“จอมมารตั้งสี่คนกลับยังไม่มั่นใจมากพอว่าจะต่อกรได้! อสูรมารตัวนี้มาจากไหน และมันมีอิทธิฤทธิ์อะไร” หานลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและถามเสียงขรึม
“ข้าละอายใจจะพูดยิ่งนัก ข้าเคยเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก่อน แต่ข้าไม่เคยเห็นร่างจริงของมันเลย ร่างกายของมันปกคลุมด้วยเปลวไฟสีเขียวอยู่ตลอด มองเห็นได้เฉพาะโครงร่างคร่าวๆ เท่านั้น พูดได้เพียงว่ามันเป็นอสูรมารที่ดูเหมือนแรดแต่ไม่ใช่แรด ดูเหมือนวัวแต่ก็ไม่ใช่วัว สำหรับอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์อัคคีของอสูรมารตัวนี้มีพลังมากจนแทบจะแผดเผาช่องว่างมิติได้ ในตอนแรกข้าป้องกันเอาไว้ไม่ทัน เกือบจะติดอยู่ที่นั่นและตายทั้งเป็นด้วยเพลิงมาร” หญิงสาวผมสีม่วงกัดริมฝีปากเล็กน้อยและพูดอย่างจริงจัง
“อิทธิฤทธิ์อัคคี? นี่ยุ่งยากแล้ว! หากฝึกฝนอิทธิฤทธิ์อัคคีได้ถึงจุดสูงสุด อานุภาพในการทำลายล้างจะเหนือกว่าอิทธิฤทธิ์ธาตุอื่นๆ ไม่น่าแปลกใจที่สหายต้องประสบกับความเสียเปรียบครั้งใหญ่!” หานลี่ดวงตาเป็นประกาย พลางพูดพึมพำ
“สหายหานไม่จำเป็นต้องยกยอข้า แม้อสูรมารตัวนี้จะไม่ได้ฝึกอิทธิฤทธิ์เพลิงมาร หากในแง่พลังยุทธ์ยังห่างไกลที่ข้าจะเทียบได้ คาดว่าน่าจะถึงระดับจอมมารขั้นปลาย ดังนั้นตระกูลไป๋จึงต้องรวบรวมพลังของทุกคน ถึงจะกล้าไปขับไล่อสูรมารตัวนี้” หญิงสาวผมสีม่วงตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“อสูรมารระดับจอมมารขั้นปลาย! ไม่แปลกใจที่สหายต้องระมัดระวัง ไม่ทราบว่าท่านเซียนฟู่เทียนมีความมั่นใจแค่ไหนในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องตลกที่จะจัดการกับอสูรมารทรงพลังที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบาง อาจบาดเจ็บสาหัสและอันตรายถึงชีวิต” หานลี่ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขา
“หากคิดจะสังหารอสูรมารตัวนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าแค่ทำให้บาดเจ็บแล้วขับไล่ไป ถ้าลงมือสี่คน น่าจะมีความมั่นใจหกเจ็ดส่วน แต่ถ้าสหายร่วมด้วย ข้ามั่นใจเก้าส่วน” หญิงสาวผมสีม่วงตอบโดยไม่ลังเล
“ฮ่าๆ ท่านฟู่เทียนช่างมั่นใจนัก!” หานลี่หัวเราะเบาๆ
“นั่นเป็นเพราะว่าสหายอีกสองคนที่ตระกูลไป๋เชิญมา นอกจากพลังยุทธ์จะไม่ด้อยไปกว่าข้า หนึ่งในนั้นยังฝึกฝนอิทธิฤทธิ์เหมันต์น้ำแข็ง อีกคนหนึ่งมีสมบัติซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังหยินเย็นยะเยือกสูงสุด มิฉะนั้น ข้าคงไม่กล้ากล้าพูดโอ้อวดต่อหน้าสหาย หากการกระทำนี้ไม่ได้ผล ตระกูลไป๋ก็ทำได้เพียงยอมสละสายแร่นี้อย่างไม่เต็มใจ” เมื่อเห็นว่าหานลี่ไม่เชื่อ หญิงสาวผมสีม่วงก็รีบอธิบาย
“มีสหายที่เป็นปฏิปักษ์กับเพลิงอสูรมารได้ หากร่วมมือกัน อาจจะเพิ่มความมั่นใจได้สองส่วน ดูเหมือนว่าสหายฟู่เทียนจะตัดสินใจไว้แล้ว ถึงกระนั้น ข้ายังมีอีกหนึ่งสิ่งที่หวังว่าท่านเซียนจะอธิบายได้” หานลี่พยักหน้า ทว่าในใจเขากลับสับสน และถามขึ้นมาอีกครั้ง
“หากพี่หานมีข้อสงสัย โปรดจงถาม ข้าจะไขข้อสงสัยทุกอย่าง” หญิงสาวผมสีม่วงพูดด้วยรอยยิ้ม
“อสูรมารตัวนี้ได้ฝึกฝนจนมาถึงระดับจอมมารขั้นปลาย แม้ว่าสติปัญญาดั้งเดิมของพวกมันจะต่ำ แต่ก็ควรจะหยั่งรู้ได้บ้าง ทำไมมันอยากถึงครอบครองสายแร่ของตระกูลไป๋โดยไม่มีเหตุผล ยิ่งกว่านั้น ดูตระกูลไป๋จะให้ความสำคัญกับสายแร่นี้มาก ทั้งยังยอมจ่ายดีกว่ายอมแพ้ แต่ไม่รู้ว่าแร่หายากชนิดนี้คืออะไร” หานลี่ถามอย่างสุขุม
“มันเป็นสายแร่ศิลาเมฆอัคคีและยังศิลาเมฆอัคคีระดับสูงสุด มันอุดมสมบูรณ์มาก สามารถนำประโยชน์มากมายมาสู่ตระกูลไป๋ของเรา ข้าจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร” หญิงสาวผมสีม่วงรีบอธิบายกลับมา
“ศิลาเมฆอัคคี! ไม่น่าแปลกใจเลย อสูรมารขั้นปลายนี้น่าจะต้องการดูดซับปราณไฟแท้จากสายแร่ทั้งหมด เพื่อเพิ่มพลังยุทธ์ให้ตัวมันเอง” หานลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ถูกต้อง มีเพียงอสูรมารพิเศษบางประเภทเท่านั้นที่มีอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์เช่นนี้ได้ สามารถดูดซับปราณของสายแร่ได้โดยตรง หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาอย่างข้าที่ทำเช่นนี้ ไม่ว่าฐานพลังยุทธ์จะสูงแค่ไหน สุดท้ายคงจะระเบิดและสูญสลายไปในที่สุด ยิ่งเป็นเช่นนี้ ควรจะรีบจัดการสายแร่เส้นนี้โดยเร็วยิ่งดี มิฉะนั้น หลังจากเวลาผ่านไปนาน หากพลังยุทธ์ของอสูรมารนี้จะเพิ่มขึ้นอีก สายแร่นี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว ตราบใดที่สหายเห็นด้วยที่จะช่วย ไม่ว่าการเดินทางจะสำเร็จหรือล้มเหลว ตระกูลไป๋จะไม่เพียงจะมอบกิ้งก่ามารแปดขาเท่านั้น แต่ยังมอบศิลามารจำนวนมากเป็นรางวัลอีกด้วย” หญิงสาวผมสีม่วงสัญญาด้วยแววตาเป็นประกาย
“ในเมื่อสหายมีความจริงใจมาก จึงไม่ง่ายที่ข้าจะปฏิเสธ แต่ข้ายังต้องถามให้ชัดเจนว่าสายแร่เมฆอัคคีอยู่ที่ไหนในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ใช้เวลานานแค่ไหนในการเดินทาง หากต้องใช้เวลานานเกินไป เกรงว่าข้าจะไม่สะดวก” หานลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม
“สหายหานโปรดวางใจ สายแร่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เข้าไปในทะเลทรายใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือนกว่าก็จะถึง หากมีการล่าช้าบ้าง เวลาสามเดือนก็เพียงพอแล้ว” นางรีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเช่นนั้น ข้าตกลง แต่ไม่รู้ว่าตระกูลไป๋มีแผนจะไปเมื่อไร” หานลี่ไม่ลังเลอีกต่อไป และตกลงที่จะดำเนินการ
“ขอบคุณพี่หานสำหรับความช่วยเหลือ สหายคนหนึ่งของข้ามาถึงแล้ว และอีกคนอาจจะใช้เวลาราวๆ หนึ่งเดือนจึงจะมาถึง เมื่อกำลังพลพร้อมแล้ว ข้าจะออกเดินทางทันที” หญิงสาวผมสีม่วงดีใจมากเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ในเวลานี้ หญิงสาวผมสีม่วงได้เชิญหานลี่ ให้ย้ายมาที่ตระกูลไป๋อีกครั้ง และแสดงความเต็มใจที่จะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการฝึกฝนประจำวันในช่วงเวลานี้ ทว่าหานลี่กลับปฏิเสธอย่างสุภาพ
เมื่อหญิงสาวผมสีม่วงเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของหานลี่ ก็ไม่ได้บังคับอะไรต่อไป นางเพียงแต่คุยกับหานลี่เกี่ยวกับวิชายุทธ์และการบำเพ็ญเพียรโดยใช้ร่างสถิต
หานลี่ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ และพูดคุยกับหญิงสาวแบบตัวต่อตัวในทันที
ทว่าไม่นานนัก เขากลับรู้สึกประหลาด แม้ว่าคฤหัสถ์ฟู่เทียนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นหญิงสาว แต่นางกลับมีเคล็ดวิชาพิเศษมากมายในการบำเพ็ญเพียร หลังจากหารือกัน ความสับสนในวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็กระจ่างขึ้น
นี่คือสิ่งที่เขาไม่ค่อยพบเมื่อสนทนากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ในแดนวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วหานลี่ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
วิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีเป็นวิชาของแดนมาร ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีบางอย่างเหมือนกันกับการฝึกฝนวิทยายุทธ์มารที่ลึกซึ้งอื่นๆ ในอดีตเขาได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นมา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถพูดได้ว่าเขาไม่ได้อะไรเลย แต่ในแง่ของการฝึกฝนร่างสถิตแล้ว เทียบกับที่เผ่ามารระดับจอมมารตัวจริงมาบอกเองไม่ได้เลย
เมื่อหานลี่คิดเช่นนี้ในใจ ความกระตือรือร้นจึงพุ่งพรวดขึ้นมาสิบสองส่วน และใช้เกือบทั้งวันในการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวผมสีม่วงก็ตกใจเช่นกัน
ด้วยความเข้าใจในวิชายุทธ์ที่แตกฉานของนาง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกว่าความเข้าใจของหานลี่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรนั้นเหนือกว่านางมาก และเขาไม่ใช่จอมมารธรรมดาอย่างแน่นอน
หากเขาสัญญาว่าจะร่วมมือในการจัดการอสูรมาร ก็สามารถจินตนาการความช่วยเหลือครั้งใหญ่นี้ได้
หญิงสาวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงสุภาพกับหานลี่มากขึ้น
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ในที่สุดหานลี่ก็ลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา
แน่นอนว่าเวลาเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอสำหรับทั้งสองที่อยู่ในขั้นผสานอินทรีย์ และเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งหมด หญิงสาวผมสีม่วงจึงเชิญหานลี่มาที่ตระกูลไป๋ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตกลงอย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวผมสีม่วงก็สั่งให้รถเทียมอสูรไปส่งหานลี่ยังที่พัก
หลังจากที่หานลี่ออกจากห้องโถงภายใต้การนำทางของสาวใช้ หญิงสาวผมสีม่วงก็นั่งลงบนเก้าอี้ รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าของนาง
นางหยิบถ้วยชาวิญญาณบนโต๊ะขึ้นมา พลางจิบแล้วเลิกคิ้วพูดว่า
“พี่ใหญ่ ท่านคิดอย่างไรกับคนคนนี้ พลังยุทธ์ของเขาบรรลุถึงระดับใดแล้ว! ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพี่ใหญ่และกระจกสมบัติหยินไพศาล ท่านน่าจะสามารถมองเห็นความตื้นลึกได้กระมัง”
“น้องห้า เจ้าประเมินพี่สูงไปแล้ว เจ้าเด็กแซ่หานคนนี้ เป็นคนเก็บงำซ่อนเร้นตัวตน และร้ายกาจกว่าที่เจ้าคิดมาก!”
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงสีขาวก็ส่องประกายบนผนังด้านหนึ่งของห้องโถง กลายเป็นม่านแสงขมุกขมัว และเงาร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากแสงสีขาวอย่างเงียบๆ ถือกระจกโบราณทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีดำสนิทด้วยมือเดียว
หลังจากที่ร่างนั้นพูดขึ้นเบาๆ ก็มีแสงเปล่งประกายปรากฏขึ้นบนเก้าอี้ที่หานลี่นั่งก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็นั่งลงอย่างไม่เร่งรีบ
เวลานี้ใบหน้าของคนผู้นี้ได้ปรากฏชัดเจน เขาคือชายร่างสูงใหญ่ มีผมหยิกเป็นลอนสีเหลืองอ่อน มีเขาสั้นสีขาวบนหน้าผากเช่นเดียวกัน ทว่าใหญ่กว่าหญิงสาวผมม่วงเล็กน้อย
จากหว่างคิ้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าชายร่างสูงใหญ่และหญิงสาวมีความคล้ายคลึงกันมาก เห็นได้ชัดว่าคือตัวตนระดับจอมมารอีกคตนที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลไป๋
“ทำไม กระจกหยินไพศาลไม่สามารถช่วยให้พี่ใหญ่มองผ่านขอบเขตพลังยุทธ์ของคนผู้นั้นได้หรือ” หญิงสาวผมม่วงตกใจ พลางถามชายร่างใหญ่ด้วยความสงสัย
“เจ้าก็รู้ว่า แม้กระจกสมบัติหยินไพศาลของข้าจะหลอมมาจากวิญญาณน้ำแข็ง แต่ถ้าพบกับคนที่มีสมบัติหยินขั้นสุดยอดปกป้องร่างกายหรือบำเพ็ญเพียรวิทยายุทธ์เหมันต์ขั้นสูงสุด ประสิทธิภาพของมันจะลดลงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น คนนี้ดูมีจิตสัมผัสแข็งแกร่งอย่างมาก ในตอนที่ข้าร่ายอาคม เขาคงรู้ตัวแล้ว แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น!” ชายร่างใหญ่ถอนหายใจและพูดด้วยใบหน้าที่มืดมน
“อะไรนะ เขาค้นพบการมีอยู่ของพี่ใหญ่หรือ นี่ยุ่งยากแล้ว ข้าเกรงว่าจะต้องอธิบายให้เขาฟังในภายหลังสักหน่อย แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของกระจกสมบัติ พี่ใหญ่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ” หญิงสาวผมม่วงถามพลางขมวดคิ้ว
“หึๆ อธิบาย? ไม่จำเป็นเลย ในเมื่อเขาไม่พูด เจ้าก็แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ อย่างมากที่สุด ครั้งหน้าหากพบเขา ข้าจะได้ไม่ต้องแอบดู เจ้าคนแซ่หานผู้นี้ไม่อยู่ที่เมืองฮ่วนเย่นานๆ หรอก เขาเป็นแค่คนสัญจร เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามเพื่อเอาอกเอาใจเขามากเกินไป ส่วนข้ารู้อะไรไหมนั้น ก็ต้องมีบ้าง สมกับที่เป็นสมบัติหยินไพศาลของข้า ข้าจะเอาให้เจ้าดู!”
ชายร่างใหญ่ยิ้มและขยับนิ้วที่จับกระจกโบราณทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ทันใดนั้นกระจกก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งขึ้นสู่อากาศ
จากนั้นชายร่างใหญ่ก็ร่ายคาถาด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งชี้ไปที่แสงสีดำห่างออกไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน เขาก็พึมพำอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น ลำแสงห้าสีในกลุ่มแสงสีดำก็กะพริบวาบ ภาพค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน