“อ้อ มีความลับซ่อนอยู่จริงด้วย เชิญพี่เย่ว์เล่าให้พวกเราฟังหน่อย” มารซึ่งมีไอดำล้อมรอบตนหนึ่งโพล่งขึ้น
มารผู้นี้ดำรงอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายเช่นกัน และดูเหมือนมีสถานะสูงกว่าเย่ว์เหลียนเทียนอยู่บ้าง พอมารผู้เข้าร่วมการประมูลตนอื่นๆ ได้ยิน ก็รีบหุบปากไม่พูดจา
โถงประมูลกลับสู่ความเงียบทันที
“เมื่อพี่จินเจี่ยวสอบถาม ผู้แซ่เย่ว์ย่อมอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด โดยไม่มีอะไรปิดบังอย่างแน่นอน ที่อิฐศักดิ์สิทธิ์มาปรากฏในเมืองนี้นั้นเป็นเพราะ หนึ่ง เจ้าของไม่อยากให้ของชิ้นนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อตัวเขาเอง สอง อิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้อันที่จริงมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง เคล็ดวิชาสองชุดที่บันทึกไว้ด้านในขาดคาถาสำคัญไป ซึ่งเป็นอิทธิฤทธิ์หลักที่ใต้เท้าชีหลิงฝึกฝนได้ในตอนนั้น หาไม่แล้ว ของศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้จะปล่อยให้ข้าเป็นพิธีกรประมูลได้อย่างไรเล่า” มารชราประสานมือให้มารนามจินเจี่ยว ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง
“เช่นนี้นี่เอง ตอนนั้นใต้เท้าชีหลิงมีสถานะสูงส่งปานนั้น ต่อให้อิฐศักดิ์สิทธิ์มีเคล็ดวิชาไม่สมบูรณ์ ถ้าสามารถรู้แจ้งเห็นจริงในอิทธิ์ฤทธิ์ได้บ้าง ก็เพียงพอที่จะมีชัยเหนือผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ด้านมูลค่าจึงมีมากกว่ากระดิ่งโลหิตมืดห้าสีจริงๆ” จินเจี่ยวคิดๆ ดู เหมือนความสงสัยในใจถูกขจัดออกหมดแล้ว
หลังจากมารตนอื่นๆ ได้ยินคำถามคำตอบของทั้งสอง ไม่เพียงไม่ผิดหวัง สายตาที่จับจ้องไปยังอิฐผลึกก้อนนั้นกลับยิ่งร้อนแรงขึ้น
แม้เคล็ดวิชาด้านในไม่สมบูรณ์ คล้ายมูลค่าลดลงเจ็ดแปดส่วน แต่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าของชิ้นนี้เป็นของจริง
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเย่ว์พอจะบอกชื่อเคล็ดวิชาทั้งสองชุดนี้หรือไม่ เช่นนี้ เราจะได้รู้ว่าเหมาะกับการใช้งานของตัวเราเองหรือเปล่า” เสียงแหลมๆ เสียงหนึ่งพลันดังสะท้อนไปมาในโถง แต่กลับมองไม่เห็นตำแหน่งของผู้พูดเลย เห็นชัดว่าได้ร่ายคาถาลับบางอย่างบดบังไว้
“ขออภัย อันนี้ข้าไม่สามารถบอกได้ เพราะตอนที่เจ้าของคิดจะนำของชิ้นนี้ออกมาประมูล ได้ยื่นเงื่อนไขว่า ไม่สามารถเปิดเผยชื่อเคล็ดวิชาก่อน เอาล่ะ ที่พูดได้ข้าก็พูดหมดแล้ว เริ่มประมูลกันเลย!” มารชราสั่นศีรษะ แล้วจึงประกาศอย่างเด็ดขาด
“สี่สิบล้าน อิฐศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ ข้าเอาแน่”
เสียงดังดุจสายฟ้าฟาดเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นจากมุมหนึ่ง กลับเป็นมารร่างใหญ่ สูงสามจั้ง หน้าเขียว มีเขี้ยวราวกับยักษ์ตนหนึ่ง
“สี่สิบล้านก็คิดจะประมูลของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้แล้ว พี่สือไม่รู้สึกว่ามันเพ้อฝันไปหน่อยหรือ ข้าให้ห้าสิบล้าน!” มารผู้มีเขาเดียวและใต้แก้มเต็มไปด้วยหนวดเครากลับยิ้มเย็นชาก่อนพูด
“หกสิบล้าน!” จินเจี่ยวหน้าขรึมลง เสนอราคาอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
“หกสิบล้านห้าแสนศิลามาร!”
“หกสิบล้านแปดแสน”
…..
เสียงจากมุมอื่นๆ ในโถงตำหนักทยอยกันเสนอราคาอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะเดียว มารชั้นสูงในโถงซึ่งรวยที่สุดสองสามท่าน ล้วนออกหน้าก่อนและหลังตามกัน
หานลี่ย่อมค่อนข้างให้ความสนใจเคล็ดวิชาของมารซึ่งดำรงอยู่ในระดับมหายานผู้หนึ่ง แต่เสียดาย เคล็ดวิชานี้เป็นมรดกตกทอดของบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์ แถมยังมีบางส่วนขาดหายไม่สมบูรณ์ หาไม่แล้ว เขาอาจต้องคิดหาวิธีอื่นจริงๆ
“แปดสิบล้านศิลามาร!”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งค่อยๆ ดังออกจากปาก ขณะเดียวกัน พลังปราณประหลาดเย็นยะเยือกขุมหนึ่งได้ม้วนผ่านห้องโถงทั้งห้องไปราวกับลมบ้าหมูก็มิปาน
พอมารทุกตนสัมผัสได้ถึงพลังปราณขุมนี้ มารที่มีระดับบำเพ็ญเพียรต่ำหน่อยพลันตัวแข็งทื่อ คล้ายอยู่ในพื้นที่ที่มีแต่หิมะและน้ำแข็ง ส่วนพวกที่ดำรงอยู่ในระดับหลอมสุญตาก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ใต้เท้าจอมมาร!”
เหล่ามารในระดับหลอมสุญตาฟันธงแทบจะพริบตาเดียวกัน บางคนถึงกับร้องเสียงแหบออกมา
มารตนอื่นๆ พอได้ยิน ในใจก็แตกตื่น กวาดตามองไปยังที่ที่พลังปราณเย็นยะเยียบเปล่งออก
เห็นเพียงตรงทางเข้าด้านหนึ่งริมห้องโถง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดมีชายชราดวงตาสีเงิน จมูกโค้งดุจเหยี่ยว ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ สวมชุดยาวสีเทาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เขายืนตัวตรง ร่างเปล่งไอโลหิตบางๆ ออกมา
“ใต้เท้าเจ้าเมือง?”
“ผู้อาวุโสปิ่ง?”
…..
พอเห็นใบหน้าของชายชราตาสีเงินชัดเจน ทั้งโถงประมูลก็เกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้น มารชั้นสูงที่รู้สถานะของชายชรา ปากอ้าตาค้างทันที
“ใต้เท้าเจ้าเมือง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร…” เย่ว์เหลียนเทียนก็ตะลึงงันเช่นกัน แต่ก็รีบถามจากระยะไกลตามมารยาท
“ทำไม งานประมูลครั้งนี้ ข้าเข้าร่วมไม่ได้หรือ” ชายชราตาสีเงินกลับตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“มิกล้า ใต้เท้าเจ้าเมืองยินยอมเข้าร่วมงานประมูล ถือเป็นเกียรติของผู้น้อยแล้ว! เพียงแต่ไม่ทราบล่วงหน้า ผู้น้อยจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง” เย่ว์เหลียนเทียนใจหายวาบ รีบอธิบาย
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าให้ราคาสูงสุด อิฐศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้ควรเป็นของข้าหรือยัง” เจ้าเมืองเซวี่ยยาพูดก้ำกึ่ง
“นี่ย่อม…ถ้าไม่มีผู้ใดให้ราคาสูงกว่าใต้เท้าเจ้าเมือง อิฐศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นของท่าน ไม่ทราบว่าสหายท่านอื่นๆ ยังมีใครให้ราคาอีกไหม” เย่ว์เหลียนเทียนพยักหน้าหงึกๆ ก่อนชูอิฐผลึกในมือขึ้น พลางตะโกนถาม
เสียงของมารชราสะท้อนไปมาในโถงไม่หยุด แต่ทั้งโถงกลับเงียบเป็นเป่าสาก
มารชั้นสูงที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีว่าต้องได้ แม้สายตาที่มองไปยังอิฐผลึกยังคงร้อนดุจไฟเผา ทว่าปากของแต่ละคนกลับปิดสนิท ไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักคำ
ซึ่งจะโทษพวกเขาก็ไม่ได้
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานะเจ้าเมืองของปิ่งเชียนเริ่น ต่อให้เป็นจอมมารขั้นกลางซึ่งมีระดับบำเพ็ญเพียรน่าเกรงขาม ก็เพียงพอที่จะทำให้มารจำนวนมากเหล่านี้ตื่นตระหนกแล้ว
พวกเขาไหนเลยจะกล้าเข้าไปแย่งชิงโดยไม่รู้จักความเป็นความตายเล่า
มารชราเห็นดังนี้ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะกำลังจะประกาศว่าอิฐผลึกในมือท้ายที่สุดตกเป็นของใคร เสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เก้าสิบล้านศิลามาร”
“อะไร มีคนกล้าแย่งกับใต้เท้าเจ้าเมืองจริงรึ!”
“คนอะไรใจกล้าถึงเพียงนี้ เป็นตายเป็นอย่างไร ไม่รู้จักรึ!”
เสียงตะโกนบอกราคาที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เหล่ามารโกลาหลขึ้นอีก
มีไม่น้อยที่ตกใจ หันมองไปรอบๆ ไม่หยุด คิดมองหาผู้ที่มีขวัญกล้าเทียมฟ้าผู้นี้
แต่เสียงบอกราคาเมื่อครู่ดังไปทั่ว ราวกับปรากฏอยู่กลางอากาศในโถงประมูล จึงไม่พบตำแหน่งที่แน่ชัด
เจ้าเมืองเซวี่ยยาได้ยินดังนี้ ก็หรี่ตาลง เปล่งเสียงเป็นจำนวนตัวเลขออกมา “เก้าสิบล้านห้าแสน”
“เก้าสิบล้านเก้าแสน”
ยังคงเป็นเสียงให้ราคาเมื่อครู่ โดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
ได้ยินเช่นนี้ ไอเย็นสีโลหิตบนร่างเจ้าเมืองเซวี่ยยาก็คุกรุ่น ในที่สุดสีหน้าก็เคร่งเครียดลง
พอเห็นชายชราตาสีเงินแสดงท่าทีเช่นนี้ มารในโถงประมูลทั้งหมดก็ตื่นกลัวจนตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“เมื่อสหายท่านนี้มีท่าทีว่าต้องได้ของชิ้นนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่แย่งของรักของใครแล้ว”
ผิดไปจากที่เหล่ามารคาดหมายมาก หลังจากเจ้าเมืองเซวี่ยยาครุ่นคิดสักพัก พลันพูดคำพูดที่ยอมถอยให้ออกมา จากนั้นก็หันกาย เดินออกทางประตูที่อยู่ด้านหลัง โดยไม่หลุดท่าทีลังเลใจให้เห็นแต่อย่างใด
“ยังมีใครให้ราคาอีกไหม ไม่มีแล้ว ดี อิฐผลึกชิ้นนี้ ตกเป็นของสหายท่านนี้แล้ว” แม้เย่ว์เหลียนเทียนรู้สึกแปลกใจมากเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ลืมหน้าที่ของตนเอง หลังจากตะโกนเสียงดังสามครั้ง ไม่มีใครให้ราคาที่สูงกว่าอีก ที่สุดแล้วก็ประกาศผู้ซึ่งเป็นเจ้าของอิฐผลึกในมือ
ช่วงเวลานี้ มีมารสองสามตนกะพริบตาที่มีแววไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายยังคงมิได้ให้ราคาแข่งอีก อย่างไรของที่เจ้าเมืองเซวี่ยยาอยากได้ ใครจะรู้ว่าหลังจากบุ่มบ่ามแย่งมา จะเกิดอะไรขึ้น
แต่ถึงกระนั้น เหล่ามารก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง มองไปรอบๆ ไม่หยุด ดูสิว่าใครกันที่หาญกล้าถึงเพียงนี้ กล้าแย่งของกับจอมมาร
และแล้วที่มุมหนึ่งในโถงตำหนัก เงาคนเงาหนึ่งพลันลุกขึ้นยืน แล้วเดินอาดๆ ไปที่แท่นหิน
หานลี่วาบแสงจิตสัมผัสในดวงตา มองดูลักษณะทั้งหมดของมารตนนี้ให้ชัดเจนทันที
เป็นมารวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาๆ ตนหนึ่ง สวมชุดยาวสีน้ำเงินอ่อน บำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้น มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่ามีอะไรพิเศษ
เมื่อเห็นดังนี้ หานลี่กลับขมวดคิ้วน้อยๆ
“เอ๋ นี่มิใช่เจ้าหยางรองหรอกรึ เขาบ้าไปแล้ว ทำไมถึงกล้าแย่งของศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าเจ้าเมืองล่ะ”
มารตนอื่นๆ พอเห็นมารวัยกลางคนท่านนี้ปรากฏตัว กลับทยอยกันร้องอย่างตกใจ
มารกว่าครึ่งกลับมีทีท่าว่ารู้จักมารวัยกลางคนท่านนี้
“ริอ่านถามสหายท่าน! หยางรองท่านนี้เป็นใครกัน ระดับบำเพ็ญเพียรของเขาเหมือนไม่ถือว่าสูงมาก แต่ทำไมถึงมีคนมากมายจดจำลักษณะของเขาได้” หานลี่เห็นดังนี้ พลันหันไปถามมารวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
มารท่านนี้มีเกล็ดบางๆ สีเขียวที่แก้ม เมื่อครู่ก็หลุดท่าทางตกอกตกใจออกมาเหมือนกัน
“อา ดูไปแล้วท่านเป็นสหายต่างถิ่นแน่เลย หยางรองผู้นี้ ทั้งครอบครัวเป็นช่างหลอมในเมืองที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง มีคนไม่น้อยเอาอาวุธอาคมที่สึกหรอไปให้เขาซ่อม หรือไม่ก็สั่งทำอาวุธอาคมราคาถูกจำนวนหนึ่ง แต่เขาอาศัยอยู่เมืองนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว เป็นคนพูดน้อย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงมาแย่งของศักดิ์สิทธิ์กับผู้อาวุโสอย่างท่านเจ้าเมืองไปได้ หรือฝึกวิชาจนสมองสึกหรอไปแล้ว นี่ก็ไม่ถูกอีก จากสถานะทางบ้านของเขา จะเอาศิลามารราคาแพงหูฉี่ขนาดนั้นมาจากไหนกัน”
มารกำยำเหลือบมองหานลี่ พอพบว่าเขาดำรงอยู่ในระดับหลอมสุญตา พลันเกรงใจเป็นพิเศษขึ้นมา แต่พอพูดจบ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
“เช่นนี้นี่เอง ขอบคุณคำตอบของสหายมาก” พอฟังจบ ดวงตาของหานลี่ก็ทอประกายแปลกๆ พยักหน้าหงึกๆ กล่าวขอบคุณ แล้วสายตาก็ไปตกอยู่ที่ ‘หยางรอง’ ซึ่งเดินไปถึงแท่นหินแล้ว
มารตนนี้สีหน้าเฉยเมยยิ่ง หลังจากยกมือหยิบถุงเก็บของออกมาใบหนึ่ง มอบให้เย่ว์เหลียนเทียนตรวจดูรอบหนึ่ง พอรับอิฐผลึกจากมืออีกฝ่ายมา ก็วาบแสงสีดำเก็บขึ้น
ระหว่างขั้นตอนดังกล่าว ขณะมารชราจ้องมองมารนาม ‘หยางรอง’ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เห็นชัดว่าผิดคาดมาก
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจาก ‘หยางรอง’ ประมูลอิฐผลึกได้ กลับมิได้รีบออกจากงานประมูล เดินกลับไปนั่งที่เดิมหน้าตาเฉย คล้ายยังต้องการเข้าร่วมการประมูลของชิ้นสุดท้ายต่อ
พฤติกรรมแปลกๆ เช่นนี้ มารตนอื่นๆ นอกจากรู้สึกตกตะลึงแล้ว ยังรู้สึกคลับคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
มารจำนวนไม่น้อยที่เดิมทีกำลังคิดถึงเรื่องอื่นๆ ก็พากันขจัดความคิดเดิมออก
ส่วนเย่ว์เหลียนเทียน หลังจากสงบสติอารมณ์สักพัก ที่สุดแล้วก็เริ่มประมูลของชิ้นสุดท้าย
เห็นเพียงเขายกมือขึ้น มารสาวซึ่งสองมือว่างเปล่าก็เดินไปอยู่นอกแท่นหิน
พอนางสะบัดข้อมือ วงแหวนสีเขียววงหนึ่งก็ลอยออก หมุนอยู่กับที่รอบหนึ่ง แล้วแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา
บนแท่นหินพลันมีของขนาดใหญ่ สูงสิบกว่าจั้งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น