ไฉ่หลิวอิงเอ่ยไปพลาง มือเรียวพลันยกขึ้น ดูดกล่องหยกมาจากกลางอากาศ เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งแล้วหายวับไป
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันฉีกยิ้ม จากนี้ก็คุยเรื่องการฝึกฝนกับไฉ่หลิวอิง ไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเจตนาที่หญิงสาวผู้นี้มาเลยสักนิด
หญิงงามเผ่าผลึกเห็นหานลี่มีท่าทางเช่นนี้ มุมปากพลันประดับไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองมาหาเช่นกัน
การพูดคุยครั้งนี้กินเวลาไปหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนล้วนมีท่าทีสงบนิ่ง พูดคุยกันต่อไปอีกหนึ่งชั่วยาม
หญิงสาวสวมงอบสีขาวผู้นั้นยังคงปิดปากเงียบ แต่กลับมีท่าทีนั่งไม่ติด แววตาที่มองทะลุผ่านผ้าคลุม กวาดไปบนเรือนร่างของหานลี่และหญิงงามเผ่าผลึกไปมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนหมดความอดทนแล้ว
ไฉ่หลิวอิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มองค้อนหานลี่ ปากก็เอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะว่า
“สหายหาน ไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่ปี สมาธิของเจ้ากลับไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยถามเจตนาการมาของข้า หรือว่าช่วงนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอันใดอยู่ แล้วพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น”
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ชนรุ่นหลังจะมีสมาธิได้อย่างไร แค่ท่านอาวุโสไม่ได้เป็นฝ่ายบอกก่อน ชนรุ่นหลังจะกล้าบุ่มบ่ามถามได้อย่างไร” หานลี่กลับตอบด้วยสีหน้านอบน้อม
“เช่นนั้น ก็เป็นข้าที่เข้าใจสหายหานผิด ทว่าแม้ว่าข้าจะไม่พูด คิดดูแล้วเจ้าก็คงจะเดาออกได้หลายส่วน” ไฉ่หลิวอิงฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างคร่าวๆ
“เรื่องนี้…ชนรุ่นหลังพอจะเดาออกจริงๆ ที่ท่านอาวุโสมาในครั้งนี้ หรือว่าเกี่ยวข้องกับแดนกว้างเย็น” หานลี่เอ่ยถามอย่างซื่อตรง
“เหอๆ สหายเดาออกดังคาด ข้าและศิษย์มาเพราะเรื่องนี้ เชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นาน สหายต้วนก็จะพาอีกคนมาเยี่ยมเยียน” ไฉ่หลิวอิงลูบไล้ฝ่ามือพลางฉีกยิ้ม
“เช่นนั้นหรือว่าศิษย์ก็คือ…” หานลี่พลันตกตะลึง สายตาตกอยู่บนร่างของหญิงสวมงอบ ท่าทางประหลาดใจไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ศิษย์ก็คือคนที่ข้าเคยบอกก่อนหน้า เป็นหนึ่งในผู้ที่มีร่างดูดปราณ” หญิงงามเผ่าผลึกยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“หากชนรุ่นหลังจำไม่ผิดล่ะก็ คนที่ท่านอาวุโสพูดคราวก่อนน่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติถึงจะถูก เหตุใดถึงเปลี่ยนศิษย์ล่ะ?” หานลี่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“นี่มันแปลกอันใด ปีก่อนข้าเพิ่งรับศิษย์มา” ไฉ่หลิวอิงฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง กลับเป็นชนรุ่นหลังที่เลอะเลือน” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“หรือสหายคิดว่าข้ารับศิษย์ผู้นี้เพราะแดนกว้างเย็น?” หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยถามอย่างมีเลศนัย
“ชนรุ่นหลังจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“คิดเช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใด ทว่าข้ารับประกันกับเจ้าได้ ศิษย์ผู้นี้คารวะเข้าเป็นศิษย์ข้าด้วยความเต็มใจ ไม่ได้บีบบังคับเลยสักนิด” ไฉ่หลิวอิงเผยท่าทีไม่ใส่ใจออกมา
“ข้าคารวะท่านอาจารย์ด้วยความจริงใจ ไม่ได้ถูกบีบบังคับ” ในที่สุดหญิงสวมงอบก็เอ่ยปากในยามนี้
น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย แต่ก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ช่างไพเราะยิ่งนัก
หานลี่ได้ฟังใบหน้าพลันเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างหาได้ยากออกมา จึงทำได้เพียงฉีกยิ้มอย่างเก้อเขินไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
“ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่ข้ามาในครั้งนี้นั้นง่ายมาก ก็คืออยากให้เจ้ารู้จักกับศิษย์ผู้นี้ก่อน รอจนไปถึงแดนกว้างเย็น ก็ต้องให้พวกเจ้าสองคนร่วมแรงร่วมใจกัน” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ หรือว่าแดนกว้างเย็นใกล้จะเปิดแล้ว” หานลี่อดที่จะเอ่ยถามกลับไม่ได้
“สหายเดาไม่ผิด หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงอื่น แดนกว้างเย็นจะเปิดในอีกหนึ่งเดือน” หญิงงามเผ่าผลึกหุบยิ้ม
“หนึ่งเดือนให้หลัง เร็วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หานลี่พลันตกตะลึงไปจริงๆ
“อันใด สหายหานมีเรื่องใดที่ยังสะสางไม่เสร็จหรือ?” ไฉ่หลิวอิวแววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยถาม
“ไม่มีอันใดหรอก แค่หากให้เวลาอีกสักยี่สิบสามสิบปี ชนรุ่นหลังก็อาจจะฝึกฝนพลังปราณจนอยู่ในจุดคอขวด ถึงยามนั้นก็อาศัยโอกาสนี้บรรลุระดับได้” หานลี่เบะปาก เอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“นี่เป็นโอกาสงามๆ ที่เสียเปล่าไปจริงๆ ทว่าพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้อยู่แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นข้าและพี่ต้วนก็สัญญาว่าจะให้ประโยชน์เจ้าตั้งมากมาย สหายหานควรจะพอใจแล้วถึงจะถูก” หญิงงามเผ่าผลึกได้ยิน กลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ต่อให้ชนรุ่นหลังอยากถอยกลางคัน ท่านอาวุโสเชียนจีจื่อก็ไม่มีทางตอบรับแน่” หานลี่ใจหายวาบ แต่กลับตอบกลับด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“สหายเข้าใจก็ดีแล้ว ครั้งนี้นอกจากมาแนะนำศิษย์ให้เจ้ารู้จักแล้ว ยังมาบอกจุดที่อันตรายในแดนกว้างเย็นและซากปรักหักพังต้องห้ามในนั้น แล้วยังมีเรื่องที่ต้องมอบหมายให้เจ้าทำสองสามเรื่อง ก่อนออกเดินทาง ก็ต้องเตรียมอาวุธและสมบัติที่จำเป็นสักหน่อย” หลังจากที่ไฉ่หลิวอิงพยักหน้า ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“หวังว่าท่านอาวุโสจะชี้แนะได้” หานลี่ได้ฟังพลันดีใจ ตอบกลับอย่างจริงใจ
หญิงงามเผ่าผลึกเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และอธิบายให้ละเอียด
“ข้อห้ามหลักๆ ในแดนกว้างเย็น ข้าจะไม่พูดถึงแล้ว ยามที่ออกเดินทางย่อมมีคนอื่นอธิบายให้พวกเจ้าฟัง สิ่งที่ข้าจะพูดกลับเป็นสิ่งที่ข้าในตอนนั้นได้สัมผัสเองในแดนกว้างเย็น และอันตรายที่ข้ามองข้ามไป ประการแรกหลังจากเข้าไปในแดนกว้างเย็น ทางที่ดีที่สุดก็คืออย่าไปยังสถานที่ที่เย็นเยียบเป็นพิเศษหรือร้อนเป็นพิเศษ สถานที่เหล่านี้ถ้าไม่ได้มีอสูรโหดเ**้ยมธาตุน้ำแข็งอาศัยอยู่ ก็เป็นเขตอาคมต้องห้ามร้ายกาจที่ถูกคนวางเอาไว้ จากพลังยุทธ์ของพวกเจ้า เป็นแค่การส่งตัวไปตายเท่านั้น ประการที่สอง หากพวกเจ้าพบกับ…”
หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไปหนึ่งมื้ออาหาร
ไม่ว่าหานลี่หรือว่าหญิงสวมงอบก็ล้วนตั้งใจฟัง ถึงอย่างไรเสียนี่ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตน้อยๆ ของตนเอง จึงไม่กล้าประมาทเลยสักนิด
“สุดท้ายพวกเจ้าต้องจำเอาไว้ หากเจอเมฆประหลาดสีแดงสดอยู่ ให้รีบหนีไปให้ไกล มิเช่นนั้นหากลังเลเพียงชั่วครู่ พวกเจ้าย่อมต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสาเหตุเป็นเพราะอันใดนั้น ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดถึง ยามที่พวกเจ้าเห็นนั้นแน่นอนว่าย่อมเข้าใจเอง เอาละ สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว สหายหานจงจำเอาไว้ให้ดี” ในที่สุดไฉ่หลิวอิงก็หยุดอธิบาย และมองไปทางหานลี่พร้อมเอ่ยถาม
“ชนรุ่นหลังจะจำเอาไว้ ขอบพระคุณคำสั่งสอนของท่านอาวุโส” หานลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“เอาละ ในเมื่อจัดการเสร็จแล้ว ข้าและศิษย์ก็จะกลับแล้ว จากนี้ยามที่พบกัน กว่าครึ่งคงเป็นวันที่ต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็นแล้ว” หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้น
หญิงสวมงอบเห็นเช่นนั้นก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“น้อมส่งท่านอาวุโส” หานลี่เองก็หยัดกายลุกขึ้นอย่างไม่ลนลาน ท่าทางหมายจะส่งทั้งสองคนที่ประตู
“เจ้าไม่ต้องส่งที่ประตูหรอก ข้าและศิษย์ไปเองก็ได้ จะได้ไม่มีคนสนใจ” ไฉ่หลิวอิงกลับออกคำสั่งกับหานลี่
“ขอรับ ชนรุ่นหลังเสียมารยาทแล้ว” หานลี่เห็นน้ำเสียงเฉียบขาดของหญิงสาวผู้นี้ ก็ไม่ได้ยืนหยัดอันใด แค่ค้อมกายลงเอ่ยอย่างน้อมรับความผิด
ไฉ่หลิวอิงพยักหน้า พาหญิงสวมงอบเดินตรงไปที่ประตูห้องโถง แต่เมื่อเดินไปใกล้กับประตูนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดออก จึงหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่ว่า
“ข้าเลอะเลือนไปจริงๆ มีอีกเรื่องที่เกือบลืมบอกสหาย”
“ท่านอาวุโสรับสั่งมาเถิด” หานลี่พลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยตอบ
“เจ้าเก็บสิ่งนี้เอาไว้ให้ดี ด้านในมีบันทึกเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีอยู่ชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่นี้ แต่ทางที่ดีที่สุดก็ควรจดจำเอาไว้ก่อนออกเดินทาง หากเป็นเช่นนั้น รอจนพวกเจ้าสามคนเข้าไปในแดนกว้างเย็นแล้ว ก็ไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทาง ลองฝึกฝนเคล็ดวิชาลับการผสานลำแสงเทวะดูดปราณก่อนแล้วค่อยว่ากัน เคล็ดวิชานี้ไม่เพียงจำเป็นต่อการทลายเขตอาคมต้องห้าม และยิ่งไปกว่านั้นยามที่ต่อกรกับศัตรูก็มีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจ เพียงพอจะปกป้องให้พวกเจ้าปลอดภัยได้ เดิมอยากให้พวกเจ้าฝึกฝนกันก่อน แต่ช่วงนี้ในเมืองเมฆามีหลายคนจับตามองอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันถูกคนแอบมอง ก็มีเพียงต้องให้พวกเจ้าเข้าไปทำความคุ้นเคยและประสานกันในแดนกว้างเย็นแล้ว” ไฉ่หลิวอิงเอ่ย มือหยกก็ชูนิ้วทั้งห้าขึ้น ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งมาทางหานลี่
หานลี่ตะปบไปกลางอากาศด้วยความประหลาดใจ ชั่วขณะนั้นหมอกสีเทาก็บินออกมา แค่กะพริบวาบก็ม้วนเข้ามาอยู่ในลำแสงสีขาวและดูดเข้ามาอยู่ในมือ
ก้มหน้าลงมอง เป็นแผ่นหยกสีขาวอ่อน
“เคล็ดวิชาลับผสานการโจมตี!” หานลี่มองสิ่งนี้ก็อดที่จะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาไม่ได้ ทันใดนั้นก็แทรกจิตสัมผัสเข้าไปในเจ้าสิ่งนี้อย่างประหลาดใจ
แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเคยได้ยินเคล็ดวิชาลับชนิดนี้มาแล้ว
ปกติแล้วเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีที่มีความจำเพาะนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีอานุภาพมากกว่าที่หลายคนร่วมมือกันสำแดงออกมา นับว่าเป็นเคล็ดวิชาลับที่หายากชนิดหนึ่ง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ดึงจิตสัมผัสออกมาจากแผ่นหยกนั้น ในห้องโถงก็ว่างเปล่าไปตั้งนานแล้ว
ไฉ่หลิวอิงและหญิงสวมงอบหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว
หานลี่ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจใดๆ ออกมา กลับสะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็แผ่ออกมาจากเรือนร่าง และม้วนวนไป คนก็หายวับไปจากลำแสงสีเขียว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่กลางอากาศในห้องลับก็มีลำแสงสีทองสว่างวาบ เงาร่างของหานลี่พลิ้วไหวแล้วปรากฏขึ้นกลางอากาศ และยิ่งไปกว่านั้นยังกวาดตามองในบริเวณรอบ
เห็นเพียงสัตว์ประหลาดสีทองสามหัวหกแขนและหานลี่ที่มีลำแสงสีม่วงห่อหุ้มกาย ยังคงนั่งสมาธิหลับตาฝึกฝนอันใดสักอย่างอยู่
แต่ทันใดนั้นพวกมันก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของหานลี่ จึงเบิกตามองไป
“เดิมทีอยากให้พวกเจ้าฝึกฝนให้สำเร็จ แล้วค่อยเข้าไปในแดนกว้างเย็น แต่ยามนี้ดูแล้วคงไม่ทัน ข้าจำต้องเตรียมการอย่างอื่น และหลอมภูเขาเทวะดูดปราณในภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หานลี่ราวกับเอ่ยพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อไปทางสัตว์ประหลาดสีทองสามหัวหกแขน
หมอกลำแสงสีทองปกคลุมออกไป
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
เมื่อลำแสงสีทองลดระดับลงมา ก็มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังออกมาจากร่างของสัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นอักขระสีทองและไอสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วน
อักขระสีทองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกลำแสงสีทองดูดเข้าไปในร่างของหานลี่ ส่วนไอสีดำนั้นก็หมุนวน กลับผนึกรวมตัวกันกลายเป็นทารกวิญญาณสีแดงสนิทราวกับน้ำหมึกสูงสองสามชุ่น
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สองของหานลี่ ทารกมารตัวนั้น
ยามนี้ทารกมารมีสีหน้ายิ้มกริ่ม บนเรือนร่างเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ และสวมเกราะมารเหนือฟ้าขนาดจิ๋ว