ภาพที่แสดงนั้นเป็นภาพของหานลี่นั่งอยู่ในห้องโถง แม้จะไม่มีเสียงใดๆ เลย แต่ภาพของหานลี่นั้นเหมือนจริงราวกับว่าทุกสิ่งได้ย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง
ในเวลานี้ ชายร่างใหญ่พูดกับหญิงสาวผมสีม่วงว่า “ดูให้ดี” จากนั้นนิ้วก็สะบัดเข้าไปในช่องว่างของภาพ และแสงสีดำเล็กน้อยก็พุ่งออกมา หายวับไปในกลุ่มแสงในพริบตา
วินาทีต่อมา ในภาพ ทันใดนั้นชั้นของเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของหานลี่ ชั้นนอกสุดเป็นชั้นของแสงสีดำสนิทและชั้นในเป็นชั้นของแสงสีม่วงทอง ด้านในอีกชั้นหมอกสีเทาที่วุ่นวาย ยากจะแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร
“เอ๊ะ นี่คืออะไร” เมื่อเห็นฉากนั้น หญิงสาวผมสีม่วงก็ร้องออกมาด้วยความตกใจในทันใด
“หึๆ นี่คงเป็นครั้งแรกที่น้องห้าได้เห็นเคล็ดวิชากระจกหยินไพศาลกระมัง อย่างที่เจ้าเห็น วชายุทธ์ของเจ้าเด็กแซ่หานคนนี้คล้ายจะมีความพิเศษบางอย่าง ส่วนสีดำชั้นนอกสุด แสดงถึงปราณมารที่แท้จริงซึ่งบริสุทธิ์ที่สุดในแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรา นี่เป็นเรื่องปกติ ถ้าเขาไม่มีชั้นของแสงสีดำนี้ ข้าคงสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์เรา สำหรับสีม่วงทองข้างในนั้น หมายความว่าคนผู้นี้ยังฝึกฝนเคล็ดวิชามารสถิตร่างที่น่าทึ่ง และฝึกฝนมาจนถึงขีดสุด คล้ายกับเขาใกล้จะเข้าสู่ระดับกระดูกทองไขกระดูกม่วงในคำเล่าลือแล้ว แต่ก็ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ การฝึกฝนกายเนื้อให้แข็งแกร่งถึงระดับนี้ นอกจากผู้อาวุโสบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พี่ไม่เคยได้ยินใครที่สามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้” ชายร่างใหญ่ชี้ไปที่ชั้นเปลวไฟบนร่างของหานลี่ พร้อมทั้งพูดอย่างเคร่งขรึม
“กระดูกทองไขกระดูกม่วง ร่างกายของคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก! เป็นไปได้หรือไม่ว่าว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกระจกสมบัติหยินไพศาล!” ใบหน้าของหญิงสาวผมสีม่วงเปลี่ยนไปอย่างมาก นางส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ
“ไม่น่าจะผิด แม้ว่ากระจกสมบัติหยินไพศาลจะลดประสิทธิภาพต่อบุคคลนี้ลงอย่างมาก แต่การตรวจสอบอย่างคร่าวๆ จะไม่แสดงข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้เพียงอยู่ใกล้กับระดับนั้นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นปราณมารแท้ที่อยู่ชั้นนอกจะไม่ปรากฏบนกระจก ควรจะอยู่ในเส้นชีพจรในร่างกาย ไม่รั่วไหลออกมาด้านนอก” ชายร่างใหญ่พูดพลางถอนหายใจ
“หากเป็นเช่นนี้ บุคคลนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะปราบจอมมาร แต่แสงสีเทาบนร่างกายของเขาคืออะไร เขายังฝึกฝนพลังปราณอันทรงพลังอื่นๆ ด้วยหรือ” หญิงสาวผมสีม่วงมองภาพในความว่างเปล่า จากนั้นจึงถามอีกครั้ง
“แสงสีเทาแสดงถึงส่วนที่แม้แต่กระจกสมบัติหยินไพศาลก็ไม่สามารถตรวจจับได้ และเหมือนมันจะไม่ธรรมดาแน่นอน มันเป็นขีดจำกัดของของข้าที่ไม่สามารถมองเห็นระดับนี้ได้ มิฉะนั้น หากข้าเพิ่มพลังเข้าไปในกระจกมากขึ้นในขณะนั้น ข้าเกรงว่าจะทำให้เขาขุ่นเคืองใจจริงๆ อาจไม่คุ้มกับการสูญเสีย แต่ความจริงที่ว่าคนผู้นี้หาข้าในเขตอาคมต้องห้ามพบ ก็แสดงให้เห็นว่าจิตสัมผัสของเขานั้นไม่ธรรมดา” ชายร่างใหญ่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ร่างกายมีความแข็งแกร่งที่กระจกไม่สามารถมองผ่านได้ แม้แต่จิตสัมผัสก็มีพลังมหาศาล กล่าวได้ว่า เมืองฮ่วนเย่ของเรามีตัวตนดังเช่นสัตว์ประหลาดมาเยือนแล้ว โชคดีที่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน และตระกูลไป๋ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาก่อน ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีปัญหาร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังไม่มีปัญหาในการแก้ไขปัญหาเรื่องอสูรมารอีกด้วย” หญิงสาวผมสีม่วงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้านิ่งขรึมแล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
“จากมุมมองนี้ นี่เป็นข่าวดี ตระกูลไป๋ของเราต้องไม่ล่วงเกินบุคคลนี้ แต่เราไม่จำเป็นต้องพยายามเอาอกเอาใจเขา ความแข็งแกร่งของคนคนนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลรับไหว น้องห้า ต้องระวังให้มากเมื่อพบกับเขาอีกครั้ง” ชายร่างใหญ่พูดอย่างจริงจัง
“ข้อนี้ ข้าย่อมรู้ดี” ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายพร้อมทั้งพยักหน้าเบาๆ
……
ในเวลาเดียวกัน หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนรถเทียมอสูร พร้อมกับเล่นมุกผลึกสีขาวด้วยมือข้างเดียวอยู่ ใบหน้าคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
ทันใดนั้นปราณสีดำก็ปรากฏขึ้นบนผิวกายของเขา ม่านแสงสีดำก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ปกคลุมที่ว่างเปล่าในไม่กี่จั้งเอาไว้ภายใน จากนั้นนิ้วข้างหนึ่งก็ขยับขึ้นมาอยู่เหนือระหว่างคิ้วเล็กน้อย แล้วยื่นผลึกไปด้านหน้า
แสงสีดำสว่างวางที่หว่างคิ้ว ทันใดนั้นเนตรปีศาจสีดำที่สามก็โผล่ออกมาในทันที จากนั้นลำแสงสีทองพุ่งออกมาจากดวงตา กระทบกับผลึกสีขาวในมือของเขา
วินาทีต่อมา ผลึกสีขาวก็กลายเป็นแสงสีทอง และหลังจากแสงเปล่งประกาย ม่านแสงสีทองก็พุ่งออกมา
ม่านแสงที่พร่ามัวในตอนแรก กลายเป็นแสงสีขาวสว่างวาบ ทันใดนั้นร่างของชายร่างใหญ่ที่มีกระจกโบราณทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดก็ปรากฏขึ้นมา
เป็นชายร่างใหญ่ตระกูลไป๋ที่มีผมสีเหลืองอ่อน
ชายร่างใหญ่ผู้นี้ไม่ขยับ มือข้างหนึ่งร่ายอาคม ส่วนมืออีกข้าหนึ่งกำลังร่ายคาถากับกระจกโบราณ
หานลี่มองดูเงาเสมือนจริงของชายร่างใหญ่อย่างเงียบๆ การเยาะเย้ยจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เนตรปีศาจสีดำที่หว่างคิ้วของเขาหายไปในพริบตา
เช่นเดียวกับที่จอมมารตระกูลไป๋ท่านั้นกล่าว ในขณะที่เขาหลบอยู่ในเขตอาคมต้องห้ามเพื่อตรวจสอบหานลี่ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสของหานลี่ เขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขาเกือบจะในทันที เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้
หลังจากค้นพบว่าบุคคลผู้นี้เป็นจอมมารอีกคนหนึ่ง และอยู่เพียงขั้นกลางเท่านั้น หานลี่ก็โล่งใจ
ด้วยปราณมารของวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์และพลังของมุกเสมือนมาร เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงเหล่านั้นก็ยังเผยเพียงร่องรอยเล็กน้อยออกมาเท่านั้น เขาย่อมไม่ต้องกังวลสิ่งใดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นในแดนมาร
หลังจากมุกผลึกสงเสียงอื้ออึง มันก็กลับคืนสู่ความใสแวววาวดังเดิม ในขณะเดียวกัน ภาพเสมือนจริงของชายร่างใหญ่ก็แตกสลายออกและหายอย่างเงียบๆ
ทุกอย่างกลับคืนมาดังเดิมในชั่วพริบตา ราวกับว่าอาคมก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่
ในขณะนี้ หานลี่หลับตาและนั่งสมาธิโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ภายในวันเวลาต่อมา หานลี่ถูกรับและส่งโดยรถเทียมอสูรยักษ์ไปยังตระกูลไป๋ทุกวันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบำเพ็ญเพียรกับหญิงสาวผมสีม่วง นอกเหนือจากเคล็ดวิชาร่างสถิตและวิทยายุทธ์มารธรรมดาในตอนเริ่มต้นแล้ว พวกเขายังพูดถึงวิชาลับบางอย่าง
สิ่งนี้มีประโยชน์กับทั้งสอง
ในช่วงเวลานี้ หลังจากหานลี่ค้นหามาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าบรรพชนตระกูลหล่งและผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณ ยังไม่มีผู้ใดมาถึงเมืองฮ่วนเย่ เขาเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่
สิ่งนี้ทำให้หานลี่รู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาสงสัยว่าคนอื่นๆ ประสบปัญหาระหว่างทางหรือไม่ก็มีอย่างอื่นที่ทำให้เขาล่าช้า
นอกจากเรื่องนี้ เขาไม่กังวลถึงสิ่งอื่นใด
ถึงอย่างไร บรรพชนตระกูลหล่งและคนอื่นๆ รวมถึงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น แต่ละคนล้วนไม่ตัวตนระดับผสานอินทรีย์ธรรมดา แม้ว่าฐานะของพวกเขาจะถูกเปิดเผย หรือถูกล้อมสังหารโดยจอมมารหลายคนพร้อมกัน อย่างมากที่สุดก็แค่พ่ายแพ้และหลบหนี เป็นไปไม่ได้ที่จะดับสูญง่ายๆ
ตรงกันข้าม เรื่องของกิ้งก่ามารแปดขานั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะได้ตัวหนึ่งมาจากตระกูลไป๋ แต่อสูรมารของคนอื่นๆ ก็ต้องหาวิธีอื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บรรพชนตระกูลหล่งและคนอื่นๆ เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี พวกเขาควรจะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือรอการมาถึงของคนอื่นๆ หลังจากที่เรื่องของตระกูลไป๋จบลง
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ อีกสองตระกูลใหญ่ในเมืองฮ่วนเย่ก็รับรู้เรื่องการมาถึงของตัวตนระดับจอมมารอย่างหานลี่แล้ว พวกเขาทั้งหมดให้คนมาส่งคำเชิญให้หานลี่
คราวนี้ หานลี่ปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ครึ่งเดือนต่อมา เขาได้ไปเข้าร่วมพิธีบูชาบรรพชนของตระกูลจ้าว
ในพิธีนี้ เขาได้พบกับผู้อาวุโสจอมมารระดับสูงสุดของตระกูลจ้าว และสนทนากันสั้นๆ
มารตระกูลจ้าวผู้นี้เป็นชายชราร่างเตี้ยและผอมแห้ง เมื่อเขารู้ว่าหานลี่เพียงแค่ผ่านเมืองมาและจะไม่อยู่เป็นเวลานาน เห็นได้ชัดว่าเขาโล่งใจ และการแสดงออกของเขาก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในทันที
เหตุใดอีกฝ่ายถึงกลายเป็นเช่นนี้ หานลี่ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว และหลังจากจัดการเรียบร้อย เขาจึงจากตระกูลจ้าวไปโดยสวัสดิภาพ
หลังจากกลับจากตระกูลจ้าวแล้ว หานลี่ไม่ไปที่ตระกูลไป๋อีก
แต่หลังจากนั้นอีกสิบวัน เขารอให้หญิงสาวผมสีม่วงมาหาเขาด้วยตนเอง
หญิงสาวมาแจ้งว่าในที่สุดสหายที่นางรอคอยก็มาถึง นางตัดสินใจจะเดินทางไปยังทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวในอีกสองวันเพื่อขับไล่อสูรมารระดับจอมมาร นางมาเพื่อถามหานลี่ว่าเขามีปัญหาอะไรหรือไม่
หานลี่ย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่นใด และตกลงในทันที
หญิงสาวผมสีม่วงนั้นดีใจมากในทันที นางกล่าวขอบคุณและจากไป
ในอีกสองวันข้างหน้า หานลี่ไม่ได้ออกไปไหนอีก เพียงแค่นั่งสมาธิอย่างเงียบๆ ที่ชั้นบนสุดของห้องใต้หลังคา เพิ่มพูนพลังของเขา!
แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าอสูรมารระดับจอมมารจะสามารถเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้ แต่เขาไม่ต้องการให้เกิดปัญหาในเรื่องที่คิดว่าควบคุมได้พราะความประมาทของตน
สองวันต่อมา หลังจากที่กำชับจูกั่วเอ๋อร์แล้ว หานลี่ก็นั่งรถเทียมอสูรและตรงไปยังประตูเมืองอีกด้านหนึ่งของเมืองฮ่วนเย่
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา บนเนินดินนอกประตูเมือง ในที่สุดหานลี่ ก็เห็นตระกูลไป๋ที่เหลือ
นอกจากหญิงผมสีม่วงและชายร่างใหญ่แล้ว ยังมีผู้อาวุโสเผ่ามารอีกสองคนที่มีใบหน้าไม่คุ้นเคย และมารระดับหลอมสุญตาอีกหกคน ไป๋อวิ๋นซินก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลังจากที่หญิงผมสีม่วงทักทายหานลี่ด้วยรอยยิ้มกว้าง นางแนะนำหานลี่ให้รู้จักกับชายร่างใหญ่และสหายอีกสองคนที่เชิญมา
ในเวลานี้ หานลี่จึงได้รู้ว่าชายผมเหลืองอ่อนชื่อไป๋ซีเจียว และหญิงผมสีม่วงก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่
ส่วนจอมมารอีกสองคน คนหนึ่งไม่ได้บอกชื่อจริงของเขา แต่เรียกตัวเองว่าองค์เทพมังกรไม้ รูปร่างอ้วนกลมมีพุงเป็นชั้นๆ ตาทั้งสองข้างเรียวเป็นเส้น เมื่อแรกเห็น นึกถึงหมูอ้วนตัวใหญ่ในทันที ซึ่งยากจริงๆ ที่จะเชื่อมโยงกับฉายาของเขา
อีกคนชื่อหันฉีจื่อเป็นชายวัยกลางคนใส่หน้ากากผีสีเขียว เขามีรูปร่างปกติ ร่างกายของเขาแผ่ไอขาวนวลซึ่งทำให้รู้สึกหนาวสั่นเมื่อเข้ามาใกล้
ชายผมเหลืองอ่อนสุภาพกับหานลี่มาก และดูเหมือนจะพึ่งพาได้ ส่วนชายอ้วน ถึงแม้จะพูดกับหานลี่ แต่กลับไม่มีรอยยิ้ม สำหรับหันฉีจื่อ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อเผชิญหน้ากับหานลี่ ราวกับว่าเขาแปลงร่างจากน้ำแข็งจริงๆ
หานลีเผชิญหน้าทั้งสามด้วยสีหน้าเดียวกัน หลังจากพูดอย่างคลุมเครือไปสองสามคำ เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากที่ชายร่างใหญ่จากตระกูลไป๋กล่าวทักทาย ทุกคนก็บินไปทางทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวทันที