“พวกนี้ล้วนเป็นอิทธิฤทธิ์เล็กๆ ที่ไม่เพียงพอให้พูดถึง กลับทำให้สหายหลิวเห็นเรื่องขบขันแล้ว” หานลี่ได้ยินกลับแค่นหัวเราะน้อยๆ จากนั้นก็ร่อนลงบนเกาะอย่างเชื่องช้า
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วดำขลับ แต่เดิมหมายจะถามอันใดก็ไม่สะดวกที่จะพูดอีก จึงทำได้เพียงกลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าร่อนลงมา
ยามนี้สือคุนรออยู่ตรงใจกลางเกาะตั้งนานแล้ว
เขาเห็นหานลี่สำแดงอิทธิฤทธิ์การทลายกำแพงน้ำแข็งเมื่อครู่กับตาตัวเอง แต่กลับมีสีหน้าเรียบเฉยแตกต่างกับท่าทางบ้าคลั่งในยามที่ประมือกันก่อนหน้า
หานลี่เห็นท่าทางอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจหายวาบ
“พวกเรามีเวลาไม่มาก เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาประสานการโจมตีกันเถอะ” สือคุนรอจนหานลี่และพวกทั้งสองร่อนลงมาอยู่ใกล้ๆ ก็เบะปากขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าเคล็ดวิชาลับการประสานการโจมตีนั้นมีทั้งส่วนเสริมและส่วนหลัก ต้องดูอานุภาพของลำแสงเทวะดูดปราณของแต่ละคน ทางที่ดีที่สุดต้องให้ผู้ที่มีอานุภาพสูงสุดควบคุมเคล็ดวิชาลับ เช่นนั้นถึงจะสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์นี้จนถึงขั้นสุดยอดได้ พวกเราสามคนลองสำแดงลำแสงเทวะดูดปราณของตนเองออกมากันเถอะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าผู้ใดจะเป็นหลักผู้ใดจะเป็นรอง” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าแต่ปากพลันเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ไม่มีปัญหาข้าเองก็คิดเช่นนั้น ว่ากันว่าท่านเซียนหลิวมีร่างดูดปราณโดยกำเนิด แต่ไม่ทราบว่าเทียบกับข้าที่ฝึกฝนร่างดูดปราณมาทีหลังผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่า” สือคุนแววตาเปล่งประกาย ใบหน้าเผยแววตื่นเต้นดีใจ
“คงพอกันกระมัง แม้ว่าร่างดูดปราณจะควบคุมได้ดั่งใจแต่การฝึกฝนนั้นกลับยากเย็นแสนเข็ญ มิสู้ผู้ที่ฝึกฝนทีหลังอย่างสหาย ที่สามารถอาศัยพลังภายนอกมาเสริมให้แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ
“แต่ร่างดูดปราณมีโอกาสที่จะพัฒนาระดับขึ้นได้จะเทียบกับผู้ที่ฝึกฝนมาภายหลังได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อฝึกฝนร่างนี้ ผู้แซ่สือเคยเสียเปรียบไปไม่น้อย สหายหาน ได้ยินว่าเจ้าไม่เหมือนกับข้าน้อย เป็นการอาศัยสมบัติเทวะดูดปราณชิ้นหนึ่งถึงจะสำแดงลำแสงเทวะนี้ได้เป็นความจริงหรือไม่?” สือคุนหัวเราะหึๆ แล้วหันหน้ามาเอ่ยถามหานลี่
“ใช่แล้ว ลำแสงเทวะดูดปราณของผู้แซ่หานไม่อาจจะเทียบกับทั้งสองท่านได้ จึงไม่ขอเข้าร่วมการทดสอบนี้” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมาแล้วเอ่ยอย่างคร่าวๆ
“พี่หานกล่าวเช่นนี้ข้าน้อยก็จะไม่ฝืนใจ ท่านเซียนหลิว เจ้ากับข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเถอะ” สือคุนได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ก็จ้องเขม็งมองชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่เผยท่าทีบังคับจิตใจออกมา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินก็เคลื่อนไหวกายโดยไม่ปริปาก บินพุ่งขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปยี่สิบจั้งเศษ
หญิงสาวผู้นี้มีความคิดอันใดก็สุดจะรู้ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะสนใจร่างดูดปราณที่ฝึกฝนมาภายหลังของสือคุนเป็นอย่างมาก
สือคุนร้องคำรามต่ำๆ ผิวมีลำแสงสีเหลืองสว่างวาบ “สวบ” ดังขึ้น บินขึ้นไปเผชิญหน้ากับหญิงสาวสวมงอบ
ร่างของหานลี่เลือนรางไปเล็กน้อยพลางเอาร่างพุ่งห่างออกไปร้อยจั้งเศษแล้วถึงได้ยืนมองด้วยสีหน้าราบเรียบอยู่ไกลๆ
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจการแย่งชิงอำนาจหลักในการควบคุมเคล็ดวิชาลับประสานการโจมตี แต่ก็อยากรู้ว่าลำแสงเทวะดูดปราณของทั้งสองคนเป็นอย่างไร
ยามนี้สือคุนที่อยู่กลางอากาศพลันร้องตะโกนออกมา ผิวพลันเปลี่ยนเป็นสีดำกลายเป็น ‘มนุษย์หิน’ สีดำสนิท จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคมชั่วพริบตาลำแสงสีเหลืองบนผิวกายก็เปลี่ยนเป็นม่านลำแสงสีเทาขมุกขมัว
นั่นก็คือสัญลักษณ์ที่ลำแสงเทวะดูดปราณที่จะแผ่ออกมาจากร่าง
“ท่านเซียนหลิวรับให้ดีเถิด” เสียงของสือคุนดังขึ้น ไม่เห็นเขาร่ายอาคมใดๆ ก็ยกมือขึ้นกางนิ้วทั้งห้าตะปบไปกลางอากาศ
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!
เสาลำแสงสีเทาต้นหนึ่งพ่นออกมาจากฝ่ามือของเขา แต่เมื่อพ่นออกมาก็สลายตัวออกกลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน
เสียง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้นสนั่นท้องฟ้า
หานลี่เห็นเหตุการณ์นี้ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองเห็นฉากนี้กลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไม่รีบร้อน เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นเปล่งแสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปพร้อมกับม่านลำแสงสีเทาเช่นกัน กลายเป็นกรงล้อลำแสงขนาดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางสามสี่จั้งและหมุนวนอย่างช้าๆ ไม่หยุด
ใจกลางของกรงล้อลำแสงแค่กะพริบวาบก็มีลำแสงสีเทาม้วนวนออกไป ตรงไปหาเส้นไหมลำแสงฝั่งตรงข้าม
ชั่วพริบตาที่ทั้งสองปะทะกันก็ระเบิดออก
พลังดั้งเดิมของทั้งสองล้วนอยู่ในระดับเดียวกัน ความมหัศจรรย์ของลำแสงเทวะดูดปราณย่อมไม่อาจกระตุ้นได้ จึงทำได้เพียงอาศัยพลังที่บริสุทธิ์ตัดสินความสูงต่ำเท่านั้น
แต่ในสายตาของหานลี่หลังจากที่การระเบิดจบลงไม่ว่าเส้นไหมลำแสงหรือว่าม่านลำแสงสีเทากลับหายวับไปพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในท่าทีเสมอกัน
“เยี่ยม เยี่ยมมาก จากนี้ข้าจะลองทดสอบอีกกระบวนท่า!” สือคุนหัวเราะออกมายกใหญ่สองมือผนึกรวมกันที่บริเวณทรวงอกแล้วโจมตีออกไป
ชั่วขณะนั้นร่างสีดำสนิทพลันสั่นเทา ลำแสงสีเทาบนผิวกายเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา ร่างทั้งร่างราวกับกลายเป็นดวงอาทิตย์สีเทาดวงหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบอยู่บนท้องฟ้าทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ
เมื่อหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นเหตุการณ์นี้ใบหน้าใต้งอบก็แข็งค้าง เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก สองมือร่ายอาคมนิรนามอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดไม่จา ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา
ผลคือลำแสงสีเทาที่แผ่นหลังของนางพลันเลือนรางลง คาดไม่ถึงว่าจะหมุนวนอย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากวงล้อลำแสง แล้วแตกตัวออกแล้วผนึกรวมตัวกันใหม่อย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาอักขระยันต์ยักษ์นิรนามตัวหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงใจกลางวงล้อลำแสง
“ไป”
สือคุนคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ แขนสองข้างเคลื่อนไหวพร้อมกัน กลายเป็นเงาลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีไปเบื้องหน้าราวกับว่าจะโจมตีเป็นกำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปในพริบตา
เงากำปั้นทุกกำปั้นสั่นไหวกลายเป็นดวงแสงสีเทาขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งพุ่งออกไป
ชั่วพริบตานั้นดวงแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนพลันแผ่ลำแสงเจิดจ้าออกมา ทะลักไปทางหญิงสวมงอบอย่างทะมึนทึบ เสียงหวีดร้องดังขึ้นท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับแค่แค่นเสียงด้วยความเย็นชา นิ้วเรียวราวกับต้นหอมชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามเบาๆ เท่านั้น
วงล้อลำแสงสีเทาด้านหลังก็เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมาสั่นเทาแล้วหยุดเคลื่อนไหว อักขระยันต์ยักษ์พุ่งออกมาจากวงล้อลำแสง
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
เมื่ออักขระยันต์พุ่งออกมาลำแสงสีเทาก็แผ่ขยายออกมา แค่กะพริบวาบๆ ก็มีขนาดยี่สิบสามสิบจั้งแทบจะปกคลุมกว่าครึ่งท้องฟ้าแล้วกระโจนไปหาดวงแสงสีเทาฝั่งตรงข้าม
อย่างเงียบเชียบ
ดวงแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีไปบนอักขระยันต์ คาดไม่ถึงว่าจะแค่กะพริบวาบแล้วค่อยทยอยกันจมหายไป ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
ครานี้ลำแสงสีเทาบนทั้งสองมือพลันกะพริบวาบ สือคุนที่เดิมทีคิดจะโจมตีระลอกสองพลันตกตะลึงและหยุดชะงัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่น
“ไม่สู้แล้ว คู่ควรกับที่เป็นร่างดูดปราณโดยกำเนิดจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ฝึกฝนภายหลังอย่างข้าจะเทียบเทียมได้ แค่มือเดียวเจ้าก็อยู่ในสภาวะไร้เทียมทานแล้ว”
สือคุนกับอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่อาจเอาชนะได้ ก็ไม่คิดจะพัวพันให้ไร้ประโยชน์ต่อไปอีกจึงเอ่ยปากยอมแพ้ ร่างกายพลิ้วไหวกลับมาอยู่บนพื้นดิน
“สหายสือเองก็ไม่ต้องเสียใจหากไม่ใช่เพราะการโจมตีเมื่อครู่ของสหายน่าตกตะลึงเกินไป ข้าเองก็คงไม่สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่เพิ่งเรียนรู้มาใหม่นี้ ความจริงแล้วจากพลานุภาพของลำแสงเทวะดูดปราณ การโจมตีของสหายเมื่อครู่ก็ไม่ต่างอะไรจากข้านัก” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับตอบกลับพร้อมหัวเราะแผ่วเบา จากนั้นก็ชี้ไปที่อักขระยันต์ยักษ์อีกครั้ง
อักขระยันต์เรือนร่างสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปริแตกออก สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณม้วนวนกลับไป กลายเป็นม่านลำแสงสีเทาแล้วจมหายเข้าไปในวงล้อลำแสงสีเทาอีกครั้ง
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็โบกสะบัดแขน วงล้อลำแสงที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป นางก็ร่อนลงมาด้านล่างเช่นกัน
“หึๆ สหายหลิวไม่จำเป็นต้องปิดทองบนหน้าของผู้แซ่สือ ข้าน้อยย่อมรู้ดี เมื่อครู่ผู้แซ่สือทุ่มสุดกำลังแล้วแต่ลำแสงเทวะดูดปราณของสหายหลิวเกรงว่าคงจะใช้แค่หกเจ็ดส่วนแค่นั้น สหายหานนั้นไม่ต้องพูดถึง ความสามารถของผู้แซ่สือเทียบกับท่านเซียนไม่ได้” ผู้แซ่สือกลับเอ่ยอย่างจริงใจออกมาอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“พี่สือยอมรับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเซียนหลิว ลำแสงเทวะดูดปราณของผู้แซ่หานเป็นแค่การอาศัยพลังของของนอกกาย อานุภาพย่อมไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง” หานลี่ได้ยินคำพูดของสือคุนกลับเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนไม่อาจเชื่อคำพูดของหานลี่ได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอาศัยอิทธิฤทธิ์ของสมบัติเทวะดูดปราณก็เป็นแค่ของจิ๊บจ๊อยชิ้นหนึ่ง คิดดูแล้วคงไม่อาจจะเทียบกับพวกเขาทั้งสองได้
ทันใดนั้นทั้งสองก็เอ่ยอย่างเกรงใจกันอีกสองสามประโยค ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือทดสอบหานลี่
พวกเขากลับไม่รู้ว่าสมบัติของหานลี่คือภูเขาเทวะดูดปราณทั้งลูก มิเช่นนั้นคงไม่อาจคิดเช่นนี้ได้
การประมือครั้งนี้ย่อมเป็นการยืนยันว่าเคล็ดวิชาลับประสานการโจมตีนี้จะให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์เป็นหลัก หานลี่และสือคุนเป็นรอง
ทั้งสามคนวางเขตอาคมลวงตาขนาดใหญ่ลงบริเวณรอบทันที สร้างภาพลวงตาให้บนเกาะเป็นดังยามปกติแล้วเริ่มฝึกฝนการประสานการโจมตีด้วยกัน
เวลาสิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานี้ไม่มีผู้ใดหรืออสูรทะเลใดมาเข้าใกล้เกาะแห่งนี้ แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
ผลคือผ่านไปอีกสามสี่วันเขตอาคมลวงตาในเกาะพลันสลายตัวออก จากนั้นเงาร่างทั้งสามก็บินออกจากเกาะ แค่กะพริบวาบก็หยุดอยู่กลางอากาศ
ทั้งสามคนนี้ย่อมเป็นหานลี่และพวก
ดวงตาสดใสของหญิงสวมงอบแฝงไปด้วยความดีใจ หานลี่มีสีหน้าราบเรียบส่วนสือคุนกลับมีสีหน้าไม่แยแส
ดูแล้วการฝึกฝนบนเกาะของพวกเขาคงราบรื่นมาก
“คิดไม่ถึงว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาผสานการโจมตีด้วยลำแสงเทวะดูดปราณนี้จะราบรื่นถึงเพียงนี้ เราสามคนใช้เวลาเพียงสิบวันก็ควบคุมได้ดั่งใจแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยปากด้วยความซาบซึ้งใจ
“หึๆ นี่เป็นเพราะความรู้ในด้านลำแสงเทวะดูดปราณของสหายหลิวเหนือกว่าพวกเราสองคน การฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จึงทำให้ข้าและสหายหานได้ประโยชน์ไม่น้อย” สือคุนกลับเอ่ยพร้อมหัวเราะหึๆ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่าลำแสงเทวะดูดปราณจะสามารถทำเช่นนี้ได้ ต้องขอบคุณท่านเซียนหลิวที่ชี้แนะอย่างไม่เสียดายแล้ว” หานลี่เองก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“สหายทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว น้องหญิงเองก็อาศัยที่มีร่างดูดปราณถึงได้เรียนรู้เรื่องนี้ได้ คิดดูแล้วหากเปลี่ยนเป็นสหายทั้งสอง สิ่งที่เรียนรู้ได้ก็คงเหนือกว่าข้า” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะน้อยๆ ขณะตอบกลับ
“พวกเราสามคนไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว ตอนนี้รีบไปตามหาเขตแดนต้องห้ามในซากปรักหักพังกันเถิด ในผืนน้ำแห่งนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่ จำต้องหาแผ่นดินก่อนถึงจะตัดสินใจในขั้นต่อไปได้” สือคุนเบะปากขณะเอ่ย
ได้ฟังสือคุนเอ่ยเช่นนี้หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์ย่อมไม่มีข้อคิดเห็น
ทันใดนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินแหวกอากาศบินไปยังทางที่ตกลงกันไว้