“อาวุโสท่านหนึ่งในเผ่าของข้าน้อยเป็นสหายเก่าของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว ดังนั้นจึงเคยพบหน้าจากที่ไกลๆ สองครั้ง” บุรุษแซ่ซวีมีสีหน้าแปลกประหลาดฉายแวบผ่าน ปากก็ตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“อ๋อ เช่นนั้นสหายรู้หรือไม่ว่าที่ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวเรียกข้าในครั้งนี้มีเรื่องอันใดหรือ” หญิงสาววัยกลางคนกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าน้อยก็เลอะเลือนเหมือนกับสหาย และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสเอ๋าก็ไม่ได้เรียกแค่ผู้แซ่ซวี ไม่ใช่ว่าเรียกพี่ลั่วไปด้วยกันหรือ คงมีเรื่องที่ต้องคุยกับพวกเราสองคนตามลำพังกระมัง” บุรุษแซ่ซวีสั่นศีรษะระรัวราวกับตีกลอง
หญิงสาววัยกลางคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หัวเราะน้อยๆ แล้วไม่ได้ซักถามอันใดต่อ
ยามนี้ทุกคนในตำหนักไม่อาจปรึกษาอันใดกันได้ต่อหลังจากที่บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวจากไปแล้ว ทันใดนั้นหลังจากทุกซุบซิบกันในตำหนักชั่วครู่ ชายชราผมขาวก็ประกาศว่าการประชุมจบลงแล้ว
ทุกคนจึงทยอยกันออกจากตำหนักด้วยความคิดหลากหลาย แล้วตรงไปยังที่พักของตนเอง
ในเวลาเดียวกันบุรุษขนนกผู้นั้นก็พาบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวและอิ๋นเย่ว์มาถึงสถานที่ที่เป็นส่วนตัวบนเกาะ
ที่นี่ไม่เพียงเป็นสถานที่ที่มีไอวิญญาณหนาแน่นที่สุดบนเกาะ แม้กระทั่งยังมีหอคอยส่วนตัวที่อยู่ห่างกันเจ็ดแปดหอ หอคอยเหล่านี้ไม่เพียงจะวิจิตรงดงาม ทุกหอยังมีห้องหลอมอาวุธและปรุงยาโดยเฉพาะ และยังมีห้องลับที่ใช้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่สมบูรณ์แบบ
บุรุษขนนกเชิญบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมาที่นี่ ให้เขาเลือกด้วยตนเอง
ผลคือบุรุษผมยาวเลือกหอคอยมาแห่งหนึ่งส่งๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างทระนงองอาจ
บุรุษขนนกย่อมไม่กล้ามีเงื่อนไขใดๆ หลังจากที่จัดวางสาวใช้และพวกแล้ว ก็ขอตัวลาไปอย่างรู้จักวางตัว
ส่วนบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวก็นั่งยกมืออยู่ตรงตำหนักหลักในห้องโถงของหอคอย แล้วไล่สาวใช้สองสามคนออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ชั่วพริบตาชั้นหนึ่งของหอคอยก็เหลือเพียงบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวและอิ๋นเย่ว์สองคน
บุรุษผมยาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา แต่ดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่ลง ราวกับว่ากำลังคิดอันใดอยู่
ส่วนอิ๋นเย่ว์ยังคงยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ไม่มีเจตนาจะเอ่ยปากเช่นกัน
“จากพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ และยาลูกกลอนที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เจ้ามีหวังที่จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างแน่นอน แต่ภายในร้อยปีเศษนี้ เจ้าทะลวงจุดคอขวดล้มเหลวอย่างต่อเนื่องสามครั้ง ดูแล้วไม่ใช่ว่าเงื่อนไขภายนอกไม่พอ แต่ไม่อาจทะลวงผ่านจิตมารของตนเองได้ หากการลองครั้งต่อไปก็ยังไม่สำเร็จ เกรงว่าจากนี้คงทะลวงจุดคอขวดได้ยากแล้ว” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมองอิ๋นเย่ว์แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยปากอย่างราบเรียบ
“หลานไร้ประโยชน์ ทำให้ท่านปู่ผิดหวังแล้ว” อิ๋นเย่ว์ก้มหน้าลงต่ำ แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ความหมกมุ่นในใจเจ้า ดูแล้วคงแก้ไขได้ยาก หลังจากที่เจ้ากลับมาจากแดนด้านล่าง ก็ไม่สนใจเทียนขุยอีก แม้กระทั่งออกจากเผ่า ย้ายมาพักอยู่กับข้า ข้าไม่เคยถามหาเหตุผล และไม่เคยบีบบังคับให้เจ้าคืนดีกับเทียนขุย ก็เพราะอยากให้เจ้าเองแก้ปมในใจออก แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ปมในใจไม่เพียงไม่ถูกแก้ กลับถูกเจ้าซ่อนเอาไว้ลึกขึ้นเรื่อยๆ” เอ๋าเสี้ยวสั่นศีรษะ แม้ว่าน้ำเสียงจะสุภาพอ่อนโยน แต่ในคำพูดยังคงฟังเจตนาผิดหวังออก
“ท่านปู่ ตอนนั้นข้าและเทียนขุย…” อิ๋นเย่ว์เงยหน้าขึ้นคิดจะอธิบาย
แต่บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพลันโบกมือตัดบทนาง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอันใด ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอันใด เจ้าเด็กเทียนขุยนั้นถือโอกาสที่ข้ากักตน ละเมิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้า ไม่รอให้เจ้าพัฒนาระดับขั้นผสานอินทรีย์ ก็คิดจะเก็บร่างหยินแท้ของเจ้า ต่อมาไม่สำเร็จก็ลอบทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมแยกออกเป็นสองส่วน ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดจากการถูกแยกจิตสัมผัสนานนับพันปี จากนั้นยามที่จิตวิญญาณของเจ้าอาศัยร่างลงไปแดนล่าง ก็ยังลงมือกับจานแผนภูมิสวรรค์ ทำให้เจ้าไม่อาจกลับมายังแดนวิญญาณได้ทันเวลา เรื่องเหล่านี้ยังต้องให้ข้า พูดออกมาอีกหรือ!”
บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยไปพลาง ใบหน้าหมดจดสง่างามพลันเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา และตบไปที่ด้ามจับสัมฤทธิ์ด้านข้างเก้าอี้ของตน
ฝ่ามือสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าด้ามจับจะสลายหายไป แม้แต่เศษซากก็ไม่เหลือ
“ท่านปู่ ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ!” อิ๋นเย่ว์ร่างกายสั่นเทิ้ม หน้าเปลี่ยนสีเป็นซีดขาว
“หึ เจ้าคิดว่าตาเฒ่าอย่างข้าเลอะเลือนหรือ แม้แต่หลานสาวของตนถูกรังแกก็ยังไม่รู้ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เผ่าหมาป่า ไม่มีชนรุ่นหลังที่สามารถตำแหน่งราชาหมาป่าได้อีก และอายุขัยของข้าก็เหลืออีกไม่นาน ไม่อาจประคับประคองเผ่าหมาป่าไปได้ต่อ ข้าคงถลกหนังกระชากเอ็นเจ้าเด็กนั้นออกมาแล้ว เขาจะยังนั่งอยู่บนตำแหน่งราชาปีศาจอย่างมีความสุขต่อได้อย่างไร” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวแค่นเสียงด้วยความเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
อิ๋นเย่ว์ฟังจนมาถึงตอนนี้ สีหน้ากลับยิ่งขาวซีด แต่ปากกลับหัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“จะว่าไปแล้ว นี่ก็โทษเขาทั้งหมดไม่ได้ ในนามของข้าถึงอย่างไรก็เป็นพระชายาของเขา พลังยุทธ์ของเขาไม่อาจพัฒนาได้มาหลายปี และในสถานการณ์ที่รู้ว่าหยินแท้ของข้าช่วยเขาทะลวงจุดคอขวดได้ คงหลีกเลี่ยงการลงมือกับข้าได้ยาก”
“เจ้ายังพูดแทนเขาอีก ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับเจ้า เจ้าก็เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าจันทราสีเงินของพวกเราแล้ว ยามที่ยังฝึกฝนเคล็ดวิชาจันทราสีเงินไม่สำเร็จ หากถูกทลายร่างอายุขัยจะลดลง ในฐานะที่เขาเป็นราชาปีศาจจะไม่รู้ได้อย่างไร อีกอย่างหลังจากที่แต่งงานกับเจ้า สนมรักหรูอวิ๋นข้างกายของเข้า ก็ไม่เคยสนใจหน้าของเจ้าเลยสักนิดข้าว่าตั้งแต่ที่เขาเป็นราชาปีศาจแล้ว ก็ดูเหมือนจะลืมไปว่าเผ่าจันทราสีเงินของพวกเราถึงจะเป็นเผ่าราชาปีศาจหมาป่า ยุคนี้หากไม่ใช่เพราะชนรุ่นหลังไม่น่าพอใจ แม้แต่ระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่มี ข้าจะประคับประคองคนนอกให้อยู่ในตำแหน่งราชาหมาป่าเพื่ออันใด” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้า
อิ๋นเย่ว์กัดริมฝีปากเล็กน้อย สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
“ทว่าหลังจากที่เจ้าพบกับความทุกข์ยากในแดนล่าง ร่างจันทราดาราทั้งเจ็ดก็ตื่นขึ้น นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย จากคุณสมบัติเดิมของเจ้า คงฝึกฝนระดับหลอมสุญตามาถึงส่วนปลายแล้ว ยามนี้จากร่างจันทราเจ็ดดารา หากมีโอกาสอีกล่ะก็ การพัฒนาไประดับมหายานก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหวัง คุณสมบัติของตาเฒ่าในปีนนั้นก็ไม่ได้มากมายนัก แต่หลังจากที่ร่างจันทราของเจ้าตื่นขึ้น ถึงได้มีระดับในวันนี้ได้” เมื่อเอ่ยจนมาถึงตรงนี้ ดวงตาของบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวก็ค่อยๆ เปล่งประกาย
“แต่หลานขอให้ไม่โชคดีแบบนั้น!” อิ๋นเย่ว์สั่นศีรษะ สีหน้ายังคนซีดขาวขณะเอ่ย
“ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาเจ้าได้รับความเจ็บปวดมาก แต่ในเมื่อเจ้ามีศักยภาพในการบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ตาเฒ่าย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด ทางที่ดีก็ให้เทียนขุยกลับบ้านเก่าไปพร้อมกับจอมมารเผ่ามารในสงครามไปเสียเลย มิเช่นนั้นเมื่อเคราะห์มารจบลง ตาเฒ่าคงไม่ปล่อยให้เขาครองตำแหน่งราชาหมาป่าง่ายๆ แน่”
“ท่านปู่หมายความว่า…” อิ๋นเย่ว์พลันตกตะลึง มองบุรุษผมยาวด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ราชาปีศาจทั้งเจ็ดไม่อนุญาตให้สตรีรับตำแหน่ง ตอนแรกที่สนับสนุนคนนอกเข้ารับตำแหน่งราชาหมาป่า ข้าก็ไม่ค่อยยินดีอยู่แล้ว ยามนี้ระหว่างเจ้ากับเทียนขุยก็ไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว ตำแหน่งราชาหมาป่า ตาเฒ่าย่อมต้องคืนมาแทนเจ้า” บรรพชนเอ๋าเสี้ยวเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“นี่ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมกระมัง” อิ๋นเย่ว์เผยอปากเล็กๆ ออก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยพึมพำออกมา
“มีอันใดไม่เหมาะสม ตาเฒ่าไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เทียนขุยเองที่โหดเหี้ยมกับเจ้าก่อน หรือว่าเจ้ายังมีเหยื่อใยให้เขา?” บรรพชนเอ๋าเสี้ยวฟื้นฟูสีหน้าเคร่งขรึมกลับมาเป็นราบเรียบ แต่ในคำพูดกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาส่วนหนึ่ง
“เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น ข้าและเขาไม่ได้เป็นศัตรูกันก็นับว่าดีแล้ว ไหนเลยจะมีเยื่อใยอันใดได้ แต่แค่แม้ว่าหลานจะมีร่างจันทราสวรรค์ แต่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้จริงๆ หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก หากไม่สำเร็จ เผ่าหมาป่าของพวกเรายังต้องให้เทียนขุยคอยดูแลเผาก่อน” อิ๋นเย่ว์ลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“อืม หากจิตมารของเจ้ายังไม่ถูกกำจัด ก็พัฒนาขึ้นมาอยู่ระดับผสานอินทรีย์ได้ยาก และยามนี้การต่อสู้กับเผ่ามารก็ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่อาจรอให้เจ้าพัฒนาอย่างช้าๆ ได้ หากตาเฒ่าไม่อาจกลับมาอย่างปลอดภัยได้ เจ้าก็จะมีหายนะตามมาไม่จำกัด ช่างเถอะ ข้าทำได้เพียงต้องทำลายกฎเพื่อช่วยเจ้าแล้ว เจ้าอ่านสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” บรรพชนเอ๋าเสี้ยวขมวดคิ้ว หลังจากที่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นคัมภีร์หยกสีเขียวออกมาจากในร่าง และลอยไปทางอิ๋นเย่ว์อย่างแช่มช้า
อิ๋นเย่ว์ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงคว้าคัมภีร์เข้ามาในมือ หลังจากแตะไปที่หน้าผาก ก็แทรกจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน
“คาถาลืมความรู้สึก!” เมื่อจิตสัมผัสกวาดเข้าไปในคัมภีร์หยก อิ๋นเย่ว์ก็ร้องอุทานออกมา
“ใช่แล้ว คาถาลืมความรู้คือเคล็ดวิชาลับโบราณที่ข้าได้มาด้วยความบังเอิญ ไม่เพียงจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ ยังมีผลที่น่าเหลือเชื่อในการฝึกฝนระดับจิตใจ หลังจากที่เจ้าตัดสินใจฝึกฝน ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับอื่นช่วยเจ้าให้ฝึกฝนได้รวดเร็วขึ้น กว่าครึ่งคงซ่อมแซมส่วนที่เป็นข้อบกพร่องในจิตใจของเจ้าได้ หากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าเคล็ดวิชานี้มีความหมายตามชื่อ หลังจากฝึกฝนไปแล้วผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน ตามคาถาด้านหลัง หากฝึกฝนคาถานี้ ความรู้สึกต่างๆ จะค่อยๆ เลือนหายไป หากฝึกฝนสำเร็จ อาจจะหายไปทั้งหมด จุดนี้ความจริงแล้วก็ไม่มีอันใด สิ่งสำคัญก็คือวิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชาลับนี้รุนแรงเกินไปหน่อย เกรงว่าคงมีผลกระทบต่อการบรรลุระดับมหายานในอนาคตของเจ้าไม่น้อย ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบในจุดนี้ เจ้าต้องขบคิดให้ดี” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมองหน้าอิ๋นเย่ว์ แววตาเผยความสับสนออกมาขณะเอ่ย
อิ๋นเย่ว์ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบคัมภีร์หยกไปพลาง ฟังคำพูดของท่านปู่ของตนไปพลาง สีหน้าอดที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องไม่ได้ เดี๋ยวเคร่งขรึมเดี๋ยวสดใส
หลังจากที่บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยจบ กลับหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ แล้วไม่ได้พูดอันใดอีก ท่าทางรอให้อิ๋นเย่ว์เป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร อิ๋นเย่ว์ถึงได้เลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผาก และก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ หญิงสาวผมสีเงินก็เลิกคิ้ว ดูเหมือนจะตัดสินใจแล้ว เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามบรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวด้วยความเคร่งขรึม
“ท่านปู่ เคล็ดวิชาชุดนี้จะทำให้ข้าพัฒนาไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ก่อนที่สงครามตัดสินของเผ่ามารจะเริ่มขึ้นได้จริงๆ หรือ?”
“มิกล้ากล่าวได้ว่ามั่นใจเต็มเปี่ยม แต่อย่างน้อยก็เจ็ดแปดส่วน มิเช่นนั้นคงไม่เสนอออกมาง่ายๆ ทว่า เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ ขบคิดให้ดีสักสองสามวันแล้วค่อยตอบก็ยังไม่สาย” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น จ้องเขม็งไปที่อิ๋นเย่ว์แล้วเอ่ยทีละคำ
Related