง ก็รู้สึกได้ว่าบนผิวขนลุกไปทั่วสรรพางค์กาย ความตื่นระวังในใจเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด แต่ใบหน้าไม่ได้เผยความรู้สึกใดออกมา
“พี่หาน เรื่องคงวุ่นวายแล้ว พญามารระดับช่วงปลายนี้ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ในข่าวที่แจ้งมาก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข้อมูลแม้แต่น้อย ข้าและสหายจินเห็นเขาอยู่กับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ตอนแรกคิดว่าวางแผนที่จะแยกคนทั้งสองออกจากการ แล้วค่อยเรียกสหายมา แต่นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอิทธิฤทธิ์ของพญามารตอนนี้แก่กล้าเสียเหลือเกิน เพียงปรากฏตัวก็ทำให้ภิกษุจินเย่ว์บาดเจ็บสาหัส หนำซ้ำยังกระชากแขนข้าขาดไปหนึ่งข้าง ข้านับว่าเป็นคนรอบรู้แล้ว แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าในระดับเทพแปลงจะมีอสุรกายที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ บอกตามตรง…” ชายชราผมสีเงินหัวเราะแห้งๆ ความหวาดกลัวปรากฏไปทั่วทั้งหน้า
“บอกตามตรงว่าเป็นระดับมหายานไปครึ่งหนึ่งแล้ว! พี่หาน เจ้าต้องระวังให้มาก คนผู้นี้เกรงว่ารับมือยากเสียยิ่งกว่าร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารตนนั้นอีก แต่ทางพวกข้าตอนนี้ได้ใช้ไพ่ตายสุดท้ายจนหมดแล้ว แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสที่กักตัวฝึกบำเพ็ญระดับเทพแปลงอย่างยากลำบากในเมืองมาโดยตลอดและพวกทูตที่สำนักเกาะศักดิ์สิทธิ์ส่งมาก็ออกมาหมดแล้ว มารสองตนนี้มีเพียงพวกเราสามคนนั้นที่จะรับมือ หากพวกเราเป็นฝ่ายแพ้ก่อน ปล่อยให้มาทั้งสองออกโรง สงครามครั้งนี้คงแพ้อย่างแน่นอน” ภิกษุจินเย่ว์ไม่รอให้ผู้เฒ่าพูดจบ ก็รีบพูดต่อด้วยความกังวล
“ผู้อาวุโสที่ฝึกบำเพ็ญและทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์หรือ” หานลี่เหลือบสายตาไป ก็พบว่าในการต่อสู้ที่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมในที่ไกลออกไปมีกลิ่นอายระดับเทพแปลงที่มีลมปราณอันไม่คุ้นเคยอยู่ห้าหกคน และกำลังสู้รบกวนพันกับอสูรกายตัวดำที่แปลงร่างเป็นสามหัวหกแขน
“มารดึกดำบรรพ์!” หานลี่เมื่อเห็นอสุรกายเหล่านั้นชัดเจน ก็ส่งเสียงร้องหน้าถอดสี
“อสูรเหล่านั้นคือเผ่าพันธุ์มารที่มีสายเลือดมารบริสุทธิ์ที่สุด และเป็นเผ่าพันธุ์มารดึกดำบรรพ์แต่ดั้งเดิมที่แท้จริงในแดนมาร ในระดับเดียวกัน พลังของมาดึกดำบรรพ์ระดับเทพแปลงเหล่านี้เหนือกว่าพญามารอื่น หากไม่ใช่เพราะอสุรกายน่ากลัวพวกนี้ปรากฏเพิ่มขึ้นมา พวกข้าทั้งสองคงไม่ถูกบีบคั้นให้เรียกสหายหานออกมาก่อนเวลา” ชายชราผมสีเงินพูดเตือนความจำด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ความหมายของพวกเจ้าคือ ให้ข้ารับมือพญามารระดับช่วงปลายสินะ แต่ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์…” หานลี่ปรับสีหน้ากลับคืนปกติ แล้วถามขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างทุ้ม
“พวกข้าทั้งสองคิดว่ายังพอมีวิธีที่จะใช้ได้อยู่บ้าง อีกครั้งตอนนี้ยังมีพลังของเขตอาคมเทศะอันนี้ที่จะพออาศัยกำลังได้บ้าง ต่อให้ไม่อาจต้านทานร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงแต่ถ้ารั้งมันเอาไว้ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าคงทำได้ พี่หานใส่ใจรับมือกับพญามารระดับช่วงปลายตนนี้เถอะ” ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์มองตากัน จากนั้นก็ขบฟันพูด
หานลี่ได้ยินเช่นนี้ แววตาก็เป็นประกาย กวาดตามองไปยังชายฉกรรจ์ผู้นั้นปราดหนึ่ง
ชายฉกรรจ์เผ่ามารผู้นั้นก็หันหน้ามองมาเช่นเดียวกัน ตาทั้งสี่ดวงประสานกันอยู่ช่วงขณะหนึ่ง
ชายฉกรรจ์เผ่ามารผู้นั้นไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว แต่ความคลุ้มคลั่งและตื่นเต้นบนใบหน้ากับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รูม่านตาฉายแววสีเงินวูบวาบรำไรไม่หยุด
ทันใดนั้นเองร่างของชายฉกรรจ์ก็ขยับแล้วมาปรากฏอยู่กลางม่านแสงโดยไม่มีร่องรอย จากนั้นก็โยนแขนของชายชราที่ถือไว้ในมือขึ้นไปบนฟ้าโดยไม่พูดอะไร แล้วใช้กระบองเขี้ยวหมาป่าที่อยู่ในมืออีกข้างโจมตีไปในความว่างเปล่า
เสียงดัง“ครืน” แขนข้างที่ขาดนั้นในพริบตาเดียวก็กลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อกระจัดกระจายลงมา ชโลมไปทั่วร่างกายครึ่งท่อนของชายฉกรรจ์ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วม่านแสง