แต่ทว่าเคล็ดวิชาลับตระกูลเซียนระดับนี้เมื่อเริ่มฝึกขึ้นมา เวลาที่ใช้ย่อมยาวนานอย่างแน่แท้ ไม่สามารถเห็นผลได้ภายในเวลาอันสั้น ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มฝึกทันที
หานลี่ใช้ดวงจิตซึมแทรกเข้าไปในตำราหยกทั้งสอง เมื่อได้อ่านเนื้อหาที่บันทึกอยู่ด้านในอย่างละเอียดอีกรอบก็บรรลุเข้าใจถึงแก่น และไม่รู้สึกว่ามีข้อสงสัยอันใด ก็เอาป้ายหยกทั้งสองเก็บ แล้วค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง
เขาเตรียมที่จะใช้พลังปราณในตัวเพื่อปรับให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แล้วค่อยฝึก “ยันต์ง้าวสวรรค์” อันนั้น
เชื่อว่าหากเขามียันต์อันนี้ในมือ อีกไม่นานต่อให้สงครามจะมีเหตุเหนือความคาดหมายอันใด ก็เพียงพอที่จะปกปักรักษาตัวเองได้
แน่นอนว่าการที่หานลี่ตอบรับทันทีที่จะรับมือกับร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงนั้น ไม่ได้มีเหตุผลเพียงเท่านี้
ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ของเขา ก็เพียงพอแล้วที่จะฝืนบังคับฝูงแมลงกลืนทองที่วิวัฒนาการยังไม่ถึงขั้นเหล่านั้นเพื่อรับศึกอย่างเป็นทางการ
เชื่อว่าแมลงกลืนทองนับพันเมื่อปล่อยออกไปพร้อมกัน หากไม่ได้มีการเตรียมป้องกันล่วงหน้า ต่อให้เป็นร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารเองก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นกัน
และเขารีบเตรียมที่จะฝึกอิทธิฤทธิ์ที่บันทึกไว้บนเคล็ดวิชามารพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้เหล่านั้น แต่ละอย่างล้วนแต่แตกต่างกันยิ่งนัก คงเพียงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้ต้องประหลาดใจ
มิหนำซ้ำ เขายังมีอสูรมิคาทนรวมไปถึงแมลงกลืนทองที่ยังวิวัฒนาการไม่เต็มขั้นเหล่านั้นคอยช่วย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากต้องพบกับร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร ถึงแม้จะต่อหน้าร่างแท้ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ก็น่าจะมีกำลังเหลือที่จะปกป้องตัวเอง
เมื่อใคร่ครวญในใจเช่นนี้ ดวงจิตของหานลี่ก็คลายลง ค่อยๆ ลืมทุกสิ่งทิ้งไว้ในเบื้องลึกของความคิด แล้วเริ่มตั้งจิตภาวนา
ในเวลาหลังจากนั้น ในห้องลับเริ่มต้นด้วยความเงียบวังเวงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงหึ่งทุ้มต่ำแว่วขึ้นมาในทันใด และมีเสียงดังสนั่นจนทั่วทั้งห้องสั่นไหวไปมาแว่วออกมาอยู่เป็นระยะ
ผ่านไปครึ่งเดือน ทันใดนั้นเสียงหวีดเสียดหูก็ปะทุดังออกมาจากห้องลับ ลำแสงสีทองลูกหนึ่งสาดส่องออกมา ส่องพุ่งออกมาจากยอดของห้องลับ ปรากฏอยู่ที่หอคอยโตวหยวนซึ่งหานลี่พำนักอยู่พอดี
ลำแสงวิญญาณรำไรสีทองนี้ สูงนับพันจั้ง ใหญ่ราวกับโอ่งน้ำ ปลายสุดปรากฏเป็นเงาขนาดยักษ์ของง้าวยาวเล่มหนึ่งลอยอยู่ที่นั่น กำลังส่งเสียงหวีดร้องอย่างน่าตกตะลึง
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น ใกล้ๆ กับเงาจำแลงรูปง้าวยาว มีลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนส่องกะพริบไม่หยุด นั่นก็คืออักษรยันต์สีเงินจำนวนนับพันที่บินวนไปมาไม่หยุด
เมื่อมองจากไกลๆ ดูน่าพิศวงอย่างที่สุด
วินาทีต่อมา เงาจำแลงง้าวยาวก็ส่งเสียงหวีดแหลม ฉับพลันกลายเป็นสีทองจ้าตาออกมา พร้อมกันนั้นคลื่นแห่งความน่าสะพรึงกลัวที่ยากจะหาคำบรรยายรูปหนึ่งก็ปะทุออกมา ม้วนพัดกระจายไปทั่วถึง
ทุกที่ซึ่งกระแสคลื่นไหลผ่าน รอบด้านจะปรากฏแสงวิญญาณขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า ปรากฏออกเป็นแสงสีทองเป็นจุดเล็กจุดน้อย
พวกมันมีขนาดเพียงเข้าเมล็ดข้าว แต่จำนวนนั้นเหลือคณานับ และโหมซัดกระหน่ำเข้าไปราวกับลูกคลื่น
จุดแสงเหล่านี้แผ่ไอวิญญาณทองคำที่บริสุทธิ์อย่างที่สุด ปกคลุมไปทั่วรัศมีนับหมื่นลี้ เห็นได้ชัดว่ามันดูดกลืนเอาไอวิญญาณทองคำไปจนหมดทั่วทั้งพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้
ไม่เพียงเท่านี้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ซึ่งกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเหล่านั้นรวมไปถึงนักรบเกราะที่บินลาดตระเวนต่ำอยู่กลางอากาศ ขอเพียงแต่เป็นชุดเกราะรบโลหะและอาวุธสมบัติวิเศษอื่นๆ ที่พกไว้อยู่ภายนอก ล้วนแต่เห็นได้ว่าสมบัติวิเศษส่งเสียงหวีดอย่างน่าประหลาดออกมา จากนั้นแสงวิญญาณสีทองจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง และกลายเป็นจุดแสงสีทองเล็กๆ พุ่งออกไปทิศทางเดียวกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้เมื่อเห็นเช่นนั้น ย่อมรู้สึกตื่นตกใจอย่างมาก ต่างใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อจะควบคุมความผิดปกติของสมบัติวิเศษตนเอง แต่ไม่ว่าจะใช้เคล็ดวิชาลับใดๆ สื่อสารกับสมบัติพิเศษ หรือจะใช้ยันต์เพื่อสะกดสมบัติพิเศษนั้นโดยตรง แต่การไหลออกของไอวิญญาณทองคำก็ไม่สามารถเรียกกลับมาได้ไหมสักน้อย ไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้เลยแม้เพียงสักนิด
เวลาเพียงชั่วครู่ ไอวิญญาณทองคำในสมบัติวิเศษก็ไหลออกไปมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงแสงระหว่างอยู่เลือนราง
เห็นได้ชัดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป สมบัติวิเศษเหล่านี้ก็จะสลายไปด้วยตัวของมันเอง
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาทันที ได้เพียงแต่มองสิ่งที่เกิดขึ้น โดยจนปัญญาที่จะรับมือใดๆ
ในขณะที่เห็นสถานการณ์เกิดขึ้นจนไม่อาจแก้ไขกลับได้ เงาจำแลงง้าวของลำเสาแสงทันใดนั้นก็สั่นไหว แต่คลื่นอันน่าประหลาดออกไปท่านใดอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
ลำเสาแสงขนาดยักษ์กะพริบ แล้วห่อหุ้มเงาจำแลงนั้นกลายเป็นแสงสีทองพุ่งลงไปด้านล่าง ในที่สุดก็กระจายหายไปไร้ร่องรอย
พร้อมกันนั้นเอง แสงวิญญาณโลหะในสมบัติวิเศษของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็หยุดไหลออก กลับคืนสู่สภาพเดิม
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายแล้ว หากไม่ใช่สมบัติของตนไม่มีพลังพิเศษ ตอนนี้กำลังมีสภาพพลังปราณอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อคู่นั้นราวกับว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน
คนจำนวนไม่น้อยมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก
แน่นอนว่าเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ซึ่งเกิดขึ้นในที่พำนักของหานลี่ ยอมที่จะปกปิดให้พ้นหูตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง ย่อมเข้าใจว่าเป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนี้ได้ทำพิธีหล่อสมบัติวิเศษประหลาดบางอย่าง จำเป็นต้องใส่ไอวิญญาณทองคำจำนวนมาก จึงได้ทำเรื่องเช่นก่อนนี้
ในใจพวกเขากำลังรู้สึกตกตะลึง ย่อมไม่กล้าที่จะไปหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงช่วงปลายเพื่อสอบถามเรื่องราว การที่สมบัติวิเศษในมือได้รับความเสียหายได้แต่ถือว่าเป็นความโชคร้ายของตัวเอง
ภิกษุจินเย่ว์และผู้อาวุโสคนอื่นจากพรรคผู้อาวุโส ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปดูเหตุการณ์ประหลาดนี้ด้วยตัวเอง แต่ไม่นานก็พากันรับรู้เหตุการณ์ที่รายงานเข้ามา
พวกเขาถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนะ ถึงขั้นไม่ได้ส่งใครเพื่อไปสอบถามหานลี่สักอย่าง
ในเวลานี้เอง การเคลื่อนกองทัพใหญ่เผ่ามารที่อยู่นอกเมืองยิ่งใหญ่โตมากยิ่งขึ้น กลิ่นอายของสงครามครั้งใหญ่ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองเทียนหยวนคนใดต่างก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความแปลกประหลาดนี้
ในสภาพเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงย่อมไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องราวเล็กน้อยเพียงนี้
……
สองเดือนให้หลังในห้องลับ หานลี่นั่งขัดสมาธิทั่วทั้งตัวเรืองแสงสีทองส่องกะพริบ ตาทั้งคู่หลับสนิท แต่มือทั้งสองประสานไว้ด้วยกันอยู่หน้าทรวงอก มียันต์สีทองเงินอันหนึ่งหนีบไว้
เหนือไปบนหัวของเขา ร่างแยกเทวรูปสามเศียรหกกรลอยปรากฏอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าที่เหมือนกับหานลี่ทั้งสาม ไม่เพียงแต่ชัดเจนอย่างมาก หนำซ้ำยังแสดงสีหน้าแตกต่างกันเป็นปีติ โมโห โศกเศร้าสามอารมณ์ มือทั้งหกยกขึ้น กลางฝ่ามือยังปรากฏเงาจำแลงอาวุธเวทย์สีทองอันหนึ่งอยู่รำไร
อาวุธเวทเหล่านี้ไม่ว่าจะค้อน คาถา หรือจะเป็นกระบอง แต่ละชิ้นล้วนแต่เป็นแสงสีทองสลัว ราวกับว่าเป็นของจริง ภายนอกปกคลุมไปทั่วด้วยอักษรยันต์ประณีตสีเงินจางๆ
สมบัติวิเศษเหล่านี้ในขณะนี้ บ้างก็ส่งเสียงราวกับอสุนีบาต บ้างก็ส่งเสียงหวีดต่ำ บางอันยังเปล่งแสงสว่างสลัววูบไหวไม่หยุด เห็นได้ชัดมากไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด แต่ยังมีอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างกันอยากมาก
ทันใดนั้นสีหน้าของหานลี่ก็เปลี่ยน กลางฝ่ามือมีแสงสีทองวาบหนึ่ง ยันต์สีทองเงินใบนั้นหายลับไปอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นดวงตาที่หลับสนิทนั้นก็ค่อยๆ ลืมขึ้น
จะในเวลาเดียวกันนั้น เทวรูปสามเศียรหกกรก็ขยับ ซึมแทรกหายเข้าไปในกายจนไร้ร่องรอย
แสงสีแดงลูกหนึ่งส่องกะพริบ ลอยพุ่งมาจากนอกห้องลับ จากนั้นก็หมุนวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงกลางฝ่ามือของหานลี่
หานลี่หรี่ตาทั้งคู่จ้องไปยังแสงสีแดงนั้น จากนั้นก็ส่งดวงจิตออกไปยังนอกห้องลับ
ดวงจิตขนาดใหญ่ชั่วพริบตาเดียวก็กวาดผ่านจากแต่ละชั้นของหอคอยโตวหยวนทั้งหอคอย ในที่สุดก็อยู่ตรงกลางห้องโถงที่อยู่บนชั้นยอดสุด
“ในเมื่อนางมาด้วยตนเอง ดูถ้าเผ่ามารคงจะเริ่มโจมตีเมืองแล้ว หามิได้แล้วคงไม่ก็กวนการกักตัวของข้าง่ายๆ” หานลี่พึมพำอยู่สองสามคำราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีน่าดูเคร่งขรึมขึ้น
ปรบมือหนึ่งที แสงสีแดงก็แตกกระจายดับวูบ
เขาคงคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้ลังเลใจอยู่แต่ในห้องลับ ลุกขึ้นทันทีจากเบาะรองนั่ง เงาร่างวูบไหว จากนั้นก็พลิ้วไหวกลายร่างเป็นแสงสีเขียวลูกหนึ่งวิ่งออกไปจากกลางห้องลับ
โถงพิธีใหญ่ชั้นยอดสุดของหอคอย หญิงในชุดคลุมยาวสีเงินนางหนึ่งกำลังรออยู่ที่นั่นด้วยความกังวล
ชี่หลิงจื่อ ไห่ต้าเซ่าและหงส์น้ำแข็งทั้งสามคนติดตามอย่างนอบน้อม
หญิงผู้นั้นก็คือเซียนหยินกวงนิสัยใจคอเข้ากันกับหานลี่ได้อย่างดี ในตอนนี้นางสีหน้าบึ้งตึง คอยมองออกไปนอกประตูห้องโถงอยู่เป็นพักๆ
“ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ ผู้น้อยได้ส่งยันต์แจ้งข่าวสารไปให้กับท่านอาจารย์แล้ว อาจารย์ท่านอีกไม่นานก็คงจะมาพบกับท่านผู้อาวุโสแน่” ชี่หลิงจื่อพูดขึ้นอย่างนอบน้อม
“อืม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี กองทัพใหญ่เผ่ามารเริ่มเข้ามาใกล้จุดยุทธศาสตร์แล้ว กำลังประชิดเมืองเทียนหยวนของพวกเรา สงครามครั้งใหญ่อาจจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ท่านพี่หานมาถึงเร็วหน่อยก็คงจะเหมาะสม อีกสักครู่ พวกเจ้าก็ตามท่านพี่หานไปก็แล้วกัน”
“เมื่อคิดไปแล้วกว่าพวกเจ้าได้ลงมือ สงครามใหญ่ก็คงไปถึงช่วงท้ายแล้ว โอกาสที่จะรักษาชีวิตก็คงจะมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอยู่บ้าง” เซียนหยินกวงเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส!” ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อพูดตอบด้วยความยินดี
หงส์น้ำแข็งได้ยินเช่นนั้น บนใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงความซาบซึ้งในบุญคุณ
และในเวลานั้นเอง ทันใดนั้นกลางห้องโถงใหญ่ก็มีแสงสีเขียวส่องสว่าง เงาร่างของคนผู้หนึ่งรอยปรากฏขึ้นมาโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน
“สหายหยิน กองทัพใหญ่เผ่ามารเริ่มจู่โจมหรือยัง คงไม่ใช่เพียงแต่ก่อกวนเท่านั้นหรอกกระมัง” หานลี่ทันทีที่ปรากฏตัว ก็ถามเซียนหยินกวงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ท่านพี่หาน ท่านออกมาแล้ว เผ่ามารจะเริ่มโจมตีเมืองในเร็วๆ นี้อย่างแน่แท้ ครั้งนี้จะไม่ใช่การรบเพื่อก่อกวนเหมือนคราวก่อนอย่างแน่นอน มีการเคลื่อนย้ายเผ่ามารและอสูรมารทั้งหมดแล้ว แม้แต่ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นั้น ก็ดูเหมือนว่าจะมาปรากฏตัวอยู่กลางกองทัพใหญ่เผ่ามาร เอ๊ะ หลังจากท่านพี่หานเลื่อนขั้นเข้าสู่ช่วงปลายแล้ว คิดไม่ถึงว่าระดับการบำเพ็ญเพียรจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ แม้แต่ตัวข้าก็ยังรับรู้ไม่ถึง” เซียนหยินกวงทันทีที่เห็นหานลี่ ความยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่เมื่อกวาดสายตามอง ก็รู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เพิ่มขึ้นเพียงแค่นี้จะนับอะไรได้ ในเมื่อเข้ามามาถึงรวดเร็วเพียงนี้ พวกข้าก็คงต้องรีบไปรวมกับพวกพี่กู่ พวกเจ้าก็ตามไปด้วยกันเถอะ” หานลี่ยิ้มบาง จากนั้นก็หันหน้าไปสั่งลูกศิษย์
พวกชี่หลิงจื่อจึงโค้งคำนับขานรับ
เซียนหยินกวงได้ยินดังนั้น ก็ได้สติกลับจากการตะลึงงันเรื่องระดับการบำเพ็ญเพียรของหานลี่ แล้วพยักหน้ารับไม่ขาด
ผู้คนทั้งหลายไปจากหอคอยโตวหยวนโดยทันที บินตรงไปยังทิศทางของกองกำลังหลักกองทัพเผ่ามาร
ไม่นาน พวกหานลี่ก็เห็นกำแพงเมืองขนาดยักษ์ราวกับเทือกเขาของเมืองเทียนหยวนอยู่ไกลๆ และยังมีตำหนักขนาดมโหฬารราวกับเกาะลอยอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปด้านในเหนือกำแพงเมือง
พวกหานลี่เปลี่ยนทิศทาง ค่อยๆ ร่อนลงไปบนยังแท่นขนาดยักษ์แห่งหนึ่งด้านหน้าตำหนัก
ที่นั่น มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับพันกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นั่นพอดี แต่ถ้าว่าใจกลางแท่นนั้นยังมีหอคอยเห็นสูงร้อยกว่าจั้ง บนยอดหอคอยเห็นเงาร่างคนรำไรสองสามคนยืนอยู่ที่นั่น
เมื่อมองให้แน่ชัด นั่นก็คือพวกชายชราผมสีเงิน ภิกษุจินเย่ว์และสมาชิกพรรคผู้อาวุโสคนอื่น!
หานลี่ย่อมไม่มีความคิดที่จะไปรวมตัวกับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปคนอื่น เขากำชับสั่งชี่หลิงจื่อและหงส์น้ำแข็ง บอกให้พวกเขารอ จากนั้นก็บินขึ้นไปบนหอสูงพร้อมกับเซียนหยินกวง
“สหายหาน ในที่สุดเจ้าก็ตามมา เจ้ารีบมาดู คนผู้นั้นน่าจะเป็นร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง รองแม่ทัพเผ่ามารที่มารโจมตีเมืองในครั้งนี้!” ผู้เฒ่าผมสีทองเมื่อเห็นหานลี่มาถึง ก็ชี้ไปยังกองทัพใหญ่เผ่ามารด้านนอกกำแพงเมืองนั้นอย่างยินดีแล้วพูดขึ้น