A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1672 อสูรทะเลแห่งเกาะเล็ก

“เหตุใดถึงต้องยุ่งยากเพียงนี้ จากการร่วมมือของพวกเราสามคน ขอแค่ไม่พบกับอสูรที่โหดเ**้ยมในแดนก็ย่อมเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แม้ว่าหลังจากนี้หนึ่งถึงจะส่งตัวกลับไปได้ แต่พวกเรายังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ใด หากจะตามหาเขตแดนต้องห้ามของซากปรักหักพัง ประกอบกับทะลวงจุดคอขวดของตัวเองย่อมมีเวลาไม่พอ เหตุใดจะต้องทำอันใดให้วุ่นวายด้วย!”

 

 

สือคุนเป็นชายร่างใหญ่หน้าตาโหดเ**้ยมผิวสีเทาขาวราวกับก้อนหิน ยามนี้กลับสั่นศีรษะ

 

 

“สหายสือ วิธีการผสานการโจมตีด้วยลำแสงเทวะดูดปราณเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการเดินทางครั้งนี้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อนด้วยความเพียรพยายาม อานุภาพเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ ข้ายืนยันว่าต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ก่อน มิเช่นนั้นหากพบกับศัตรูที่ร้ายกาจ จะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่สวมงอบเผยท่าทีไม่สบอารมณ์ออกมา น้ำเสียงเย็นชาไปเล็กน้อย

 

 

“งั้นหรือ ข้ายังนึกว่าเทียบกับเรื่องนี้แล้วรีบไปให้ถึงเขตต้องห้าม แล้วหาเวลาทะลวงจุดคอขวดของตนเองถึงจะดีกว่า ก่อนหน้าผู้แซ่สือไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาการผสานการต่อสู้อันใด ก็ประสบความสำเร็จได้มาถึงทุกวันนี้” สือคุยหัวเราะประหลาดๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยอมถอยให้

 

 

“สหายหานเจ้ามีความเห็นอย่างไร?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่สวมงอบมีแววตาที่เย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ พลางหันไปเอ่ยถามหานลี่

 

 

“ความหมายของข้าคือ…ในเมื่อสหายทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่การเดินทางนี้ก็ขาดใครไปไม่ได้ ไม่ว่าสุดท้ายจะผสานกันได้ถึงระดับไหน ก็ต้องตามหาเขตแดนต้องห้ามทันที เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทั้งสามารถทำความคุ้นเคยกับเคล็ดวิชานี้ได้ในระยะเวลาสองสามเดือน คิดดูแล้วพี่สือคงรอไหว” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา

 

 

“เรื่องนี้…”

 

 

“เอาละ ว่าตามสหายก็แล้วกัน”

 

 

เมื่อได้ยินข้อเสนอของหานลี่ หญิงสวมงอบก็ลังเลเล็กน้อย ส่วนสือคุนก็แค่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจเอ่ยเห็นด้วย

 

 

“พวกเจ้าต่างคิดเช่นนั้น ข้าไม่เห็นด้วยก็คงไม่ได้ เอาตามนั้นเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ทำได้เพียงฝืนพยักหน้า

 

 

“เช่นนั้นละก็ พวกเราหาที่พักก่อนเถิด แล้วค่อยศึกษาทำความคุ้นเคยกับมัน” หานลี่เอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ

 

 

สือคุนและพวกทั้งสองย่อมไม่มีความคิดเห็นอันใด ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนพลันเพิ่มความเร็วขึ้นหลายเท่า แผ่จิตสัมผัสออกไปพร้อมกัน ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณรอบราวกับดาวตกเปล่งแสงสว่างวาบแล่นผ่านไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เดิมที่คิดว่าจะตามหาเกาะเล็กๆ อันใดสักอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทั้งสาม ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงได้พบเกาะเล็กๆ ขนาดสิบกว่าลี้บนผืนทะเลแห่งหนึ่ง

 

 

ในยามที่พระอาทิตย์กำลังตกดินนั้น กลางอากาศเหนือเกาะพลันมีหมอกสีแดงอยู่เต็มไปหมด ผืนทะเลในบริเวณรอบกลับเป็นสีดำทะมึน และมีลำแสงสีดำแผ่อยู่จางๆ ราวกับว่าถูกย้อมเอาไว้ด้วยน้ำมันสีดำอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เมื่อเห็นเกาะแห่งนี้ หานลี่และพวกทั้งสามก็ลดความเร็วลง ทยอยกันปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปสองสามลี้ แล้วกวาดสายตาไปตรงหน้า

 

 

“แปลกจัง จิตสัมผัสไม่อาจแทรกเข้าไปในส่วนลึกของเกาะแห่งนี้ได้ ผืนน้ำด้านล่างก็มีไอปีศาจหนาแน่น ดูเหมือนว่าเป็นเกราะที่มีอสูรปีศาจยึดครองอยู่” สือคุนมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางชิงเอ่ยปาก

 

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้านล่างมีอสูรทะเลอยู่ตัวหนึ่ง แต่พลังยุทธ์ไม่สูงนัก ท่าทางไม่ต่างอันใดกับพวกเรานัก” แววตาของหานลี่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง แล้วเอ่ยปากอย่างแช่มช้า

 

 

“สหายตรวจสอบด้านล่างเกาะได้?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย

 

 

นางไม่ต่างอันใดกับสือคุนเมื่อครู่ จิตสัมผัสสัมผัสเข้ากับเกาะและผืนน้ำในบริเวณรอบ ก็เปลี่ยนเป็นเลือนราง ดูเหมือนใกล้ๆ กับผืนทะเล จะมีผลในการขวางจิตสัมผัสอยู่

 

 

“ข้าน้อยโชคดีฝึกฝนเคล็ดวิชาลับเฉพาะมา จึงทำให้มีหูตาว่องไว ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสมอง” หานลี่ตอบกลับอย่างซื่อๆ

 

 

“นี่มันดีเกินไปแล้ว พี่หานมีอิทธิฤทธิ์นี้ด้วย พวกเราก็จะหลบหลีกอันตรายได้ไม่น้อยแล้ว” สือคุนได้ยินพลันอดที่จะดีอกดีใจไม่ได้ พลางเรียกหานลี่ว่าพี่ชาย

 

 

หานลี่กลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมาเท่านั้น

 

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากสหายหานมีอิทธิฤทธิ์นี้จริงๆ การเดินทางครั้งนี้ก็มั่นใจขึ้นได้สองส่วนแล้ว ยามนี้ในเมื่อเกาะนี้มีอสูรทะเลยึดครองอยู่ พวกเราก็หาที่อื่นเถิด ไม่คุ้มที่จะลงไปพัก เสียพลังปราณเปล่าๆ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์แววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยเช่นนี้ออกมา

 

 

ครั้งนี้สือคุนกลับไม่ปฏิเสธคำพูดของหญิงสาวสวมงอบ ทันใดนั้นก็พยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย

 

 

แต่หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยกลับสั่นศีรษะ

 

 

“เกรงว่าหากพวกเราไปหาที่อื่น ก็ไม่ได้ดีกว่ากันไปเท่าใดนัก”

 

 

“พี่หานหมายความว่าอย่างไร?” สือคุนประหลาดใจไปเล็กน้อย

 

 

หลิวสุ่ยเอ๋อร์แววตาเปล่งประกาย มองไปอย่างไม่เข้าใจ

 

 

“สหายทั้งสองคิดว่าลำแสงหลีกหนีเมื่อครู่ของพวกเราเป็นอย่างไร?” หานลี่ไม่ได้ตอบตรงๆ กลับย้อนถาม

 

 

“ก็พอได้นะ แม้ว่าจะไม่ได้บินเต็มกำลัง แต่ก็น่าจะใช้กำลังไปหกเจ็ดส่วน” สือคุนตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

 

 

“ใช่แล้ว จากระดับความเร็วของพวกเราสามคนบินมาหนึ่งวันหนึ่งคืน เกรงว่าระยะทางที่บินมาคงเกินสองสามล้านลี้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้าพวกเรายังแผ่จิตสัมผัสไปในบริเวณรอบแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยามนี้ถึงจะหาเกาะแห่งนี้พบ พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

 

“สหายหานอยากพูดอันใด ก็พูดออกมาตรงๆ เถิด ผู้แซ่สือสมองไม่ค่อยดี ปกติแล้วก็เกลียดการพูดจาอ้อมค้อมมากที่สุด” สือคุนแค่นเสียงหึออกมาเอ่ยราวกับว่าหมดความอดทนแล้ว

 

 

หานลี่มุมปากกระตุก แต่ในใจกลับไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายว่าสมองไม่ดีอย่างแน่นอน

 

 

“หรือว่าสหายหานอยากบอกว่า ทะเลของแดนกว้างเย็นแปลกๆ ไม่ได้หาเกาะอื่นๆ ได้ง่ายๆ ต่อให้หาพบแล้ว ก็น่าจะมีอสูรทะเลตนอื่นอาศัยอยู่” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยต่อ

 

 

“ผู้แซ่หานหมายความเช่นนั้น แม้ว่าเกาะตรงหน้าจะมีอสูรทะเลอยู่ แต่ก็ไม่ใช่อสูรโบราณประเภทที่โหดเ**้ยมอันใด พวกเราใช้เวลาสักหน่อย ก็น่าจะกำจัดได้อย่างง่ายดาย ดีกว่าเสียเวลาไปตามหาเกาะๆ อื่น” หานลี่อธิบายอย่างแช่มช้า

 

 

“คำนี้ฟังดูเหมือนจะมีเหตุผล เอาละ ตามที่พี่หานพูดเถิด ถึงอย่างไรพวกเราสามคนร่วมมือกัน ต่อกรกับอสูรทะเลระดับเดียวกันตัวหนึ่ง ย่อมไม่มีปัญหาแน่” สือคุนบิดคอ เอ่ยเห็นด้วยด้วยสีหน้าถมึงทึง

 

 

“อือ ข้าเองก็รู้สึกว่าคำพูดของสหายมีเหตุผล” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พิจารณาเล็กน้อย ก็เห็นด้วย

 

 

“ในเมื่อสหายทั้งสามไม่มีข้อคิดเห็น เช่นนั้นพวกเราก็ลงมือเถิด เพื่อไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้ หรือไปรบกวนอสูรทะเลในบริเวณรอบ ข้าจะวางเขตอาคมก่อน อีกเดี๋ยวก็สามารถปกปิดการสังหารอสูรตนนี้ของพวกเราได้แล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

สือคุนและหญิงสวมงอบได้ยินแน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธ

 

 

ดังนั้นหานลี่จึงพลิกฝ่ามือ ในมือมีธงอาคมปรากฏขึ้นตั้งหนึ่ง โยนไปกลางอากาศ จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงหลากสีสิบกว่าสายพลันปรากฏขึ้น พุ่งไปยังผืนทะเล เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

 

 

แต่ครู่ต่อมาทั้งเกาะก็มีเสาลำแสงหนาๆ สิบกว่าต้นปรากฏขึ้น

 

 

จากนั้นพลันขยายออก กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวที่แทบจะมองไม่เห็น ชั่วครู่ก็ปกคลุมทั้งเกาะเอาไว้

 

 

“เพื่อเป็นการป้องกัน ข้าจะช่วยสหายอีกแรงก็แล้วกัน” หญิงงามสวมงอบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ คิ้วดำขลับก็เลิกขึ้นขณะเอ่ย

 

 

จากนั้นหญิงผู้นี้ก็ชูมือขึ้น ยุทธภัณฑ์ทรงกลมสีเหลืองอ่อนก็บินออกมา ชั่วพริบตาก็ไปอยู่เหนือม่านลำแสงสีขาวไปร้อยจั้งเศษ

 

 

จากนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ยื่นนิ้วเรียวออกมาชี้ไปกลางอากาศ

 

 

จานทรงกลมสีเหลืองหมุนโค้งปล่อยม่านลำแสงสีเหลืองออกมา เปล่งแสงสว่างวาบพลางแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน คาดไม่ถึงว่าจะห่อหุ้มม่านลำแสงสีขาวจากธงอาคมของหานลี่เอาไว้ข้างใน

 

 

“หากมีเขตต้องห้ามชั้นนี้ล่ะก็ คิดดูแล้วต่อให้พวกเราสู้กันอย่างฟ้าถล่มดินทลายก็น่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น” หญิงสวมงอบเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“ฮ่าๆ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ผู้แซ่สือก็วางใจต่อสู้ได้แล้ว” สือคุนกลับหัวเราะร่า จากนั้นพลันเปล่งแสงสีเหลือง ผิวของเขามันพลันเกราะสงครามสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้น ปกคลุมร่างกายกว่าครึ่งของเขาเอาไว้

 

 

จากนั้นลำแสงสีเหลืองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าสือคุนจะจมหายเข้าไปในเขตอาคมทั้งสองชั้นโดยไม่ปริปาก ตรงไปยังเกาะด้านล่าง

 

 

มองจากไกลๆ ราวกับดาวตกสีเหลืองดวงหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

 

หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีเหลืองก็ร่อนลงตรงผืนป่าใจกลางของเกาะ ระลอกคลื่นสีเหลืองเป็นวงๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อแผ่ออกมาจากใจกลาง ไม่ว่าก้อนหินหรือว่าต้นไม้ ต่างก็ถูกระลอกคลื่นสีเหลืองอาบย้อม ล้วนปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝุ่นผง

 

 

เกราะใหญ่โตขนาดนี้ชั่วพริบตา สิ่งสูงใหญ่ทั้งหมดก็ถูกกวาดไปจนเกลี้ยง กลายเป็นพื้นราบโล้นๆ

 

 

ส่วนตรงใจกลางพื้นราบสือคุนยืนอยู่ในหลุมที่เว้าลงไปสองสามฉื่อ และกำลังเก็บกำปั้นสีเหลืองของเขาขึ้นมาจากพื้น

 

 

การเคลื่อนไหวที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้กำปั้นโจมตีพื้นดินของเกาะแห่งนี้

 

 

ดูจากฉากที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ หญิงสาวสวมงอบพลันร่างกายสั่นเทา ส่วนสองตาของหานลี่ก็หรี่ลง

 

 

ดูแล้วสือคุยผู้นี้คงไม่ยอมฝึกฝนเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีอะไรนัก ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขา ไม่เสียเปล่าดังคาด

 

 

“รู้ตั้งนานแล้วว่าเผ่าศิลารังไหมมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่จากระดับเผ่าเบื้องบนก็มีอานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ ดูแล้วเคล็ดวิชาที่สหายสือผู้นี้ฝึกฝนคงไม่ธรรมดา” หญิงสวมงอบพลันเอ่ยพึมพำขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับจะบอกหานลี่ และดูเหมือนจะเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

 

 

หานลี่ได้ฟัง กลับมีสีหน้าราบเรียบ ราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น

 

 

สือคุนที่อยู่ด้านล่างดูเหมือนว่าจะพอใจกับการโจมตีเมื่อครู่ของตนเองเป็นอย่างมาก เงยหน้าขึ้นหมายจะพูดอันใดกับหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์

 

 

แต่ในยามนั้นเกาะเล็กๆ ก็สั่นเทาอย่างรุนแรง น้ำทะเลสีดำในผืนทะเลรอบๆ เริ่มหมุนวน

 

 

หลังจากเสียง “สวบๆ”ดังขึ้น สิ่งสีดำสนิทหนาๆ เจ็ดแปดสายก็กระโจนออกมาจากผืนทะเลรอบๆ เกาะ มีความสูงสองสามร้อยจั้ง ราวกับเสาตระหง่านสีดำค้ำฟ้า

 

 

แต่เสาเหล่านี้กลับมีตะปุ่มตะป่ำ ผิวคืบคลานไปมาไม่หยุด ทำให้ผู้คนเห็นแล้วอดที่จะรู้สึกขนลุกซู่ไม่ได้

 

 

หานลี่จ้องเขม็งมองไป ถึงได้พบว่าสิ่งนี้ไหนเลยจะเป็นเสา เป็นหนวดปลาหมึกยักษ์ชัดๆ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset