“อืม แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ยังต้องมีคนไปสำรวจดูสักตั้ง ผู้อาวุโสฮุย เรื่องนี้ก็รบกวนท่านแล้ว” หลังจากบรรพชนตระกูลหล่งขบคิดสักพัก ก็หันไปพูดกับชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เรื่องเล็ก ครึ่งวันข้าก็กลับมาแล้ว” ชายแซ่ฮุยพยักหน้าหงึกๆ พอรัศมีแสงสีดำบนร่างกะพริบวาบ ก็กลายเป็นรุ้งยาวสายหนึ่ง แหวกอากาศออกไป
“ตอนนี้ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องถามเจ้าทั้งสอง ถ้าตอบมาตามตรง ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเจ้า แต่ถ้าโป้ปดแม้เพียงนิดเดียว พวกเจ้าน่าจะรู้ผลที่ตามมา” ในที่สุดบรรพชนตระกูลหล่งก็หันมามองมารทั้งสองตน พลางพูดขึ้นเรียบๆ
“ไม่ว่าผู้อาวุโสสอบถามอะไร ถ้าผู้น้อยทั้งสองรู้ ต้องตอบอย่างแน่นอน” มารร่างใหญ่ใจสั่นวาบ จึงตอบทันที
มารชราก็ไม่กล้าหายใจแรงเช่นกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
“เมืองเซวี่ยยาห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน นอกจากเมืองนี้แล้ว ยังมีเมืองไหนใกล้ที่สุดอีก และเจ้าเมืองของพวกเจ้าชื่ออะไร รายละเอียดขอบเขตขั้นบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างไร” บรรพชนตระกูลหล่งถามทีเดียวรวด
ดีที่คำถามแม้ค่อนข้างมาก แต่ล้วนไม่จำเป็นต้องปิดบังและมิใช่สิ่งต้องห้ามอะไร ดังนั้นหลังจากมารร่างใหญ่ใจสั่นเล็กน้อย ก็รีบตอบตามตรง
“เรียนผู้อาวุโส เมืองเซวี่ยยาห่างจากที่นี่ราวหนึ่งแสนลี้ เมืองอื่นที่อยู่ใกล้สุด น่าจะเป็นเมืองเย่ซิว แต่ถ้าไปที่นั่น อย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลาสองเดือน ส่วนเจ้าเมืองเรา คือใต้เท้าปิ่งเชียนเริ่น น่าจะเป็นขั้นจอมมารระดับกลาง”
“จอมมารระดับกลาง ขั้นบำเพ็ญเพียรไม่อ่อนด้อยเหมือนกัน แล้วสถานการณ์ในเมืองเซวี่ยยาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีเขตอาคมส่งตัวที่ไปมาหาสู่กับเมืองอื่นหรือเปล่า หรือมีวิธีอื่นใดในการหลบเลี่ยงคลื่นอสูรที่ชานเมืองตะวันออก” บรรพชนตระกูลหล่งพยักหน้า แล้วถามต่อทันที
“เพื่อป้องกันการจู่โจมอย่างฉับพลันของอสูรหางผีเสื้อ เมืองเราในตอนนี้จึงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก แต่ถ้าผู้อาวุโสทุกท่านอยากไป ย่อมไม่มีปัญหา ส่วนเขตอาคมส่งตัว กลับไม่มี เมืองเล็กจนเกินไป เงื่อนไขไม่พร้อมที่จะติดตั้งเขตอาคมส่งตัวแบบตายตัว แต่วิธีเลี่ยงคลื่นอสูรนั้นมีอย่างแน่นอน แต่เวลาที่ต้องใช้ เกรงว่าไม่น้อยกว่าสิบกว่าวันแล้ว ผู้อาวุโสทุกท่านมิสู้รอให้คลื่นอสูรผ่านไปเอง ค่อยเดินทางต่อ จะเหมาะกว่า” หลังจากมารร่างใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงตอบทีละคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ว่าต้องเสียเวลามากแค่ไหน อธิบายวิธีเลี่ยงคลื่นอสูรก่อนเถิด เหมาะหรือไม่เหมาะ ข้าตัดสินใจเองได้ อีกอย่าง ในมือของพวกเจ้าน่าจะมีแผนที่บริเวณนี้อยู่ เอาออกมาให้ข้าคัดลอกด้วย” บรรพชนตระกูลหล่งพูดพร้อมสีหน้าเย็นชา
“ขอรับผู้อาวุโส เมื่อครู่ผู้น้อยปากมากแล้ว! คลื่นอสูรฝั่งตะวันออกกระทบหลายพื้นที่ ถ้าคิดจะเลี่ยง ต้องทะลุผ่านป่าดิบแล้งทางใต้ไป หรือไม่ก็ทุ่งหญ้าทางเหนือ…” มารร่างใหญ่มีสีหน้าตกใจ รีบอธิบายอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลใจใดๆ อีก สุดท้ายก็ล้วงผลึกหินสีดำขมุกขมัวก้อนหนึ่งออกมา ยื่นให้บรรพชนตระกูลหล่ง
บรรพชนตระกูลหล่งรับผลึกหินสีดำไว้ ก่อนหยิบผลึกหินสีขาวก้อนหนึ่งออกมา คัดลอกเนื้อหาด้านในลงไปทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ของที่คล้ายกับม้วนหนังสือหยกในแดนวิญญาณ ก่อนเข้าสู่แดนมาร คนบ้านสกุลหล่งได้เก็บรวบรวมไว้จำนวนหนึ่งโดยเฉพาะแล้ว
และพวกมันก็ล้วนมีประสิทธิภาพและลักษณะการใช้งานพอๆ กับม้วนหนังสือหยกทั่วไป แต่การกระตุ้นของเช่นนี้ ในพลังยุทธ์ต้องมีไอมารจำนวนหนึ่งผสมเข้าไปจึงจะใช้ได้
แต่ไอมารจำนวนนี้ สำหรับผู้ฝึกวิชามารอย่างหานลี่ไม่คู่ควรให้พูดถึง ซึ่งก็หมายความว่าคนอื่นๆ ที่มีมุกปลอมตัวเป็นมาร ก็ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน
และเพื่อไม่ให้ถูกพวกมารสงสัย ของในแดนมารชนิดนี้จำนวนหนึ่งได้ถูกแจกให้คนทั้งกลุ่มตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นพอบรรพชนตระกูลหล่งคัดลอกแผนที่เสร็จ ก็โยนผลึกหินให้คนอื่นๆ ให้พวกสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวคัดลอกด้วย การที่พวกเขามีรายละเอียดแผนที่บริเวณใกล้เคียง ย่อมทำให้ศึกษาวิธีต่างๆ นานาที่จะหลีกเลี่ยงคลื่นอสูรได้อย่างจริงจัง
และแล้วหลังจากที่ทุกคนรวมทั้งหานลี่ศึกษาเองในใจเรียบร้อย กลับขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ด้วยรู้สึกว่ายากลำบากยิ่ง
“สหายหาน ถ้าทางตะวันออกมีอสูรหางผีเสื้อจริงๆ ดูเหมือนไม่สามารถที่จะอ้อมพวกมันไปได้จริงๆ หรือเราจะพักอยู่แถวนี้สักระยะ รอให้คลื่นอสูรผ่านไปก่อน ค่อยเดินทางต่อ อย่างไรก็ล่าช้าไปเพียงสิบกว่าวัน สำหรับพวกเราแล้วก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ส่วนเมืองเซวี่ยยานั่น เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ก็ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว” ขณะหานลี่กำลังครุ่นคิดเงียบๆ ข้างหูพลันมีเสียงของบรรพชนตระกูลหล่งดังมา
หานลี่ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ย่อมเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่บรรพชนตระกูลหล่งหารือด้วย
“ถ้าจะเสี่ยงบุกทะลวงคลื่นอสูรไปทางทิศตะวันออกเพื่อเวลาอันน้อยนิดนี้ ก็ไม่คุ้มค่าจริงๆ แต่เมืองเซวี่ยยานั่น ข้ากลับรู้สึกว่าควรเข้าไปสักครั้ง” หานลี่กลับพูดเช่นนี้หลังจากครุ่นคิด
“อ้อ สหายหานพูดเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ขอคำชี้แนะด้วย!” พอบรรพชนตระกูลหล่งได้ยินคำตอบ คล้ายรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“ที่พี่หล่งไม่ยอมเข้าเมือง ย่อมเกรงว่าจะถูกจับได้เท่านั้น แต่เมืองเซวี่ยยาเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง กระทั่งเขตอาคมส่งตัวก็ยังไม่มี จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขตต้องห้ามจะมีข้อจำกัดมากจนเกินไป การปลอมตัวของเราไม่น่าจะถูกจับได้หรอก และที่ผู้แซ่หานแนะนำให้ไปเมืองเซวี่ยยา ที่สำคัญสุดคือ ต่อไปเราอาจอยู่ในแดนมารรวดเดียวสิบกว่าปี กระทั่งหลายสิบปี ซึ่งเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ การคบหากับมารบ้างเป็นเรื่องที่ยากหลีกเลี่ยง แม้มุกปลอมเป็นมารสามารถปลอมพลังปราณ แต่ลำพังอาศัยข้อมูลนิดๆ หน่อยๆ ทำความเข้าใจคร่าวๆ เกรงว่าคำพูดและการกระทำจะเผยให้เห็นช่องโหว่บางอย่าง อีกทั้งการเดินทางในครั้งนี้ นอกจากบ่อชำระวิญญาณกับบัววิญญาณพิสุทธิ์แล้ว แดนมารน่าจะยังมียาวิญญาณอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่พบได้ยากในแดนวิญญาณ ซึ่งมีประโยชน์กับเราไม่น้อย พี่หล่งไม่อยากฉวยโอกาสนี้เก็บสะสมไปในตัวบ้างหรือ” หานลี่ส่งเสียงตอบอย่างไม่ลนลาน
“ที่พี่หานพูดมาก็มีเหตุผล ข้าต้องหารือกับพวกสหายเชียนชิวสักหน่อยก่อน ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรก็แล้วกัน” หลังจากได้ยิน สีหน้าบรรพชนตระกูลหล่งก็เปลี่ยนไปสักพัก สุดท้ายก็ตอบราวกับถูกเกลี้ยกล่อม
“แน่นอน ข้าว่านะ พวกท่านเซียนเชียนชิวกับสหายเผ่าวิญญาณ อยากเข้าไปในเมืองเซวี่ยยามากกว่าเราเสียอีก” หานลี่หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบอย่างลึกซึ้ง
“แหะๆ ก็ใช่ มีวัตถุดิบหายากหลายชนิดที่ชนเผ่าวิญญาณต้องการเป็นอย่างยิ่งจริงๆ ซึ่งพบในปริมาณมากก็แต่แดนมารเท่านั้น” บรรพชนตระกูลหล่งอึ้งเล็กน้อยก่อน แต่ก็หัวเราะออกมา แล้วจึงหยุดคุยกับหานลี่ จากนั้นก็ส่งเสียงไปทางสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว
พอได้ยินเสียงที่บรรพชนตระกูลหล่งส่งมา สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวก็แสดงท่าทางตะลึงงัน แต่หลังจากยกมุมปาก ก็รีบส่งเสียงหารือกลับมาอย่างกระตือรือร้น
ทั้งสองใช้เวลาหารือกันไม่นาน กระทั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเจรจาอะไรกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ท่านอื่นๆ อีกครั้ง ก็ให้คำตอบที่แจ่มแจ้งกับบรรพชนตระกูลหล่งได้
ที่แท้กับเรื่องนี้ คนเผ่าวิญญาณเหล่านี้ตัดสินใจเองในใจไปแต่แรกแล้ว
ตอนที่บรรพชนตระกูลหล่งส่งเสียงตอบกลับหานลี่นั้น ก็ยืนยันมาว่า ขอเพียงเรื่องคลื่นอสูรทางตะวันออกไม่ใช่เรื่องเท็จ คนทั้งกลุ่มตัดสินใจเข้าเมืองเซวี่ยยาชั่วคราวก่อน
สำหรับการตัดสินใจเช่นนี้ สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกับชายผมยาวสกุลหลินย่อมบอกในเวลาต่อมาว่า ทั้งสองเห็นด้วยทุกประการ มีท่าทีแบบอย่างไรก็ได้
มารร่างใหญ่กับมารชราย่อมดูออกว่าหานลี่กับคนอื่นๆ กำลังถกเรื่องอะไรกัน แต่กลับยืนอยู่กับที่อย่างเจียมตัว ไม่กล้านอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย
อย่างไรเสีย เมื่อใต้เท้า ‘จอมมาร’ มารวมตัวกันที่นี่มากถึงเพียงนี้ แค่คนใดคนหนึ่งต้องการชีวิตน้อยๆ ของพวกเขา ก็ล้วนเป็นเรื่องง่ายดายชนิดไม่ต้องเสียแรงเป่าฝุ่นด้วยซ้ำ
เช่นนี้ ผ่านไปครึ่งวัน ขอบฟ้าก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ซึ่งก็คือชายชุดดำที่ไปสำรวจดูเส้นทางก่อนหน้านี้ เหาะกลับมา
“น้องฮุย การเดินทางราบรื่นไหม สืบรู้สถานการณ์ของคลื่นอสูรแล้วใช่หรือไม่”
พอแสงตกถึงพื้น บรรพชนตระกูลหล่งก็รีบก้าวเข้าไปรับ ถามพลางยิ้มน้อยๆ
“พี่หล่ง ทางตะวันออกมีอสูรหางผีเสื้อนับไม่ถ้วนขวางทางไว้จริงๆ โดยยึดครองเส้นทางตะวันออกไว้หมดแล้ว ข้าเองก็ละอายอยู่บ้าง ที่ไม่กล้าเข้าใกล้พวกมันมาก ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ สักพัก ก็เหาะกลับมารายงานกับสหายทุกท่าน” ชายชุดดำยิ้มแหยๆ ก่อนเริ่มเล่าผลการสำรวจของตน
บรรพชนตระกูลหล่งแม้คาดการณ์ได้แต่แรก ทว่าก็ยังคงสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดสองสามข้อของคลื่นอสูรอย่างระมัดระวัง แล้วก้มหน้าครุ่นคิดสักพักอีกครั้ง จากนั้นพลันยกแขนขึ้น ดีดนิ้ว
‘พรึ่บๆ’ เสียงทึบตันดัง
แสงสีทองสองสายดีดออกดุจสายฟ้าฟาด พอวาบ ก็หายเข้าไปในร่างของมารทั้งสองที่ยืนตัวตรงอยู่
ทั้งสองไม่เคยคิดมาก่อนว่า ใต้เท้าจอมมารท่านหนึ่งจะลงมือกับพวกตนกะทันหัน แถมเป็นลักษณะลอบจู่โจมอีก จึงพลันร้องแล้วล้มลงแทบจะในเวลาเดียวกับที่แสงสีทองเข้าร่าง ไม่ทันระวังตัวแม้แต่น้อย
นอกจากหานลี่ คนอื่นๆ ล้วนอดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี
“พี่หล่ง หมายความว่าอะไร เรายังต้องให้พวกเขาพาเข้าเมืองเซวี่ยยามิใช่หรือ” ปราชญ์เฒ่าฉางสิงถามพลางทอประกายตาเล็กน้อย
“เรารู้ที่ตั้งของเมืองเซวี่ยยาแล้วนี่ ไยต้องให้มารสองตนนี้นำทางไปอีก ยิ่งกว่านั้น ข้าก็ไม่ได้เอาชีวิตพวกเขาด้วย แค่ทำให้สลบเท่านั้น” บรรพชนตระกูลหล่งกลับพูดอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า
“อ้อ หรือสหายหล่งคิดจะ…” ฉางสิงก็เบิกภูมิปัญญาและดำรงอยู่ไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้ว พอได้ยิน ก็แสดงท่าทางตระหนักรู้ออกมาทันที
“ไม่ผิด ถ้ารีบสังหารทั้งสองเสีย เกรงว่าจะดึงดูดความสนใจของเจ้าเมืองเซวี่ยยาท่านนั้น แม้เราไม่จำเป็นต้องกลัวจอมมารระดับกลางกระจ้อยร่อยตนหนึ่ง แต่มากขึ้นเรื่องหนึ่ง มิสู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง ผู้น้อยจึงตัดสินใจใช้มหายุทธ์ผนึกวิญญาณ ผนึกความทรงจำที่ทั้งสองเคยเจอเราไว้ชั่วคราว แล้วค่อยปล่อยพวกเขากลับไป ส่วนเราแต่งตัวเป็นมารธรรมดาแทรกซึมเข้าไปในเมืองเซวี่ยยาก็พอ เช่นนี้ ชนเผ่ามารในเมืองจะได้ไม่สนใจอะไรเรามากมาย” บรรพชนตระกูลหล่งพูดอย่างผู้ที่มีแผนการในใจแล้ว
“นี่กลับเป็นวิธีที่ไม่เลววิธีหนึ่ง แต่มหายุทธ์ผนึกวิญญาณของพี่หล่งพึ่งได้จริงหรือ อย่าให้ถูกจอมมารเมืองเซวี่ยยาท่านนั้นดูออกอะไรเข้าล่ะ” ชายผมยาวสกุลหลินกลับถามอย่างกังวลใจอยู่บ้าง
“เหอะๆ วิชานี้เป็นวิชาลับที่ผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณท่านหนึ่งถ่ายทอดให้ เว้นแต่จะได้รับการตรวจสอบจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร มิเช่นนั้นจะไม่มีทางพบความผิดปกติของทั้งสองเป็นอันขาด มิเช่นนั้นข้ามิกลายเป็นวาดงูเติมขาไปแล้วหรือ” บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะก่อนว่า
เมื่อบรรพชนตระกูลหล่งมั่นใจเช่นนี้ คนอื่นๆ ย่อมวางใจลงได้
บรรพชนตระกูลหล่งคว้าจับอากาศด้วยมือข้างเดียว ดูดมารชรามาอยู่ตรงหน้าทันที ปากพลันพ่นแสงสีม่วงโทนสว่างปกคลุมทั้งใบหน้าของมารชรา
ต่อมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ทอประกายแสงสีทองจับจ้องดวงตาทั้งสองของมารชรา ปากพลางท่องคาถาร่ายอาคมขึ้นมา